เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 262 มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
บทที่ 262 มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
เสียงพูดนั้นคุ้นหูพวกของหลินเป่ยเฉินพอสมควร
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูและยิ้มแย้มทักทายว่า “คุณหนูมี่หรู่หยาน ท่านมาทำอะไรที่นี่ เข้ามาก่อนสิ”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือมี่หรู่หยาน หนึ่งในเด็กสาวอัจฉริยะผู้เข้าร่วมการแข่งขัน
และเนื่องจากต้องแพ้ให้กับความยอดเยี่ยมของหลินเป่ยเฉิน นางจึงตกรอบ ไม่ได้มีชื่อเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายดังที่หวัง
มี่หรู่หยานได้แต่บอกตนเองว่านางโชคร้ายเกินไป
นางยังมีความแข็งแกร่งไม่พอ
“สวัสดีทุกท่าน”
มี่หรู่หยานใส่กระโปรงสีเทา สวมเสื้อเปิดหน้าอกอวบอิ่ม ผิวพรรณขาวเนียน ร่างกายผอมบาง ใบหน้าจัดว่าสวยหยดย้อย เมื่อเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารแล้ว นางก็ประสานมือคำนับหลิวฉีไห่ ฉู่เหิน เยว่หงเซียง ฮันปู้ฟู่ และหันมาพยักหน้าทักทายไป๋ชินหยุน
สำหรับกับเด็กสาวหน้าตาดีที่ทำตัวสุภาพอ่อนหวาน ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องทำตัวก้าวร้าวใส่นาง
“พี่มี่ ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
ไป๋ชินหยุนลุกขึ้นเดินมากอดแขนมี่หรู่หยาน ดูเหมือนว่าพวกนางจะรู้จักมักคุ้นกันดี หลังจากนั้น ไป๋ชินหยุนก็ได้สั่งให้โรงเตี๊ยมนำโต๊ะและเก้าอี้มาเพิ่มสำหรับแขกคนพิเศษ พลัน ไป๋ชินหยุนก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงด้วยสิ วันนี้ท่านแพ้ในการประลองให้กับหลินเป่ยเฉิน แต่ท่านกลับรู้ตัวว่าตนเองตกหลุมรักเขาเสียแล้ว ก็เลยอยากมาสารภาพรักใช่หรือไม่?”
มี่หรู่หยานพลันสองแก้มแดงระเรื่อ รีบยกมือขึ้นปิดปากเด็กสาวรุ่นน้อง ส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ไม่ใช่นะ ไม่มีทาง ไม่ใช่เด็ดขาด…” มี่หรู่หยานเขินอายมากเกินไป เกือบพูดออกมาไม่เป็นคำด้วยซ้ำ
ทุกคนที่อยู่ในห้องอาหารได้แต่เพียงหัวเราะด้วยความขบขัน
เยว่หงเซียงเดินมาลากตัวไป๋ชินหยุนให้กลับไปนั่งที่ เพราะจะได้ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับใครอีก
ฉับพลันนั้น บรรดาอาจารย์ก็ไม่ได้พูดคุยหัวเราะหยอกล้อกันอีกแล้ว
พวกเขารู้ดีว่ามี่หรู่หยานมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด
หลินเป่ยเฉินชิงพูดขึ้นก่อนว่า “คุณหนูมี่ ท่านมาที่นี่เพื่อขอเข้าร่วมกลุ่มข้าใช่หรือไม่?”
ความเขินอายบนสีหน้าของมี่หรู่หยานสลายหายวับไปทันที นางเงยหน้าขึ้นมาสบตามองหลินเป่ยเฉิน นอกจากจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากตอนอยู่บนเวทีประลองราวกับเป็นคนละคนแล้ว คำพูดคำจาและน้ำเสียงของเขายังอ่อนหวานกระไรปานนั้น เมื่อได้รับฟัง หัวใจก็อดเต้นผิดจังหวะขึ้นมาไม่ได้
นางรีบกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว คุณชายหลิน ข้าอยากเข้าร่วมกลุ่มของท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีเหตุใดขัดข้องหรือไม่?”
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ
นี่คือเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
มี่หรู่หยานมีดีพอที่จะเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันสิบคนสุดท้าย
หากนางเข้าร่วมกลุ่มของหลินเป่ยเฉิน เขาก็เหมือนเสือติดปีก
ฉู่เหินและคณะอาจารย์หันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินและหวังที่จะเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้าตกลง
แต่หลินเป่ยเฉินกลับยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณหนูมี่ ถามได้ไหมว่าเพราะเหตุใดท่านถึงเลือกข้า?”
พูดจบแล้ว เขาก็รู้สึกว่าประโยคนี้มันฟังดูทะแม่งๆ เกินไปหน่อย จึงต้องรีบอธิบายเพิ่มเติม “ข้าหมายความว่า เพราะเหตุใดท่านถึงเลือกเข้าร่วมกลุ่มของข้าหรือ?”
เมื่อได้รับฟังคำอธิบายของหลินเป่ยเฉิน มี่หรู่หยานกลับยิ่งมีใบหน้าแดงระเรื่อมากกว่าเดิม
นี่คือสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้ว่า เด็กสาวผู้ยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างแข็งแกร่ง กลับมีตัวตนที่แท้จริงเป็นคนขี้อายถึงเพียงนี้
“ข้าแค่ทำตามความรู้สึกตัวเองน่ะ” มี่หรู่หยานส่งเสียงกระซิบ “ข้าคิดว่ากลุ่มของท่านมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้ชนะมากที่สุด”
“ความรู้สึกอย่างนั้นหรือ? หุหุ พูดอีกอย่างก็คือ พี่มี่รู้สึกประทับใจใบหน้าอันหล่อเหลาของเจ้าลูกเต่าตัวนี้ต่างหาก…โอะ” ไป๋ชินหยุนที่ดื่มมากเกินไปส่งเสียงขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ด้วยว่าถูกเยว่หงเซียงเอามือมาปิดปากไว้ก่อน
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
เขาคิดอย่างจริงจังและให้คำตอบว่า “คุณหนูมี่ บัดนี้ข้ายังรับปากอะไรไม่ได้หรอกนะ เพราะข้าต้องกลับไปวางแผนให้ดีเสียก่อน ประมาณบ่ายวันพรุ่งนี้ ข้าจะให้คำตอบก็แล้วกันว่าท่านจะได้อยู่ร่วมกลุ่มของข้าหรือไม่ ไม่ทราบว่าคุณหนูมี่พอจะรอได้หรือเปล่า?”
“ข้าขอคัดค้าน”
ไป๋ชินหยุนสลัดหลุดจากการปิดปากของเยว่หงเซียง และพูดออกมาเสียงดัง “เจ้าศิษย์พี่หลิน ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับพี่มี่เลยนะ เจ้าจะไม่เลือกใครสักคนไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ต้องการนาง ก็อย่าขวางทางพี่มี่ไม่ให้นางไปหาคนอื่นสิ คนหลายใจอย่างจะ…” ท้ายประโยค เสียงพูดของเด็กสาวขาดหายไป เพราะมีมือของหลินเป่ยเฉินอุดปากนางเอาไว้
ไม่ไหวแล้วโว้ย!
ยัยเด็กคนนี้ผีเจาะปากมาพูดหรือไงวะเนี่ย
เขาเนี่ยนะเป็นคนหลายใจ?
พูดแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
“ต้องขออภัยด้วย พอดีศิษย์น้องของข้ายังเด็กมากเกินไป…”
ถึงหลินเป่ยเฉินจะมีสถานะเป็นจอมหน้าด้านอันดับหนึ่ง แต่เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ที่จะไม่ให้ตนเองดูเหมือนคนหลายใจตามที่ไป๋ชินหยุนกล่าวหา
คราวนี้ มี่หรู่หยานไม่ได้ตกใจอีกต่อไปแล้ว
ดูเหมือนนางก็เข้าใจว่าไป๋ชินหยุนเพียงพูดเล่นเท่านั้น
“ย่อมได้ ข้าจะรอคำตอบจากท่าน” มี่หรู่หยานผงกศีรษะ
หลังจากนั้น เด็กสาวก็รู้ตัวดีว่าบรรยากาศในห้องอาหารไม่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยต่อไป นางลุกขึ้นยืนประสานมืออำลาคณะอาจารย์ ก่อนหันมาพยักหน้าให้หลินเป่ยเฉินและเดินออกไปอย่างเงียบๆ
“พี่มี่ ความรักกำลังทำให้ท่านตาบอดดดด…”
แล้วไป๋ชินหยุนก็ถูกเยว่หงเซียงเอามือมาปิดปากไว้อีกครั้ง
“เป่ยเฉิน มี่หรู่หยานเป็นตัวเลือกที่ดีมาก เจ้ายังลังเลอะไรอยู่อีก?”
หลิวฉีไห่ ซึ่งมีสถานะเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์อดถามออกมาไม่ได้
ในฐานะตัวแทนอาจารย์จากสถาบัน เขาย่อมหวังว่าสมาชิกร่วมกลุ่มของหลินเป่ยเฉินจะมีแต่ยอดฝีมือตัวฉกาจ ซึ่งจะช่วยทำให้เจ้าแกะดำกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
หลินเป่ยเฉินกลับมานั่งลงที่เดิมและยกสุราขึ้นดื่มอีกหลายอึก “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกข้าว่า ข้าควรรอ ไม่ควรตัดสินใจวู่วามมากเกินไป”
เยว่หงเซียงเบิกตาโตขึ้นมาทันที ดวงตาของนางเป็นประกายสดใสราวกับดวงดาวกลางท้องฟ้ายามราตรี นางลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พูดออกมายิ้มๆ ว่า “หรือว่าความจริง พี่หลินกำลังรอใครอีกคนหนึ่งอยู่เจ้าคะ”
ฮันปู้ฟู่พยักหน้ายิ้มแย้มกล่าวว่า “หลิงเฉินไงจะใครล่ะ”
ฉู่เหินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบอกชอบใจ ก่อนพูด “นั่นสินะ ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร…หุหุ แต่ขอบอกเลยว่าหากหลิงเฉินมาเข้าร่วมกลุ่มของเจ้าจริงๆ เฉาพั่วเถียนคงไม่สามารถหาสมาชิกกลุ่มที่แข็งแกร่งได้มากกว่าเจ้าอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกลับส่ายหน้า อธิบายว่า “หลิงเฉินเป็นตัวเลือกที่ดีขอรับ แต่ปัญหาก็คือนางเจตนาถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ด้วยตัวเอง จึงไม่มีทางที่นางจะยอมเป็นผู้ติดตามในกลุ่มของใครเด็ดขาด”
“นั่นก็จริง” พานเว่ยหมินพยักหน้าเห็นด้วย “ยิ่งฟังเจ้าพูด ทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจน”
หลิวฉีไห่ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “มี่หรู่หยานกับหลิงเฉินต่างก็อยู่ในรายชื่อผู้เข้าแข่งขัน 20 อันดับแรก ถ้าได้ตัวทั้งสองคนมาร่วมกลุ่มของเจ้า สถาบันของเราก็คงได้รับชัยชนะแล้ว น่าเสียดายที่กฎของการแข่งขันระบุว่าเจ้าจะเลือกผู้เข้าแข่งขันจาก 20 อันดับแรกได้แค่คนเดียว มี่หรู่หยานอุตส่าห์มาเสนอตัวหาเจ้าเองถึงที่ หากเจ้าไม่เลือกนาง ก็ถือว่านางโชคร้ายมากแล้ว”
เยว่หงเซียงหัวใจกระตุกวูบ
มี่หรู่หยานคิดเช่นนั้นจริงหรือ?
เป็นไปไม่ได้
ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันต่างรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันดี แล้วเด็กสาวที่แสนฉลาดอย่างมี่หรู่หยาน จะมองไม่ออกได้อย่างไร?
ถ้าต้องให้เลือกระหว่างหลิงเฉินกับมี่หรู่หยานขึ้นมาจริงๆ อย่างไรหลินเป่ยเฉินก็ต้องเลือกหลิงเฉินอยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้น มี่หรู่หยานยังจะมาที่นี่ทำไมอีก?
เยว่หงเซียงอดยิ้มออกมาไม่ได้
จะมาทำไมถ้าไม่ใช่เพราะความรัก
หลังจากนั้น ทุกคนก็ดื่มกินกันอย่างหนักหน่วง สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นยืนพูดว่า “คืนนี้เราพอแค่นี้กันก่อนดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวศิษย์น้องไป๋ได้จมไหสุราตาย และจะไม่มีใครจ่ายเงินค่าอาหารให้พวกเราเสียเปล่าๆ”
คณะอาจารย์พร้อมใจกันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขาต่างรู้สึกว่าคำพูดของหลินเป่ยเฉินมีเหตุผล ไม่กี่อึดใจให้หลัง พวกเขาก็สั่งให้ทางโรงเตี๊ยมห่ออาหารกลับบ้านอีกหลายชุด ก่อนจะเดินประคองไป๋ชินหยุนผู้อยู่ในสภาพเมามายแทบไม่ได้สติ ลงไปที่คอกเสมียนเพื่อทำเรื่องจ่ายเงินค่าอาหาร
แต่พวกเขายังเดินไปไม่ถึงคอกเสมียน ก็สังเกตเห็นว่าบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมกำลังเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายบางอย่าง
มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาหลายนายถลันกายเข้ามาในโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ใต้เท้าหลี่อยู่ในห้องอาหารส่วนตัว รีบพาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้…” หัวหน้าเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นกลับเป็นหลี่ชิงสวน เขาออกคำสั่งกับเด็กรับใช้และวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมด้วยความรีบร้อน ระหว่างทางชายชราได้หันมามองพวกของหลินเป่ยเฉินแวบหนึ่ง ฉู่เหินอยากจะประสานมือทักทาย แต่หลี่ชิงสวนกลับไม่ได้หยุดเท้า เขาเปิดประตูหายเข้าไปในห้องอาหารที่อยู่ข้างเคียงทันที
ไม่ถึงลมหายใจต่อมา เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหลี่สงฟู่ก็วิ่งหน้าตาตื่นลงบันไดมาจากชั้นสอง เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมไปได้ ชายชราก็ไม่เสียเวลาใช้รถม้าเดินทางด้วยซ้ำ แต่เขาใช้วิชาตัวเบาของตนเอง ดีดกายหายขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยทิศทางที่เงาหลังของหลี่สงฟู่หายลับไปนั้น บอกชัดว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าตระกูลหลิง
ต่อจากนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาอีกหลายคนเดินออกมาจากห้องอาหารด้วยความรีบร้อน
คนกลุ่มนี้คือรองอาจารย์ใหญ่จากสำนักกระบี่ประจำแคว้นต่างๆ นั่นเอง
นับเป็นเรื่องยากที่จะสามารถพบเจอตัวจริงของคนกลุ่มนี้ได้ และบัดนี้ พวกเขาก็กำลังเดินลงบันไดมาโดยไม่ได้หยุดมองผู้ใด
“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?” หลิวฉีไห่รู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคลที่เกิดขึ้นในใจ
ฉู่เหินทอดสายตามองไปยังทิศทางของจวนผู้ว่าและกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…แต่น่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้วสิ”