เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2008 ข้ามีเหตุผล
ตอนที่ 2,008 ข้ามีเหตุผล
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
ของล้ำค่าเช่นนี้มาอยู่ในตัวท่านแม่ยายของเขาได้อย่างไร?
นี่คือเรื่องราวที่แปลกประหลาดมากเกินไป
หากมีผู้คนล่วงรู้เรื่องนี้ เกรงว่าท่านแม่ยายของเขาคงถูกจับตัวไปชำแหละร่างกายไปนานแล้ว
“นี่คือโลหิตพิสุทธิ์หยดสุดท้ายที่เหลืออยู่ในร่างกายของข้าหลังจากให้กำเนิดเฉินเอ๋อร์”
ชินหลันซูกลับสู่ความปกติและกล่าวอย่างช้า ๆ
การกรีดหน้าอกเพื่อนำโลหิตพิสุทธิ์ออกมานั้นดูจะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อร่างกายของนางเลย
นั่นเป็นเพราะว่าโลหิตพิสุทธิ์หยดนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในร่างกายของนาง แต่ชินหลันซูเพียงใช้หัวใจของตนเองเป็น ‘ภาชนะ’ บรรจุมันเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น
มิหนำซ้ำ การได้นำโลหิตพิสุทธิ์ออกมาจากร่างกาย ยังเท่ากับเป็นการปลดเปลื้องภาระบางอย่างออกไปอีกด้วย
“ท่านแม่ขอรับ เหตุใดท่านจึงได้มีสิ่งล้ำค่าเช่นโลหิตพิสุทธิ์หยดนี้อยู่ในร่างกายได้?”
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นคนโง่เขลา แต่เขาก็รู้ว่าโลหิตพิสุทธิ์จากบรรพบุรุษแห่งสายเลือดผู้แปรธาตุนั้นมีค่ามากมายเพียงใด
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับจอมเทพอนันต์ โลหิตพิสุทธิ์ระดับนี้เพียงหยดเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จ
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป โลหิตพิสุทธิ์ระดับสูงเช่นนี้เพียงหยดเดียว ก็ทำให้พวกเขาเหาะเหินเดินอากาศได้แล้ว
เผ่าพันธุ์มนุษย์มีผู้บุกเบิกสายเลือดอยู่เพียงยี่สิบสี่คน
ดังนั้นโลหิตที่บรรพบุรุษเหล่านั้นเหลือทิ้งไว้จึงเป็นสิ่งที่หายากยิ่งนัก
“เหตุที่ข้าต้องหลบหนีไปจากอาณาจักรเกิงจินและเส้นทางดาราจักรนั้น เป็นเพราะว่าข้าสัมผัสได้ถึงพลังของโลหิตแห่งสายเลือดผู้แปรธาตุที่อยู่ในร่างของตนเอง ตอนนั้นบิดาของข้ามุ่งหวังในลาภยศสรรเสริญจึงส่งตัวข้าเข้าสู่วังหลวง ทางวังหลวงจึงส่งข้าไปที่วิหารแห่งผู้แปรธาตุ แต่ประตูของวิหารก็ไม่ได้เปิดออก ถึงกระนั้น องค์จักรพรรดิก็ยังรับข้าเป็นบุตรบุญธรรม และพยายามคิดหาทางนำโลหิตพิสุทธิ์เหล่านั้นออกมาจากร่างกายของข้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดสามารถนำมันออกมาได้สำเร็จ”
“ต่อมา ไม่ทราบเลยว่าข่าวนี้เล็ดลอดออกไปได้อย่างไร บรรดาคนใหญ่คนโตต่างก็เข้ามาสอบถามเรื่องราวนี้กับองค์จักรพรรดิ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเฉินเอ๋อร์ในขณะนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับข้าในอดีตทั้งสิ้น แม้ว่าอาณาจักรเกิงจินจะเป็นดินแดนที่มีความแข็งแกร่ง มั่นคงและรุ่งเรือง แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะต้านทานการผนึกกำลังกันของอาณาจักรอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวแปรสำคัญยังมีเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจที่รอคอยอยู่ในความมืด ตอนนั้นถึงกับมีการจัดประลองเช่นนี้ขึ้นมาเช่นกัน…”
“ภายหลัง องค์จักรพรรดิถึงกับยอมส่งข้าไปที่ดินแดนตงเต้าเพื่อหลบภัย พวกเราตกลงกันว่ารอจนพายุลมฝนผ่านพ้นไปเมื่อไหร่ องค์จักรพรรดิก็จะส่งคนไปรับตัวข้ากลับมา”
“หลังจากที่ข้าไปถึงแผ่นดินตงเต้า ข้าก็ได้ให้กำเนิดเฉินเอ๋อร์ออกมา”
“ระหว่างที่ข้ากำลังตั้งครรภ์ ข้าก็พบว่าเฉินเอ๋อร์ได้ดูดซับโลหิตพิสุทธิ์ที่อยู่ในตัวข้าไปเกือบหมดสิ้น…”
“ตอนนั้นข้ายังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่สำหรับเฉินเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องดีสำหรับนาง”
“ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่นางมีสายเลือดของบรรพบุรุษผู้แปรธาตุในร่างกายบริสุทธิ์ยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
“นี่สมควรเป็นเรื่องมงคล”
“ตอนนั้นข้าตื่นเต้นมาก”
“ข้าคิดว่านี่เป็นข่าวดี เพราะตราบใดที่เฉินเอ๋อร์สามารถหลอมรวมสายเลือดของบรรพบุรุษที่อยู่ในร่างกายของนางได้ นางก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแห่งอาณาจักรเกิงจิน และการครอบครองเส้นทางดาราจักรก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป…”
“แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา เฉินเอ๋อร์ก็ป่วยเป็นโรคสองวิญญาณ”
“ทุกครั้งที่อาการของนางกำเริบ ทุกครั้งที่ถูกวิญญาณที่สองครอบครองร่าง อายุขัยของเฉินเอ๋อร์ก็จะลดลง”
“ข้าไม่สามารถรอจนถึงวันที่อาณาจักรเกิงจินส่งตัวผู้คนมารับพวกเรากลับไปได้ ดังนั้นข้าจึงต้องคิดหาวิธีอื่นด้วยตนเอง”
“ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว”
ชินหลันซูเล่าเรื่องราวทั้งหมดรวดเดียวจบ
ในที่สุด ปริศนาที่เคยค้างคาใจหลินเป่ยเฉินหลายข้อก็ได้รับการไขกระจ่าง
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ยังคงมีอีกหลายคำถามที่ไม่มีคำตอบ
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามารดาของหลิงเฉินเจตนาข้ามเรื่องราวบางอย่างไป
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองยังไม่ได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของหลิงเฉินสักเท่าไหร่
มารดาของนางกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่?
แต่ในฐานะผู้น้อย มันคงเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะถามคำถามเช่นนั้นกับผู้อาวุโสในเวลาเช่นนี้
“เจ้ายังมัวทำอะไรอยู่อีก?”
ชินหลันซูยื่นฝ่ามือมาตรงหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “รีบรับไปหลอมรวมพลังเถอะ นี่คือโลหิตหยดสุดท้ายที่เหลืออยู่จากตอนให้กำเนิดเฉินเอ๋อร์ ข้ารู้ดี ข้าซ่อนมันไว้ในหัวใจของตนเองนานนับสิบปี บัดนี้ มันเป็นของเจ้าแล้ว แต่เจ้าจงจำสิ่งที่ตนเองพูดเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องปกป้องบุตรสาวของข้าให้ได้”
ชินหลันซูเองก็รู้สึกซาบซึ้งกับความมุ่งมั่นของหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจส่งมอบโลหิตพิสุทธิ์จากบรรพบุรุษผู้แปรธาตุให้แก่เขา
หลินเป่ยเฉินรับโลหิตพิสุทธิ์หยดนั้นมาอย่างไม่ลังเลใจอีกต่อไป
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ ข้าน้อยจะต้องปกป้องเฉินเอ๋อร์ให้ได้”
เขายกมือขึ้นสาบานด้วยความหนักแน่น จนเห็นได้ชัดว่าเป็นการแสดงเพื่อเอาใจนาง
ชินหลันซูอยากจะขอโลหิตพิสุทธิ์คืนกลับมาทันที
หากไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน หากไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้และตัดสินด้วยพฤติกรรมที่เห็นในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็คงไม่ได้เป็นสิ่งใดเลย นอกจากคนเสเพลที่เห็นแก่เงินและลุ่มหลงในราคะเท่านั้น
ควันขาวจากระเบิดควันจางหายไป
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อยก็กล่าวว่า “ท่านแม่ขอรับ ท่านอย่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย ข้าจะพาท่านไปซ่อนตัวในสถานที่ที่ปลอดภัย ถึงองค์ชายหลิงจะบอกว่าสุราพิษชนิดนั้นไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี หากผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ลงมืออีกครั้งเล่า?”
ชินหลันซูส่ายศีรษะ ก่อนจะตอบว่า “ข้ามีเหตุผลที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ข้ารับปากว่าจะระวังตัวให้มากขึ้น”
เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ขอตัวอำลาจากมาในที่สุด
…
“ล้มเหลวอย่างนั้นหรือ?”
ในวิหารดวงตะวัน เมื่อองค์ชายหลงได้รับทราบข่าว คิ้วของเขาก็เลิกขึ้นสูง ดวงตาเบิกโต ใบหน้ากระตุก
หญิงผู้นั้นรอดชีวิตไปได้
แต่ไม่สำคัญหรอก
เพราะว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว
องค์ชายหลงได้รับทราบว่าผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือสตรีผู้นั้นคือองค์ชายหลิงหวงฉีกับบุรุษผมขาวผู้หนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้องค์ชายหลงต้องขบคิดอะไรบางอย่าง
องค์ชายหลงเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดแห่งอาณาจักรเกิงจิน มีสตรีนับไม่ถ้วนที่พร้อมตายต่อหน้าเขาเพราะทนความหล่อเหลาไม่ไหว ผิวพรรณขององค์ชายหลงขาวผ่องปราศจากตำหนิ ร่างกายสูงโปร่งบอบบาง หากมองจากระยะไกลอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าองค์ชายหลงเป็นสตรีเอาได้
ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสวนทางกับพลังการต่อสู้สุดแข็งแกร่ง
เพียงระยะเวลาไม่นาน องค์ชายหลงก็ได้รับการจับตาไปทั่วอาณาจักรเกิงจิน และเขาก็ถูกยกย่องให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร
“หลิงหวงฉีอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์ชายหลง
ในฐานะองค์ชายผู้โด่งดังแห่งอาณาจักรเกิงจิน องค์ชายหลงไม่เคยให้ความสนใจกับเชื้อพระวงศ์ที่มีนามว่าหลิงหวงฉีมาก่อน
แต่ดูเหมือนองค์ชายหลิงหวงฉีจะสนิทสนมกับหลิงเฉินอยู่ไม่น้อย
สงสัยคงต้องสืบสวนดูซะแล้วสิ
แต่คำถามสำคัญก็คือบุรุษผมขาวผู้นั้นเป็นใคร?
“ไปสืบข้อมูลมาซะ”
องค์ชายหลงออกคำสั่งเสียงเรียบ
คำสั่งเพียงประโยคเดียวมีอำนาจมากมายจนผู้คนไม่อาจจินตนาการได้
ผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป ข้อมูลของบุรุษหนุ่มผมขาวก็ถูกนำมาส่งให้แก่องค์ชายหลงอย่างครบถ้วน
“อวี้เหวินซิวเซียน?”
“จากอาณาจักรซือเว่ย”
“เป็นคนที่องค์ชายหลิงหวงฉีพบระหว่างเดินทางกลับมาที่นี่”
“คาดว่าขั้นพลังคงอยู่ในระดับจอมเทพอนันต์”
“มีความข้องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ”
“เผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากอ่านข้อมูลทุกอย่างจบ องค์ชายหลงก็หลับตาและเคาะนิ้วมือไปบนโต๊ะไม้เบา ๆ อย่างใช้ความคิด