เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 212 เผชิญหน้ากันอีกครั้ง
บทที่ 212 เผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“สามหาวนัก” ฮันปู้ฟู่ลุกขึ้นยืนส่งเสียงคำราม “เฉาพั่วเถียน ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าเคยเป็นใครมาก่อน แต่บัดนี้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่หก กล้าดีอย่างไรถึงได้พูดจาหยาบคายใส่ผู้ที่มีฐานะเป็นอาจารย์โดยชอบธรรมอย่างนี้? หรือว่าสมองของเจ้ามันใช้การไม่ได้เสียแล้ว?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ในดวงตาไม่ปรากฏความหวาดหวั่น ด้วยเพราะฮันปู้ฟู่ทนเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ
ลูกศิษย์ก็คือลูกศิษย์
อาจารย์ก็คืออาจารย์
ต่อให้ไม่ได้อยู่ในสถานศึกษาเดียวกัน แต่ก็ยังมีลำดับอาวุโสให้เคารพนับถือ
สำหรับในมุมมองของฮันปู้ฟู่ การทำตัวหยาบคายใส่ผู้ที่มีความอาวุโสมากกว่าอย่างอาจารย์ฉู่ คือสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้
“ฮ่าฮ่า น่าตลกสิ้นดี”
เฉาพั่วเถียนหัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม “ข้าเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่หกแค่ชั่วคราวเท่านั้น ต่อให้เป็นอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา ข้าก็ยังตบหัวได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสถาบันของพวกเจ้า โดยเฉพาะเจ้าน่ะ ไม่เคยอยู่ในสายตาของข้าแม้แต่น้อย เจ้าถือดีอย่างไรมาขึ้นเสียงใส่ข้า? แต่ข้าก็นับถือความกล้าหาญของเจ้าพอสมควร เก่งจริงก็ประกาศชื่อของเจ้าออกมา แล้วข้าจะจำชื่อของเจ้าไว้ให้ดีทีเดียว!”
“ข้ามีนามว่า …”
ฮันปู้ฟู่ไม่ลังเลที่จะบอกชื่อเสียงเรียงนามของตนเองออกไป
แต่ฉู่เหินก็ยกมือห้าม เพราะไม่ต้องการให้ฮันปู้ฟู่เข้ามาเกี่ยวข้องในความขัดแย้งครั้งนี้
ชายชรารู้ดีว่าเฉาพั่วเถียนกำลังคิดอะไรอยู่ หากฮันปู้ฟู่ตกเป็นเป้าหมายบัญชีของเด็กหนุ่มผมทอง อนาคตที่ควรจะยาวไกลของฮันปู้ฟู่ก็คงมีอันจบสิ้นลงแล้ว
ฉู่เหินดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมาที่ตนเองอีกครั้งด้วยการพูดว่า “เฉาพั่วเถียน เจ้ายังต้องการคำอธิบายอะไรอีก?”
เฉาพั่วเถียนมองหน้าฮันปู้ฟู่เหมือนพยายามจะจดจำใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมให้ขึ้นใจ หลังจากนั้น เขาถึงได้ยิ้มมุมปาก กล่าวตอบว่า “ข้าต้องการคำอธิบายเรื่องที่เจ้าใช้มือเหล็กของตัวเองทำลายมือที่บอบบางของอาจารย์ฉู่เหินอย่างไม่มีเหตุผล”
ฉู่เหินชะงักไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นอกจากเจ้าจะสามารถทรยศอาจารย์ตัวเองได้อย่างไร้ยางอายแล้ว อีกหนึ่งความสามารถของเจ้าที่โดดเด่นไม่แพ้กันก็คือการเป็นสุนัขรับใช้ผู้อื่นสินะ…ในเมื่อเจ้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ ก็จงเข้ามารับบทเรียนจากข้าเสียดีๆ”
อาจารย์ฉู่ยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียกเฉาพั่วเถียน
เด็กหนุ่มผมทองใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล “เจ้ากล้าดูถูกข้าที่เป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
ฉู่เหินทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด “เฉาพั่วเถียน อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของเจ้า ก็ไม่มีสิทธิ์มาอาละวาดในเมืองนี้ เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองไป๋หยุน”
“เจ้ามันปากดีมากเกินไปแล้ว!” เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับระเบิดพลังลมปราณออกจากร่างกาย
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เขาติดตามเซียนกระบี่ไป๋ไห่ชินเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาประจำเมืองไป๋หยุนอย่างหนักหน่วง ทำให้ในขณะนี้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 4 แล้ว
การที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินในงานประลองกระบี่ เป็นเพราะเขาประมาทมากเกินไป
ถ้าให้มาสู้กันตัวต่อตัว เฉาพั่วเถียนมั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการหลินเป่ยเฉินได้ไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง
อย่าว่าแต่หลินเป่ยเฉินเลย ต่อให้เป็นคณะอาจารย์ทุกคนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ
นี่คือเหตุผลที่เฉาพั่วเถียนกล้าทำตัวหยาบคายใส่ฉู่เหิน
หลังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไป๋หยุน 3 ปีเต็ม เฉาพั่วเถียนก็เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนโหดร้ายอำมหิต ติดการข่มเหงรังแกผู้อื่นอยู่เป็นนิจ เมื่อเห็นแขนกลที่ประกบอยู่กับหัวไหล่ของฉู่เหิน เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าพวกมันถูกหลอมขึ้นมาด้วยวิธีการพิเศษ ทำให้เฉาพั่วเถียนคิดอยากจะได้มาครอบครองอย่างไม่มีเหตุผล
เขาใช้การแก้แค้นแทนชิวเทียนเป็นข้ออ้างก็เท่านั้นเอง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉู่เหินจะไม่กลัวชื่อเสียงของเมืองไป๋หยุน
ดังนั้น เฉาพั่วเถียนจึงต้องรีบเปลี่ยนแผนทันที เขาระเบิดพลังลมปราณออกจากร่างกาย มวลพลังกดดันทุกคนรอบตัว ทำให้หายใจไม่สะดวกขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ฉู่เหินกำลังจะลงมือโจมตี
แต่หลินเป่ยเฉินก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า
“อาจารย์ฉู่ เดี๋ยวข้าจัดการเองขอรับ”
เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งดังขึ้นพร้อมกับที่มีมวลพลังงานสีฟ้าแผ่ออกมาจากร่างกายหลินเป่ยเฉิน
ฉู่เหินคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องออกหน้าช่วยเหลือทุกคนแน่นอน ดังนั้น เขาไม่ได้ห้ามปราม เพราะชายชรารู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินไม่เหมือนฮันปู้ฟู่ เจ้าลูกเต่ามีรายชื่อในบัญชีแค้นของเฉาพั่วเถียนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องประนีประนอมกันอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเนี่ยนะ? ไม่รู้ตัวเสียแล้วว่ากำลังรนหาที่ตาย…แต่เอาเถอะ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้เองว่า ในคืนประลองกระบี่ เจ้าโชคดีมากเพียงใดที่ชนะข้าได้…” เฉาพั่วเถียนลงมือโจมตีโดยทันที
ลำแสงสีทองเป็นประกายเหมือนคมกระบี่พุ่งเข้าใส่หัวใจของหลินเป่ยเฉิน
เฉาพั่วเถียนมีพลังปราณธาตุทองคำ นับเป็นพลังที่มีความอำมหิตมากที่สุด
การโจมตีในครั้งนี้ใช้ออกมาด้วยกระบวนท่าชั้นสูงและมีพลังทำลายล้างรุนแรง
“ระวังตัว…”
พานเว่ยหมินรีบร้องเตือนด้วยความตกใจ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้แสดงความตื่นกลัวแม้แต่น้อย เขายกมือขึ้นและซัดพลังโต้กลับ
เด็กหนุ่มใช้ออกไปด้วยวิชาฝ่ามือเทพเจ้า ร้อยก้าวสู่ปรภพ
นี่คือวิชาที่เขาได้มาจากหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรในหุบเขาชายแดนเหนือ
และนี่นับเป็นครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินใช้วิทยายุทธ์ระดับ 3 ดาว
ลำแสงสีฟ้าสดใสพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา และมันก็ปะทะเข้ากับลำแสงสีทองคำอย่างจัง
ตู้ม!
ในห้องรับประทานอาหารพลันแผ่กระจายด้วยมวลพลังลมปราณหนาแน่น
พลังลมปราณสีทองคำและสีฟ้าปะทะกันอย่างรุนแรง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ผนังห้องที่เป็นแผ่นไม้ไม่สามารถรับแรงกดดันไหวอีกต่อไป พวกมันระเบิดแตกกระจายแผ่นแล้วแผ่นเล่า
พานเว่ยหมินกับฉู่เหินรีบช่วยกันสร้างม่านพลังขึ้นมาคุ้มครองฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุน และเยว่หงเซียง รวมถึงโต๊ะอาหารของพวกเขาที่ยังมีของกินวางอยู่เต็มไปหมด
ร่างของหลินเป่ยเฉินเซถอยหลังไปสามก้าว และทุกก้าวที่เขาถอยหลังไป บนพื้นก็จะประดับไปด้วยรอยเท้าของเขาให้เห็นชัดเจน
ในขณะเดียวกัน ร่างของเฉาพั่วเถียนสั่นสะเทือนก็จริง แต่เขาไม่ได้เซถอยหลังเลยสักก้าวเดียว
หากให้ตัดสินผลแพ้ชนะ
ก็ต้องบอกว่าเฉาพั่วเถียนเป็นผู้ชนะอย่างเป็นเอกฉันท์
แต่เด็กหนุ่มผมทองกลับไม่ดีใจสักนิด
“เจ้า…”
เฉาพั่วเถียนใบหน้าบิดเบี้ยวขณะที่จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง
เมื่อสักครู่นี้ เขาโจมตีหลินเป่ยเฉินด้วยวิชาการต่อสู้ประจำเมืองไป๋หยุน เฉาพั่วเถียนใช้พลังลมปราณถึง 70 ส่วน มีเจตนาที่จะทำให้หลินเป่ยเฉินตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บปางตาย
แต่หลินเป่ยเฉินกลับสามารถยิงพลังออกมาต้านทานการโจมตีของเขาได้สำเร็จ นอกจากไม่บาดเจ็บอะไรแล้ว การโจมตีของเฉาพั่วเถียนยังทำให้หลินเป่ยเฉินถอยหลังไปได้เพียง 3 ก้าวเท่านั้น
หรือว่าเจ้าหมอนี่มันจะเลื่อนระดับพลังได้อีกแล้ว
เฉาพั่วเถียนทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่เขาลุกขึ้นมาหาเรื่องเฉาพั่วเถียนก็เพื่ออยากจะทดสอบช่องว่างระหว่างพลังของเขากับอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
หลินเป่ยเฉินพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา
นับว่าวิทยายุทธ์ระดับ 3 ดาวคุ้มค่าต่อการดาวน์โหลดจริงๆ
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น โดยเฉพาะฉู่เหินกับพานเว่ยหมิน ซึ่งรู้ดีว่าเฉาพั่วเถียนมีความน่ากลัวมากเพียงใด กำลังพากันจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เด็กหนุ่มพัฒนาฝีมือตนเองได้รวดเร็วเหมือนปาฏิหาริย์
ดูเหมือนว่าเขาจะเลื่อนระดับพลังขึ้นมาจากตอนที่อยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือได้อีกขั้นแล้ว
หรือว่านี่คือความสามารถที่แท้จริงของติงซานฉือ?
สมแล้วที่ในอดีต อาจารย์ติงเคยเป็นถึงเซียนกระบี่อันดับที่ 2 ของเมืองไป๋หยุน เพียงระยะเวลาสั้นๆ ท่านก็สามารถปลุกปั้นหลินเป่ยเฉินให้กลายเป็นยอดมือกระบี่อนาคตไกลได้เช่นนี้แล้ว
เฉาพั่วเถียนกำหมัดด้วยความโกรธแค้นและกำลังคิดที่จะโจมตีอีกครั้ง…
แต่ในจังหวะนั้นเอง
“ผู้ใดกล้ามาก่อเรื่องทะเลาะวิวาทในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง? รู้หรือไม่ว่าพวกเจ้ากำลังรบกวนผู้อื่น”
เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจบารมีดังกังวานทั่วบริเวณ
ปรากฏว่าการต่อสู้ของพวกเขาส่งเสียงดังมากเกินไป จึงดึงดูดความสนใจของแขกทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมทั้งหมด
ทุกสายตากำลังจ้องมองมายังห้องรับประทานอาหารบนชั้นสาม
แล้วประตูห้องรับประทานอาหารหมายเลขหนึ่งบนชั้นสามก็เปิดออก ชายวัยกลางคนประมาณหกถึงเจ็ดคนแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าหรูหรา เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ และหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่เปิดพิธีการแข่งขันในวันนี้ เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง ผู้มีนามว่าหลี่สงฟู่นั่นเอง!
แต่เขายังไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในคนกลุ่มนั้น