เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 276 ชื่อกลุ่ม
บทที่ 276 ชื่อกลุ่ม
ภายใต้บรรยากาศอันสดใส มี่หรู่หยานถูกประกาศให้เป็นสมาชิกร่วมกลุ่มคนแรกของหลินเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยอยากจะไปพูดคุยกับหลิงเฉิน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองไม่สมควรปล่อยอะไรให้ค้างคา
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เมื่อได้รับฟังคำพูดของเยว่เว่ยหยาง เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าหลิงเฉินไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าร่วมกลุ่มของเขาอีกแล้ว มิฉะนั้น นางคงมาปรากฏตัวก่อนหน้านี้ ไม่ต้องให้เขาเดินทางไปหาด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น อย่าไปรบกวนหลิงเฉินเลยจะดีกว่า
ดูเหมือนว่าตอนนี้นางจะพบปัญหาอะไรบางอย่าง
แต่ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“แล้วเจ้าจะไม่เสียใจที่ร่วมกลุ่มอเวนเจอร์ของข้า” หลินเป่ยเฉินยกมืออีกข้างหนึ่งเสยผม พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “พวกเรามาครอบครองจักรวาลนี้ด้วยกันเถอะ”
มี่หรู่หยานรีบดึงมือของตนเองกลับไปทันที กล่าวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “อเวนเจอร์อันใดกันเจ้าคะ เมื่อสักครู่นี้ คุณชายหลินบอกว่าชื่อกลุ่มของเราคือจัสติซ ลีกไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง “แค่ชื่อเรียกมีความสำคัญไฉน ต่อให้เรียกว่ากลุ่มมิกกี้เมาส์กับผองเพื่อน ถ้าจะชนะ ก็ชนะอยู่ดี”
มี่หรู่หยานรู้สึกว่าตนเองตามความคิดของหลินเป่ยเฉินไม่ทันแล้ว
เพราะแบบนี้เองใช่ไหม เขาถึงถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติทางสมอง?
มี่หรู่หยานคิดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา
ยิ่งนางได้รู้จักหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ มี่หรู่หยานก็ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นคนแปลกประหลาดมากเท่านั้น แต่ทว่า ความแปลกประหลาดก็ถือเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้เช่นกัน
“แล้วท่านวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไปหรือเจ้าคะ?” พลัน มี่หรู่หยานรับหน้าที่เป็นสมาชิกกลุ่มที่ดี กล่าวต่อว่า “ข้ามีคนรู้จักอยู่ 2-3 คนที่คุณสมบัติน่าสนใจ คุณชายหลินน่าจะไปลองพูดคุยกับพวกเขาดู แต่ว่า…”
นางจำเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ได้ดี ป่านนี้ข่าวลือเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินคงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองแล้ว
สถานการณ์ไม่เป็นใจต่อหลินเป่ยเฉินเลยจริงๆ
ก่อนหน้านี้ มี่หรู่หยานยังไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าตนเองจะยอมจับมือกับเขา
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มเหมือนไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ ข้าเป็นเพียงหนูโสโครก ทุกคนล้วนมองในแง่ร้ายอยู่แล้ว คงมีแต่เพียงเจ้าคนเดียวกระมังที่มองเห็นคุณงามความดีอยู่ในตัวตนที่แท้จริงของข้า ต่อให้ไม่มีใครเข้าร่วมกลุ่มการ์เดี้ยน ออฟ ดิ กาแล็กซี่ของเราอีก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด”
เดี๋ยวนะ ตอนนี้ชื่อกลุ่มเปลี่ยนมาเป็นการ์เดี้ยน ออฟ ดิ กาแล็กซี่แล้วหรือ?
มี่หรู่หยานยกมือเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยความมึนงง
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” นางขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ไม่เป็นไร เพราะข้ามีสมาชิกร่วมกลุ่มอยู่แล้ว”
ใครคือสมาชิกร่วมกลุ่มของหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?
จะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียงและไป๋ชินหยุนทั้ง 3 คนนั้น
2 เค่อต่อมา
ในห้องทำงานของหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม สมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มของหลินเป่ยเฉินได้มาปรากฏตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“ว่าไงนะ?”
“ตกลงเลือกพวกเราจริงๆ หรือ?”
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงมีสีหน้าตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเป่ยเฉินบอก
พวกเขารู้สึกว่าครั้งนี้หลินเป่ยเฉินได้ตายแน่ๆ
มีแต่เพียงไป๋ชินหยุนคนเดียวเท่านั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน เจ้ารักษาสัญญาจริงๆ ด้วย ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ลูกผู้หญิงอย่างข้าเลื่อมใสในตัวเจ้านัก”
นี่คือผลของอาการเมาค้างจากเมื่อคืน
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “มันก็แน่อยู่แล้ว ข้ามีตัวเลือกอื่นที่ไหนกัน พวกเจ้าคงได้ยินข่าวลือแล้วใช่ไหม ไม่มีใครอยากมาร่วมกลุ่มกับข้าอีกแล้ว สุดท้ายข้าถึงไปลักพาตัวมี่หรู่หยานมาร่วมกับเจ้าทั้ง 3 คน กลายเป็นกลุ่มแก๊งร็อคเก็ตของพวกเรานี่แหละ”
มี่หรู่หยานขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว
ทุกครั้งที่หลินเป่ยเฉินพูดถึงชื่อกลุ่มของตนเอง เขาจะเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ เสียอย่างนั้น
ตกลงแล้วเขาจะให้กลุ่มของตนเองมีชื่อเรียกว่าอะไรกันแน่?
มี่หรู่หยานพูดอะไรไม่ออก นางจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
เมื่อหลินเป่ยเฉินบอกชัดเจนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงจึงต้องเข้าร่วมกลุ่มอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ไป๋ชินหยุนรอคอยโอกาสนี้มาเนิ่นนานแล้ว
“ฮ่าฮ่า ดีมาก แค่นี้ก็ถือว่ากลุ่มแมนยูไนเต็ดของพวกเรา ก่อตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้ว…” หลินเป่ยเฉินตบไม้ตบมือด้วยความชอบใจ “หลังจากนี้ เราก็แค่ต้องมาดูกันว่าแต่ละคนมีจุดอ่อนจุดแข็งอยู่ตรงไหนบ้าง…”
“เดี๋ยวนะ เมื่อสักครู่เจ้ายังบอกว่าชื่อกลุ่มของเราคือแก๊งร็อคเก็ตอยู่เลยนี่นา?”
“ชื่อนั้นสำคัญไฉน” หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงเรียบ “ว่าแต่ว่า พวกเจ้าพอรู้ไหมว่าในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มชิงธง มีกฎข้อห้ามในการตั้งชื่ออะไรบ้างหรือไม่?”
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงพูดอะไรไม่ออก
มี่หรู่หยานยกมือกุมศีรษะ
หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาช่างน่าหมดหวังจริงๆ
เพียงการตั้งชื่อกลุ่ม เขาก็ไม่รู้แล้วว่ามีกฎข้อห้ามอะไรบ้าง
“เมื่อวานนี้ข้าไปตรวจสอบดูแล้ว ปรากฏว่าการแข่งขันในรอบนี้จะแตกต่างจากที่ผ่านๆ มา เพราะว่าพวกเราต้องลงไปแข่งขันกันในทะเลเจ้าค่ะ”
มี่หรู่หยานทำการบ้านมาเป็นอย่างดี นางรับหน้าที่อธิบายต่อไปด้วยความอดทน “แต่ละกลุ่มจะได้รับเรือหนึ่งลำที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังลมปราณ เรือเหล่านี้จะแล่นไปตามเส้นทางที่ผู้จัดการแข่งขันกำหนดไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าแข่งขันจะได้พบเจอกัน และเรือลำไหนที่สามารถแย่งชิงธงประจำเรือมาจากเรือลำอื่นได้เยอะที่สุด ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะ และผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็จะได้รับตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้”
ชิงธงในทะเล?
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แข่งกันบนดินมาตลอด?
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเอง หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “พวกเจ้ามีใครว่ายน้ำเป็นบ้าง?”
“ข้าว่ายน้ำเป็น”
“ข้าก็ว่ายเป็น”
“เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ข้าถนัดเลยก็ได้”
“ข้าก็ว่ายน้ำได้ไม่มีปัญหาเช่นกัน”
เหล่านี้คือคำตอบของเยว่หงเซียง ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุน และมี่หรู่หยาน
ถ้าเป็นอย่างนั้น…
ก็หมายความว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ว่ายน้ำไม่เป็น
เรียนว่ายน้ำตอนนี้ยังทันไหมเนี่ย?
แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
อย่าลืมว่าเขามีพลังปราณธาตุน้ำ เลวร้ายอย่างไรก็คงไม่จมน้ำตาย
เด็กหนุ่มใช้เวลาขบคิดกับคำถามข้อนี้อยู่นานสองนาน จึงได้คำตอบบอกตัวเองว่า เขาน่าจะลองขอคำปรึกษาจากเฒ่าทะเลดูสักหน่อย
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปตามตัวผู้ฝึกสอนพิเศษของพวกเรา”
หลินเป่ยเฉินเผ่นออกจากห้องทำงานด้วยความเร็วปานพายุหมุน
ทำเอาสมาชิกร่วมกลุ่มทั้ง 4 คนได้แต่หันมามองหน้ากัน
โชคดีที่ไป๋ชินหยุนช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่ามี่หรู่หยานจะยังคงเป็น ‘คนนอก’ ในสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่จากการที่นางไปปรากฏตัว ณ โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งเมื่อคืนนี้ และนางก็ยังยินดีเป็นสมาชิกกลุ่มของหลินเป่ยเฉินทั้งที่คนทั้งเมืองกำลังหวาดกลัวเขา ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียง และไป๋ชินหยุนจึงรู้สึกประทับใจในตัวของเด็กสาวต่างสถาบัน และเพียงไม่นาน พวกเขาก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากขึ้น
ผ่านไปอึดใจใหญ่
หลินเป่ยเฉินเดินหน้าบูดกลับเข้ามา
“ไหนล่ะผู้ฝึกสอนพิเศษ?” สมาชิกกลุ่มทั้ง 4 คนถามออกมาพร้อมกัน
หลินเป่ยเฉินตอบกลับด้วยความไม่สบอารมณ์ “อุตส่าห์ไปขอความช่วยเหลือแท้ๆ ใครจะไปนึกเลยว่าตาเฒ่านั่นจะขอคิดค่าฝึกสอนด้วย…ให้ตายเถอะ เขาต้องการค่าฝึกสอนทั้งหมด 2 พันเหรียญทองคำ…”
“เอาไปซะ” ไป๋ชินหยุนโยนบัตรใบหนึ่งให้แก่หลินเป่ยเฉิน “ไม่ต้องใช้รหัส รูดได้ตามสบาย”
“น้องไป๋ช่างน่ารักจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินประคองบัตรวิเศษด้วยสองมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เพียงไม่นาน ชายชรากลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องทำงาน
ประกอบไปด้วยเฒ่าทะเล ฉู่เหิน พานเว่ยหมิน และหลิวฉีไห่
นี่คือกลุ่มผู้ฝึกสอนพิเศษของพวกเขา