เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 213 ครอบครัวของข้าตายหมดแล้ว
บทที่ 213 ครอบครัวของข้าตายหมดแล้ว
หลี่สงฟู่ยังไม่ใช่คนที่มีอำนาจสูงสุดในกลุ่มนั้น
แต่เป็นชายชราอายุ 60 กว่าปีคนหนึ่ง เขามีผมสีดอกเลา มีไฝอยู่บนฝั่งซ้ายของใบหน้า ลักษณะมีบารมีน่าเกรงขามมากกว่าทุกคน แม้แต่เจ้ากรมกระทรวงศึกษาอย่างหลี่สงฟู่ก็ยังต้องยืนอยู่ข้างกายเขา และก้มตัวลงมาเล็กน้อยด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกลุ่มของผู้มีอำนาจระดับเสือเฒ่าทั้งนั้น
หลี่ชิงสวน เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาซึ่งเคยไปสังเกตการณ์การสอบกลางภาค ณ สถานศึกษากระบี่ที่สามก็อยู่ในกลุ่มคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
“อาจารย์ฉู่ อาจารย์ชิว เป็นพวกท่านเองหรือ…แล้วนี่มีเรื่องอะไรกัน?”
หลี่ชิงสวนกวาดตามองเพียงรอบเดียวก็จดจำทุกคนได้แล้ว
ชิวเทียนพยายามซุกซ่อนมือขวาที่หงิกงอ ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นกลุ่มคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาปรากฏตัว ชายชราร่างอ้วนก็มีเหงื่อออกท่วมกาย ชิวเทียนอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว ภาพลักษณ์ของเขาย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี และถ้ามีการสืบสาวเอาเรื่องกันจริงๆ ทุกคนก็จะได้พบว่าผู้ที่เริ่มหาเรื่องก่อนเป็นฝ่ายสถานศึกษากระบี่ที่หกนั่นเอง
ดังนั้น อาจารย์ร่างอ้วนจึงอยากจะขอตัวกลับห้องอาหารของตนเองแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจังหวะนั้น เฉาพั่วเถียนกลับลงมืออย่างกะทันหัน เด็กหนุ่มจับมือขวาของอาจารย์ร่างอ้วนยกขึ้นให้ทุกคนได้เห็นเต็มตา พร้อมกันนั้นก็พูดออกมาเสียงดังกังวานว่า “มีลูกศิษย์ผู้ชั่วร้ายคนหนึ่งลงมือทำร้ายร่างกายอาจารย์กลางวันแสกๆ ขอรับ นี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ รบกวนเจ้าหน้าที่หลี่ช่วยมอบความเป็นธรรมให้พวกเราด้วย”
นี่คือประโยคร้องทุกข์ของผู้ถูกกระทำชัดๆ
ชิวเทียนถึงกับชะงักไปแล้ว
เขาพยายามสะบัดมือให้หลุดจากการจับกุมของเฉาพั่วเถียน แต่ก็สลัดไม่หลุด สุดท้ายจึงทำได้เพียงก่นด่าบรรพบุรุษของเฉาพั่วเถียนอยู่ในใจเท่านั้น
เจ้าเด็กคนนี้มันถือว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุน ถึงได้ไม่คิดหน้าคิดหลังเวลาจะพูดจาอะไร ชิวเทียนพบว่าแทนที่การร้องทุกข์จะเป็นการช่วยเหลือพวกเขา แต่มันกลับทำให้ในขณะนี้ ภาพลักษณ์ของเขายิ่งย่ำแย่ลงมากกว่าเดิมหลายเท่า
หลี่ชิงสวนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
สายตาของหลี่สงฟู่และพรรคพวกกำลังจับจ้องอยู่ที่มือของชิวเทียน แล้วสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป เมื่อเห็นนิ้วมือทั้งห้าผิดรูปผิดร่างอย่างน่ากลัว
จังหวะนั้น ใครคนหนึ่งก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “พรืด”
หลี่ชิงสวนดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ขมวดคิ้วหน้าเครียดและขึ้นเสียงว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้าหัวเราะอะไรมิทราบ?”
คนที่เผลอหัวเราะออกมาก็คือหลินเป่ยเฉิน
แล้วสายตาที่เคยจับจ้องอยู่ที่มือของชิวเทียน ก็ย้ายมาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่ดวงตาทุกคู่จะเบิกโตด้วยความประหลาดใจในความหล่อเหลาเกินธรรมดาของเด็กหนุ่ม
หลินเป่ยเฉินเดินนวดขมับออกมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า เขาเหลือบมองเฉาพั่วเถียนเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงยานคางว่า “ข้าเคยได้ยินผู้คนพยายามจะทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูก พยายามกลับดำให้เป็นขาวมาแล้วมากมาย แต่ยังไม่เคยพบเจอใครเลือกใช้ถ้อยคำผิดที่ผิดเวลาอย่างนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น ข้าจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้น่ะขอรับ”
เฉาพั่วเถียนยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ นี่ก็ล่วงเข้าสู่เวลาดึกดื่นแล้ว เจ้าว่ามีคนลงมือทำร้ายผู้คนกลางวันแสกๆ ไม่ใช่หรือ? เฉาพั่วเถียน ให้ตายเถอะ ก่อนที่เจ้าจะใส่ร้ายผู้อื่น เจ้าควรหัดดูเวลาให้เป็นเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้ว เวลาที่เจ้าเปิดปากพูดออกมาแต่ละครั้ง คนเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน
“เจ้า…”
เฉาพั่วเถียนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
จังหวะนั้น ชายชราผมสีดอกเลาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เด็กหนุ่มผู้นี้คือหลินเป่ยเฉิน บุตรชายของอดีตขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ใช่หรือไม่?”
หลี่ชิงสวน เจ้ากรมกระทรวงศึกษารีบตอบโดยเร็ว “กราบเรียนใต้เท้าฟาง เป็นเขาเองแหละขอรับ คิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าก็จะเคยได้ยินชื่อของเขาด้วย แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว บัดนี้เด็กหนุ่มปรับปรุงตัวเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ เขาสามารถทำคะแนนในการสอบได้สมบูรณ์แบบ ซ้ำยังมีฝีมือการต่อสู้เป็นเลิศในกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าอาการทางสมองของเขาจะหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้วขอรับ”
นี่คือคำพูดที่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินโดยตรง
ชายชราผมสีดอกเลามีนามว่าฟางเจิ้นหรู่ เป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลเฟิงอวี่
ด้วยความที่จักรวรรดิเป่ยไห่ให้ความสำคัญกับการศึกษามาเป็นอันดับหนึ่ง พวกเขาจึงมีกระทรวงศึกษาคอยดูแลในทุกระดับชั้น และมีเจ้าหน้าที่แยกย่อยออกเป็นหลายตำแหน่ง แต่กล่าวโดยรวมก็คือ พวกเขาจะแบ่งงานออกเป็นสามระดับ คือกระทรวงศึกษาประจำเมือง กระทรวงศึกษาประจำมณฑล และกระทรวงศึกษาประจำจักรวรรดิ
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงของพวกเขาในทุกระดับชั้น ต่างก็ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง
ฟางเจิ้นหรู่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลมาหลายปีแล้ว เขาเคยเห็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่ทำตัวยโสโอหังมานับไม่ถ้วน
“ฮ่าฮ่า ไม่สำคัญหรอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยเป็นอะไรมาก่อน” ฟางเจิ้นหรู่คลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่เจ้าควรระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ เพียงอีกฝ่ายพูดจาผิดไม่กี่คำ จากกลางคืนเป็นกลางวัน เจ้าก็คิดนำมาใช้เป็นจุดโจมตีได้แล้วหรือ?”
ทันใดนั้น สีหน้าของหลี่ชิงสวนกลับหลี่สงฟู่ก็แปรเปลี่ยนไป
แม้แต่ฉู่เหิน หลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมินก็มีสีหน้าไม่สู้ดีแล้ว
ชัดเจนว่าเจ้ากรมกระทรวงระดับมณฑลกำลังตำหนิเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพวกเขาอย่างซึ่งหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินมีฐานะเป็นบุตรชายอาชญากร
ถ้าถูกจับตัวไปขึ้นศาลจริงๆ เกรงว่าปัญหาทุกอย่างคงบานปลายเกินคาดเดา
ที่สำคัญก็คือก่อนหน้านี้ องค์จักรพรรดิละเว้นโทษประหารชีวิตหลินเป่ยเฉิน ก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มสมองพิการ ไม่เป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิ แต่บัดนี้เขากลับกลายเป็นยอดอัจฉริยะมือกระบี่ หากองค์จักรพรรดิเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า? แบบนั้นไม่เท่ากับว่าหลินเป่ยเฉินคงต้องถูกประหารชีวิตแล้วหรือ?
เจ้ากรมกระทรวงเสือเฒ่าอย่างฟางเจิ้นหรู่อยู่ในวงการขุนนางมาหลายสิบปี ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
เขาตั้งใจพูดเช่นนี้เพื่อเล่นงานหลินเป่ยเฉิน
แต่เพราะอะไรผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งถึงระดับเจ้ากรมกระทรวงระดับมณฑล ถึงต้องอยากเล่นงานเด็กหนุ่มจากบ้านนอกด้วยล่ะ?
ฉู่เหินเจ็บใจตัวเองนักที่ปล่อยให้เหตุการณ์เลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้
ทันใดนั้น พวกเขาได้ยินฟางเจิ้นหรู่กล่าวต่อว่า “ฮ่าฮ่า เจิ้นหนาน บัดนี้ท่านมีสถานะเป็นประมุขตระกูลหลินแล้วนี่นา ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลหลินจะมีอัจฉริยะเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว ในอนาคตข้างหน้า เขาจะต้องเป็นมือกระบี่อนาคตไกลแน่นอน”
ชายวัยกลางคนหน้าขาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง รีบประสานมือคำนับศีรษะ ยิ้มแย้มประจบประแจงกล่าวว่า “หัวหน้าตระกูลคนเก่าของเราทำให้จักรวรรดิต้องอับอายขายหน้า คำชื่นชมของใต้เท้าฟาง ข้าน้อยมิอาจรับไว้จริงๆ…” ระหว่างที่พูด เขาก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “หลานรัก ใยยังไม่รีบเข้ามาคำนับใต้เท้าฟางอีก”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
หลานรัก? นี่เขามีญาติเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วเหรอ?
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เห็นหลินอี้ที่ยืนทำหน้าซังกะตายอยู่ด้านหลังกลุ่มคน เดินออกมายืนอยู่เคียงข้างชายวัยกลางคนหน้าขาว ประสานมือคำนับฟางเจิ้นหรู่ด้วยความอ่อนน้อม สุดท้ายก็หันมาขมวดคิ้วใส่หลินเป่ยเฉิน “พี่ชาย ท่านมัวยืนทำอะไรอยู่ พบหน้าบิดาข้าแล้วเหตุไฉนถึงยังไม่ทำความเคารพ? บิดาข้าเป็นอาของท่าน และเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ท่านเหลืออยู่ในโลกใบนี้นะ!”
ท่านอาอย่างนั้นหรือ?
เอาจริงสิ?
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอีกครั้ง
น่าสนใจดีแฮะ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกคู่อริในตัวเมืองไปดักรอเล่นงานอยู่ถึงหน้าสถาบัน ชีวิตต้องตกอยู่ในความเป็นความตายหลายครั้ง ไม่เคยเห็นมีใครออกมาเสนอตัวเป็นท่านอาของเขามาก่อน
แล้วในยามที่เขากำลังจะมีชื่อเสียงขึ้นมา ท่านอาก็ปรากฏตัวเนี่ยนะ?
“ขออภัย แต่ญาติของข้าตายหมดแล้ว” หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ
“สามหาวนัก” หลินเจิ้นหนานใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล ก่อนพูดเสียงแข็งว่า “รู้ตัวหรือไม่เจ้าพูดอะไรออกมา? รีบคุกเข่าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”
ชายวัยกลางคนหน้าขาวพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ
พลังกดดันสายหนึ่งแผ่ออกมาในระดับหัวเข่าของหลินเป่ยเฉิน โดยมีเจตนาทำให้เขาขาพับคุกเข่าลงไป
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
ท่านอาของเขาคนนี้…รนหาที่ตายเสียแล้ว
แต่ฉู่เหินเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาขยับมายืนขวางหน้าหลินเป่ยเฉิน และวาดมือสลายพลังกดดันเหล่านั้นทิ้งไป
ตู้ม!
พลังลมปราณไหลเวียนรอบบริเวณ
ฉู่เหินสามารถป้องกันการโจมตีได้ด้วยแขนเหล็กของเขา
“หลินเป่ยเฉินเป็นตัวแทนสถาบันของเราเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ เขาได้รับการคุ้มครองโดยกระทรวงศึกษาตามกฎหมายของจักรวรรดิ ผู้อาวุโสหลิน ท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าท่านคิดอยากจะเป็นศัตรูกับสถานศึกษากระบี่ที่สาม?”
ดวงตาของฉู่เหินเป็นประกายด้วยความโกรธแค้น น้ำเสียงของเขาไม่ได้ใจดีอีกต่อไปแล้ว
หลินเจิ้นหนานยิ้มเย็นชาพอๆ กับน้ำเสียงที่กล่าวออกมา “เด็กคนนี้พูดจาสามหาว มีพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เคารพผู้ใหญ่ แม้แต่กฎในครอบครัวยังทำตามไม่ได้ แล้วในภายภาคหน้า เขาจะรับใช้กฎของแผ่นดินได้อย่างไร ข้าเพียงอยากสั่งสอนบทเรียนให้เขาในฐานะลูกหลานคนหนึ่ง แล้วมันเกี่ยวกับสถานศึกษากระบี่ที่สามของพวกท่านตรงไหน?”