เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2004 เสียใจในวันที่สายไป
ตอนที่ 2,004 เสียใจในวันที่สายไป
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
องค์ชายหลิงหวงฉีจึงกล่าวต่อไป “บัดนี้ องค์จักรพรรดิได้รับบาดเจ็บสาหัส องค์ชายหลงจึงร่วมมือกับคนนอก วางแผนกับเผ่าอสูรสีคราม ส่งผู้คนมาเจรจาว่าหากองค์หญิงไข่มุกขาวยอมแต่งงานกับตัวแทนของพวกมัน กองทัพอสูรสีครามก็จะไม่บุกโจมตีอาณาจักรเกิงจินอีก...”
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมาจดชื่อเผ่าอสูรสีครามลงในบัญชีแค้นของตนเองอย่างไม่รอช้า
เผ่าพันธุ์ที่ชั่วร้ายเช่นนี้จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปอีกไม่ได้เด็ดขาด
องค์ชายหลิงหวงฉีกล่าวต่อไปว่า “องค์จักรพรรดิย่อมปฏิเสธข้อเสนอนี้ แต่สถานการณ์ของสงครามรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ บรรดาผู้คนในราชวงศ์ก็เรียกร้องให้จัดงานแต่งขึ้นเพื่อความสงบสุขของปวงชน สถานการณ์บีบบังคับทำให้องค์จักรพรรดิไม่สามารถปฏิเสธได้อีก แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น หลิงเฉินก็ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่านางยินดีแต่งงาน แต่ผู้ที่จะเป็นคู่ครองของนางนั้นต้องมีความเก่งกล้า มีความแข็งแกร่งและเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ การประลองเพื่อเลือกคู่ครองของนางจึงถูกจัดขึ้น…”
ที่แท้การประลองครั้งนี้ก็เป็นเจตนาของหลิงเฉินนี่เอง
หลินเป่ยเฉินเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาโดยทันที
องค์ชายหลิงหวงฉีกล่าวว่า “หลังจากได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย การประลองก็ได้รับการเผยแพร่ออกไป เจ้าหนู นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ดี อย่าทำให้หลานสาวของข้าผิดหวังเป็นอันขาด”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความดุดัน “ผู้ใดก็ตามที่คิดแย่งชิงหลิงเฉินไปจากข้าน้อย พวกมันจะต้องตายกันไปให้หมดขอรับ”
“วันพรุ่งนี้การประลองก็จะเริ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ ข้าได้ลงชื่อเจ้าเป็นผู้เข้าร่วมการประลองเรียบร้อยแล้ว”
องค์ชายหลิงหวงฉีกล่าวต่อ “นี่คือป้ายประจำตัวผู้เข้าร่วมการประลองของเจ้า เมื่อมีป้ายประจำตัวชิ้นนี้ เจ้าก็จะสามารถเข้าร่วมการประลองได้อย่างไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินรับป้ายประจำตัวนั้นมาดูและพบว่ามันเป็นป้ายประจำตัวรูปทรงวงรีแกะสลักเป็นรูปเปลวไฟ ตัวป้ายนั้นหลอมขึ้นมาจากแร่โลหะผสมทองคำ เมื่อโคจรพลังปราณใส่ลงไป ค่ายอาคมที่บรรจุอยู่ในแผ่นป้ายก็จะถูกเปิดใช้งาน ซึ่งหมายความว่าป้ายประจำตัวชิ้นนี้เป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับสูง
นับว่าอาณาจักรเกิงจินนั้นร่ำรวยและทรงพลังอย่างแท้จริง
“ทำไมดูรวดเร็วรวบรัดจังเลยขอรับ ไม่มีพิธีเปิดอะไรสักหน่อยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“องค์จักรพรรดิได้รับบาดเจ็บสาหัส บัดนี้ยังพักรักษาตัวไม่หายดี นอกอาณาจักรเต็มไปด้วยไฟสงคราม ในอาณาจักรก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างควรถูกจัดอย่างเรียบง่ายมากที่สุด เป็นเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว”
องค์ชายหลิงหวงฉีกล่าว “รอให้ได้ผู้ชนะการประลองก่อนเถอะ รับรองว่ามีการจัดพิธีอย่างสมเกียรติแน่… ความจริง มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็อยากจะเป็นคู่ครองขององค์หญิงไข่มุกขาว”
“ตำแหน่งราชบุตรเขยมีอำนาจจนผู้คนอยากจะเป็นถึงขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ไม่เชิงหรอก”
องค์ชายหลิงหวงฉีชำเลืองมองไปมายังหลินเป่ยเฉินและอธิบายต่อไป “ผู้คุมอำนาจที่แท้จริงยังคงเป็นผู้คนในราชวงศ์หลิง ยากที่จะมีผู้อื่นเข้าไปแทรกแซงได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ผู้คนอยากจะเป็นคู่ครองของหลิงเฉินนั้น เป็นเพราะพวกเขาอยากจะเข้าสู่วิหารแห่งผู้แปรธาตุต่างหาก เพราะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวลือว่าองค์หญิงไข่มุกขาวคือสายเลือดของบรรพบุรุษผู้แปรธาตุโดยตรง และบุตรที่นางจะให้กำเนิดในอนาคต ก็จะมีพลังสูงล้ำกว่าทารกคนอื่น ๆ และมีความเป็นไปได้สูงที่ทารกผู้นั้นจะเติบโตไปเป็นบรรพบุรุษแห่งสายเลือดผู้แปรธาตุคนที่สอง”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับหยุดชะงักไปทันที
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?
แต่เมื่อลองนึกทบทวนดูดี ๆ ตอนที่หลินเป่ยเฉินเจอหลิงเฉินในจักรวรรดิเป่ยไห่ นางก็ไม่ได้เป็นคนปกติแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะว่าในร่างกายของนางมีวิญญาณอยู่ถึงสองดวง
ด้วยเหตุนี้ มารดาของหลิงเฉินจึงอยากจะใช้พลังของเว่ยหมิงเฉินในการรักษาโรคประหลาดของบุตรสาว
ต่อมา เมื่อถูกผู้คนในราชวงศ์แห่งอาณาจักรเกิงจินพาตัวกลับมายังเส้นทางดาราจักร โรคประหลาดของหลิงเฉินก็ได้รับการรักษาจนหายดี
ตอนนั้น หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าการที่หลิงเฉินถูกพาตัวกลับมาสู่ดวงดาวที่เป็นบ้านเกิดของนางนั้น คงเป็นเรื่องราวของสายใยในครอบครัว แต่เมื่อรับฟังเรื่องราวมาจนถึงขณะนี้…เกรงว่าการที่นางถูกพาตัวกลับมานั้น คงเป็นเพราะสายเลือดที่อยู่ในร่างกายของนางต่างหาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดพวกเผ่าอสูรสีครามจึงอยากจะแต่งงานกับนางนัก
“การประลองครั้งนี้มีผู้คนเข้าร่วมเท่าไหร่หรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
องค์ชายหลิงหวงฉีตอบว่า “มีมากมายนับไม่ถ้วน ขอเพียงเป็นยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติดีพอ ทุกคนก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าจะมาจากสำนักเล็กหรือสำนักใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษหรือตัวชั่วร้าย ทุกคนก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้อย่างเท่าเทียมกัน คาดว่าจำนวนผู้เข้าร่วมการประลองทั้งหมดน่าจะมีมากกว่าหมื่นคน”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวถามว่า “มากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือขอรับ?”
องค์ชายหลิงหวงฉีถอนหายใจเล็กน้อย “ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่ควรประมาทเด็ดขาด ผู้เข้าร่วมประลองแต่ละคนต่างก็เป็นยอดอัจฉริยะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นวีรบุรุษ… บางคนถึงกับเป็นตัวชั่วร้ายที่ข้าไม่อยากเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะและกล่าวว่า “เข้าใจแล้วขอรับ… ว่าแต่ว่าข้าน้อยอยากพบเฉินเอ๋อร์ก่อน ไม่ทราบว่าท่านลุงพอจะช่วยจัดการให้ได้หรือไม่?”
องค์ชายหลิงหวงฉีรีบส่ายศีรษะทันที “บัดนี้ นางกำลังพักรักษาตัวอยู่ในตำหนักหลวง ไม่มีเวลาออกมาพบกับเจ้าหรอก แล้วก็อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประลอง หากผู้คนรู้ว่าเจ้าแอบไปเจอกับนางเป็นการส่วนตัว อาจจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้ในภายหลัง และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็คงช่วยเหลือเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
“ท่านลุงนี่พึ่งพาไม่ได้เลยจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินบ่นอุบ “งั้นข้าขอพบเยว่หมู่*[1] ของข้าก่อนได้หรือไม่?”
“ผู้ใดนะ?”
องค์ชายหลิงหวงฉีหยุดชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาโดยทันที หลังจากลังเลเพียงครู่เดียวก็พยักหน้าตอบตกลง “ได้สิ ข้าจะพาเจ้าไปพบเจอนางเดี๋ยวนี้”
…
วังหลวง
ตำหนักหลัง
สวนดอกไม้ที่เงียบสงบ
ชินหลันซูนั่งเท้าคางอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยความเหม่อลอย
สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
นับตั้งแต่ที่นางมาถึงอาณาจักรเกิงจิน ชินหลันซูก็ถูกแยกตัวออกจากบุตรสาวโดยทันที
ในทุก ๆ เดือน ชินหลันซูจะได้พบกับบุตรสาวเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
และการพบเจอแต่ละครั้งก็มีเวลาจำกัดเพียงหนึ่งก้านธูป
แต่บัดนี้ ชินหลันซูเข้าใจแล้วว่าการที่ราชวงศ์หลิงนำตัวบุตรสาวของนางกลับมานั้น เป็นเพราะสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหลิงเฉินนั่นเอง
ส่วนชินหลันซูผู้เป็นมารดาไม่ได้มีค่าอันใดในสายตาของราชวงศ์หลิงเลย แม้ว่านางจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและได้อยู่ในตำหนักหลังงาม แต่ในความเป็นจริง นี่ไม่ต่างจากการถูกกักบริเวณ
และแน่นอนว่าชินหลันซูย่อมถูกตัดขาดจากข่าวสารของโลกภายนอก
นางไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แม้กระทั่งการประลองเพื่อเลือกคู่ครองให้แก่บุตรสาวของนาง ก็ยังไม่มีผู้ใดมาบอกกล่าวกับชินหลันซูผู้เป็นมารดาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักนิด
แหล่งข่าวเดียวที่นางมีก็คือแม่บ้านประจำตำหนักที่จะนำอาหารมาส่งในทุก ๆ วัน
“หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สู้ให้เฉินเอ๋อร์แต่งงานกับหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ก็ดีหรอก อย่างน้อยเด็กสองคนนั้นก็รักกันจริง ๆ”
ชินหลันซูรู้สึกเศร้าเสียใจในวันที่สายเกินไป
อย่างน้อย บุตรสาวของนางก็จะได้อยู่กับคนที่นางรัก
การได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรัก ในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ชินหลันซูย่อมทราบดีว่ามันมีความสุขเพียงใด
บัดนี้ นางได้กลับสู่อาณาจักรเกิงจิน แต่กลับไม่สามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้ ทั้งยังตกไปอยู่ในกำมือของผู้อื่น แม้แต่ชะตาชีวิตของบุตรสาว ชินหลันซูก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้อีกแล้ว… และเมื่อนางได้ข่าวว่าตัวแทนที่เผ่าอสูรสีครามจะส่งมาเข้าร่วมการประลองเพื่อเป็นคู่ครองของหลิงเฉินนั้น คืออสูรอายุหลายหมื่นปีที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ หากบุตรสาวของนางต้องตกไปอยู่ในกำมือของอสูรตนนั้นจริง ๆ การมีชีวิตอยู่ยังไม่สู้ตกตายอีกหรือ?
สายลมโชยพัดแผ่วเบา
กลีบดอกไม้โปรยปราย
ชินหลันซูนั่งจมอยู่กับความเศร้าและความวิตกกังวล
นางเศร้าเสียใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
[1] เยว่หมู่ แปลว่าแม่ยาย
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วเกือบยี่สิบตอน!! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย