เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2006 ทำไมถึงไม่ปรากฏตัว
ตอนที่ 2,006 ทำไมถึงไม่ปรากฏตัว
ชินหลันซูมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
หลินเป่ยเฉินต้องมาพบกับนางในสภาพที่น่าอับอายและทุกข์ทรมานเช่นนี้ เขาคงแอบหัวเราะเยาะนางอยู่ในใจแล้วกระมัง?
องค์ชายหลิงหวงฉีขมวดคิ้วหน้ายุ่งและถามหนึ่งในกลุ่มขันทีผู้ติดตามที่ได้รับบาดเจ็บว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน? พวกเจ้ากล้าลอบสังหารมารดาที่แท้จริงขององค์หญิงไข่มุกขาวเชียวหรือ? พวกเจ้าไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ใด…”
องค์ชายหลิงหวงฉีหันกลับไปหาหัวหน้าขันที “…เจ้าตอบมาเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าขันทีผมขาวไม่กล่าวคำใดอีกแล้ว
องค์ชายหลิงหวงฉีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบก้มลงไปดูและพบว่าหัวหน้าขันทีผู้นี้ไม่หายใจอีกต่อไป
ฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ?
องค์ชายหลิงรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่มีทางสังหารหัวหน้าขันทีผู้นี้เด็ดขาด เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจจะเก็บอีกฝ่ายไว้สอบปากคำในภายหลัง
แต่ขันทีเฒ่ากลับชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
ส่วนขันทีผู้ติดตามและกลุ่มหญิงรับใช้ย่อมไม่ทราบเรื่องราวใดเลย เมื่อสอบปากคำดูแล้ว พวกเขาถึงได้รู้ว่าทุกคนเพิ่งถูกย้ายตัวมาจากแผนกอื่นเป็นการชั่วคราว นั่นจึงหมายความว่าเนื้อหาในพระราชโองการที่หัวหน้าขันทีบอกแก่ชินหลันซูนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
“องค์จักรพรรดิไม่มีทางสั่งประหารมารดาขององค์หญิงเด็ดขาด”
แต่น่าเสียดายที่ผู้ร้ายเพียงหนึ่งเดียวอย่างหัวหน้าขันทีเฒ่ากลับเสียชีวิตลงแล้ว แม้แต่วิญญาณก็แหลกสลาย จึงไม่สามารถเรียกคืนกลับมาสอบสวนได้อีก
แอบอ้างพระราชโองการ?
บัดนี้ ชินหลันซูรู้แล้วว่าตนเองโชคดีเพียงใดที่ยังมีชีวิตอยู่
ความสนใจของนางกลับมาที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้งขณะถามว่า “สรุปว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่?”
“ข้าก็ต้องมาเยี่ยมเยว่หมู่สุดที่รักของข้าสิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปกวักมือเรียกบรรดาหญิงรับใช้ “พวกเจ้ารีบนำอาหารมาจัดวางได้แล้ว… พวกเราทานไปด้วยพูดคุยกันไปด้วยดีกว่า”
ชินหลันซูแทบพูดคำใดไม่ออกอีกแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดเลยจริง ๆ
ที่นี่คือวังหลวงแห่งอาณาจักรเกิงจิน
หลินเป่ยเฉินเพิ่งฆ่าคนตาย แต่ยังมีอารมณ์มานั่งทานอาหารอีกหรือ?
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่สงบเยือกเย็นขององค์ชายหลิงหวงฉี ชินหลันซูก็พยายามบอกตนเองให้สงบจิตใจลงเช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ภายในสวนดอกไม้ก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
อาหารแต่ละชนิดที่ทางวังหลวงจัดเตรียมมาให้แก่ชินหลันซูในวันนี้ล้วนแต่เป็นสุดยอดอาหารชั้นดีทั้งสิ้น วัตถุดิบแต่ละอย่างที่นำมาปรุงเป็นอาหารนั้นคือสุดยอดของหายาก ไม่ว่าจะเป็นตับมังกร น่องนกเพลิง หากคนธรรมดาทานอาหารเหล่านี้ก็จะมีชีวิตยืนยาว หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทานเข้าไป พลังปราณในร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
“เจ้าไม่กลัวหรือว่าในอาหารเหล่านี้จะมียาพิษ”
องค์ชายหลิงหวงฉีถามขึ้นมาเบา ๆ
“เออ จริงด้วยแฮะ”
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว ก่อนจะส่งตะเกียบไปให้และกล่าวว่า “ท่านลุงอยากลองรับประทานดูก่อนไหมขอรับ?”
องค์ชายหลิงหวงฉีพูดอะไรไม่ออก
เจ้าเด็กคนนี้กลับไปนิสัยเสียเหมือนเดิมอีกแล้ว!
แต่ความจริงนั้น องค์ชายหลิงหวงฉีรู้อยู่แล้วว่าอาหารเหล่านี้ไม่มียาพิษซ่อนอยู่
หลินเป่ยเฉินนำไวน์ที่ตนเองซื้อมาจากโทรศัพท์มือถือออกมารินให้แก่มารดาของหลิงเฉิน หลังจากนั้น เขาก็บอกเล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกให้นางฟัง แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ก็จะเน้นถึงวีรกรรมวีรบุรุษของหลินเป่ยเฉิน รวมไปถึงเรื่องที่บอกว่าขั้นพลังในปัจจุบันของเขามีความแข็งแกร่งเพียงใด
ชินหลันซูรับฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความตกตะลึง
นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเด็กหนุ่มจอมเสเพลที่ตนเองเชื่อว่าไม่สามารถหาดีได้ในอดีตนั้น จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงเพียงนี้
นับว่าบุตรสาวของนางมีสายตาเฉียบแหลมใช่หรือไม่?
“จริงด้วยสิ เยว่หมู่ขอรับ เมื่อสักครู่ท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย ทำไมข้าถึงไม่เห็นพวกของเยว่ฝู*[2]มาช่วยเหลือท่านเลย?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่าหลิงจุนเซวียนกับหลิงไท่ซวีก็ร่วมเดินทางมาพร้อมกับหลิงเฉินไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงหายหน้าหายตาไป?
ทำไมถึงไม่ปรากฏตัวออกมา?
“เขา… จุนเซวียนก็มาที่นี่ด้วยหรือ?”
สีหน้าของชินหลันซูดูประหลาดใจมากยิ่งกว่าหลินเป่ยเฉินเสียอีก
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักและหันไปมองทางองค์ชายหลิงหวงฉีโดยไม่รู้ตัว
ผู้ถูกจ้องมองถอนหายใจและอธิบายว่า “ความจริง หลิงจุนเซวียนและพรรคพวกได้มาถึงที่นี่แล้ว แต่พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นและไม่เคยมาเยี่ยมแม่นางชินหลันซู…. ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการตัดสินใจขององค์หญิงหลิงเฉินแต่เพียงผู้เดียว”
หลินเป่ยเฉินรับฟังมาถึงตรงนี้ก็ต้องอุทานอยู่ในใจว่า…
เชี่ยไรวะเนี่ย?
เขานึกว่าพ่อตากับแม่ยายของตนเองจะได้ครองรักกันอย่างสงบสุขแล้วเสียอีก
คิดไม่ถึงเลยว่า… ชะตากรรมความรักของพวกท่านจะไม่ต่างไปจากหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า*[1]
ดูเหมือนสถานการณ์ความรักระหว่างพ่อตาแม่ยายของเขาจะมีความซับซ้อนมากกว่าที่หลินเป่ยเฉินเคยคิดเอาไว้
เพียงแต่ชินหลันซูไม่เคยพูดออกมาเท่านั้น
“เยว่หมู่ขอรับ ความจริงท่านเองก็เป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในอาณาจักรเกิงจินเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้มีสถานะสูงส่ง แต่ท่านก็ไม่ควรถูกกักบริเวณเช่นนี้”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่ชินหลันซู
มารดาของหลิงเฉินยิ้มรับด้วยความขมขื่นใจ
นางเป็นเพียงหญิงที่แต่งงานกับคนในราชวงศ์หลิงเท่านั้น
ตัวนางจึงแทบไม่ถูกนับเป็นหนึ่งในราชวงศ์ด้วยซ้ำ
แล้วจะเรียกว่าเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้อย่างไร?
เมื่อได้ลองมาคิดทบทวนดูดี ๆ แล้ว ชินหลันซูก็ทราบว่าเหตุผลที่ตนเองถูกนำตัวกลับมายังอาณาจักรเกิงจินพร้อมกับบุตรสาว ไม่ใช่เพราะนางพาเด็กน้อยที่มีสถานะเป็นองค์หญิงหลบหนีไป แต่พวกนางถูกพาตัวกลับมาเพราะสายเลือดของหลิงเฉินต่างหาก
อาณาจักรเกิงจินคงมีวิธีการบางอย่างในการใช้งานสายเลือดของหลิงเฉิน มิเช่นนั้น พวกเขาคงไม่ทุ่มเทพาตัวนางกลับมาที่นี่แน่
ชินหลันซูไม่ตอบคำถามของหลินเป่ยเฉินโดยตรง
แต่นางถามกลับไปว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อพาตัวเฉินเอ๋อร์กลับไปใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินรีบส่ายศีรษะปฏิเสธโดยเร็ว “ทำเช่นนั้นข้าก็เดือดร้อนสิขอรับ มีหวังอาณาจักรเกิงจินได้ส่งผู้คนไปไล่ล่าตัวข้าทั่วเส้นทางดาราจักรแน่”
ชินหลันซูชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที
เจ้าเด็กคนนี้ก็รู้จักกลัวเหมือนกันหรือ?
ทีตอนมาล่อลวงลูกสาวของนาง ไม่เห็นเขากลัวเช่นนี้บ้าง
“ข้าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้”
ชินหลันซูหันไปมองหน้าองค์ชายหลิงหวงฉีก่อนจะส่งเสียงผ่านทางกระแสจิตบอกกับหลินเป่ยเฉินว่า “ข้าจะช่วยทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น”
หืม?
หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับทันที
“ตกลงว่าเยว่หมู่จะไม่ขัดขวางความรักระหว่างเฉินเอ๋อร์กับข้าแล้วใช่หรือไม่?”
เขาร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น โดยไม่สนใจองค์ชายหลิงหวงฉีที่ยืนหัวโด่อยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย
ชินหลันซูหยุดชะงักและรีบขยิบตาส่งสัญญาณโดยเร็ว
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงขอรับ องค์ชายท่านนี้เป็นคนของข้าเอง”
ชินหลันซูยิ่งขมวดคิ้วด้วยสงสัยมากกว่าเดิม
นางไม่ทราบเลยว่าระหว่างทางมายังอาณาจักรเกิงจิน เหตุใดหลินเป่ยเฉินจึงสามารถเอาชนะใจผู้คนได้มากมายถึงเพียงนี้
[1] หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า คือตำนานความรักของจีนโบราณ เล่าขานถึงหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้าที่มีชะตากรรมรักอาภัพทำให้สามารถพบกันได้เพียงปีละครั้งเท่านั้นคือในวันที่ 7 เดือน 7 ณ สะพานนกกระเรียน
[2] เยว่ฝู แปลว่าพ่อตา