เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 287 ส่งสัญญาณสื่อความหมาย
บทที่ 287 ส่งสัญญาณสื่อความหมาย
หลิงจุนเซวียนลุกขึ้นเดินตามเจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าออกไปยืนเข้าแถวร่วมกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ รอรับการมาถึงของถังกู่จิน
ผู้ตรวจการประจำมณฑลเฟิงอวี่ถังกู่จิน เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งขึ้นตรงต่อกระทรวงบริหารงานภายใน มีตำแหน่งเป็นรองเพียงผู้ว่าการมณฑล เพราะฉะนั้น สถานะของถังกู่จินภายในมณฑลเฟิงอวี่จึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าการที่เขามาปรากฏตัวในเมืองหยุนเมิ่ง ที่ย่อมสร้างความแตกตื่นได้มากมายทีเดียว
นอกจากหลิงจุนเซวียน เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนยืนเข้าแถวด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
ในชีวิตนี้ พวกเขามีโอกาสต้อนรับบรรดาคนใหญ่คนโตไม่มากนัก
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ การมาเยือนของผู้ตรวจการมณฑลในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะเขามาเพื่อสืบคดีฆาตกรรมฟางเจิ้นหรู่ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑล เพราะฉะนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบในท้องที่ จึงไม่รู้เลยว่าถังกู่จินจะมีความรู้สึกต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง
เพียงไม่นาน หลิงจุนเซวียนก็มองเห็นการมาถึงของถังกู่จินและผู้ติดตาม
ถังกู่จินเป็นชายวัย 40 เศษ รูปร่างผอมสูง สวมเสื้อคลุมสีขาว ถือไม้เท้าไม่ไผ่ ใบหน้าขาวซีดปราศจากสีเลือด เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ออกมารับแสงอาทิตย์เป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
บริเวณใต้คางของถังกู่จินเลี้ยงไว้ด้วยหนวดเคราสามแฉก สีหน้าเหมือนครอบคลุมด้วยไอเย็นบางชนิด ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม ดวงตากวาดมองทุกผู้คนอย่างเย็นชา ทำให้ผู้ที่รู้สึกถูกจ้องมองหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
ด้านหลังของถังกู่จินเป็นคณะผู้ติดตามกลุ่มใหญ่
บรรดาคนกลุ่มนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่ของเมืองหยุนเมิ่งแล้ว ก็ยังมีหน่วยมือปราบที่ติดตามผู้ตรวจการมณฑลมาจากสำนักงานใหญ่ รวมถึงยอดฝีมืออีกหลายคนที่ถูกส่งตัวมาจากคณะบริหารในวังหลวงโดยตรง
สมาชิกของหน่วยมือปราบแต่ละคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับยาก
เพียงพวกเขาก้าวเดินเข้ามา เหล่าเจ้าหน้าที่ในเมืองหยุนเมิ่งต่างก็รู้สึกแข้งขาอ่อนระทวยกันหมดแล้ว
แม้แต่เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองอย่างหลี่สงฟู่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่สะดวก
มีเพียงหลิงจุนเซวียนคนเดียวเท่านั้นที่ยังเยือกเย็นอยู่ได้ดังเดิม
“คารวะใต้เท้าถัง” หลิงจุนเซวียนเดินนำหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปประสานมือทำความเคารพ
แต่ถ้าไม่ใช่องค์จักรพรรดิ เขาไม่มีวันยอมก้มหัวเด็ดขาด
ถังกู่จินพยักหน้าเล็กน้อย กวาดตามองกลุ่มคนที่ออกมาต้อนรับและแผ่พลังกดดันออกไปอย่างรุนแรง พูดว่า “หลินเป่ยเฉินอยู่ที่ไหน?”
หลิงจุนเซวียนตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วันนี้เป็นวันสำคัญของการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง หลินเป่ยเฉินผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้าย บัดนี้ เขากำลังแข่งขันอยู่ขอรับ”
ถังกู่จินหรี่ตาลงเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “หลินเป่ยเฉินคือผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสาวกปีศาจ ทำไมถึงยังได้รับอนุญาตให้แข่งขันต่อไปได้อีก?”
คำถามนี้ทำให้หลี่สงฟู่และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ประจำเมืองหยุนเมิ่งถึงกับสะดุ้งโหยง
ท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว
คำถามแค่สองประโยคจากถังกู่จิน สามารถทำให้หน่วยมือปราบอกสั่นขวัญแขวนกันได้ถ้วนหน้า
บางคนถึงกับรู้สึกเข่าอ่อนแล้วด้วยซ้ำ
หลิงจุนเซวียนตอบว่า “เขาเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยเท่านั้นขอรับ และเด็กคนนี้ก็มีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้แล้ว เพราะฉะนั้น…”
ถังกู่จินขัดขึ้นว่า “หลักฐานหรือ? หลักฐานอันใดกัน? เห็นว่าเป็นเพียงศิลาบันทึกภาพก้อนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
หลิงจุนเซวียนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ถูกต้องขอรับ”
ถังกู่จินหัวเราะในลำคอ “ศิลาเก็บภาพเหล่านั้นพวกปีศาจสามารถสร้างขึ้นมาได้ง่ายดายจะตายไป เราไม่สามารถยึดมันเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือเด็ดขาด นับว่าเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่งที่ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสาวกปีศาจ ยังได้รับอนุญาตให้ร่วมการแข่งขันต่อไปได้อีก”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นล้วนแต่ใบหน้ากระตุกขึ้นมาทันที
ความหวาดกลัวแผ่กระจาย
เจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าหลายนายถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ในทางกลับกัน หลิงจุนเซวียนเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดว่า “กราบเรียนใต้เท้าถัง ผู้ที่อนุญาตให้หลินเป่ยเฉินแข่งขันต่อไปได้ก็คือข้าเอง หากท่านมีอะไรจะกล่าวโทษ จงมาลงโทษที่ข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเถิด”
ถังกู่จินสูดหายใจลึก หันมามองหน้าหลิงจุนเซวียน
เขารู้ดีว่าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าเมืองบ้านนอกเล็กๆ แห่งนี้ แตกต่างจากผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองทั่วไป
ตระกูลหลิงมีอำนาจกว้างใหญ่ไพศาลทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ สถานะของหลิงจุนเซวียนย่อมไม่ธรรมดา
“สรุปว่ายังแข่งขันกันไม่จบใช่ไหม?” ถังกู่จินเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน
หลิงจุนเซวียนพยักหน้า “ยังไม่จบขอรับ”
ถังกู่จินพลันระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “ดีแล้ว ข้าอยากจะมีโอกาสรับชมการแข่งขันอยู่พอดี… ซางหยาน เจ้าพาคนไปสืบสวนคดีก่อน… ฉู่หลง เจ้านำคนไปสำรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง และสอบปากคำพยานใหม่อีกรอบ เมื่อการแข่งขันครั้งนี้จบลง ข้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมให้มากที่สุด”
มือปราบที่มีนามว่าโอซางหยางนำกำลังพลนายทหารระดับสูงอีก 20 ชีวิต เดินทางออกจากท่าเรือขึ้นรถม้าตรงไปยังที่ทำการของหน่วยมือปราบประจำเมือง
หลิงจุนเซวียนไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง เขารับหน้าที่นำทางถังกู่จินและคณะมารับชมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง เมื่อนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว ทุกสายตาก็หันไปจ้องมองยังหน้าจอการถ่ายทอดสดขนาดใหญ่ยักษ์
ถังกู่จินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงที่หลิงจุนเซวียนเคยนั่งก่อนหน้านี้
เขามีองครักษ์คอยประกบข้างซ้ายขวาหน้าหลังสี่ทิศทาง
ด้วยเหตุนี้ เหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล่านั้น ต่างก็ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจเพราะต้องหาที่นั่งใหม่โดยไม่จำเป็น
หลิงจุนเซวียนไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคือง เขาเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอย่างว่าง่าย
ทว่า การเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งที่เกิดขึ้น ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
ห่างออกไปในเขตที่นั่งของแขกระดับสูง ไป๋ไห่ชินกำลังเหยียดยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
หลินเจี้ยนหนานหัวใจกระตุกวูบ
บัดนี้ การแข่งขันศึกชิงธงดำเนินมาถึงรอบสาม สถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอถ่ายทอดสดเต็มไปด้วยความดุเดือดร้อนระอุ
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ เขาน้าวคันธนูและยิงลูกศรออกมา
ศรมังกรบินพุ่งทะยานแหวกอากาศ
เป้าหมายของมันอยู่ที่โจวฉุยหวูซวงซึ่งลอยกระเด็นตกกลับไปกระแทกดาดฟ้าเรือ เลือดไหลทะลักออกปาก ไม่สามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้เป็นระยะเวลาชั่วคราว
บรรดาคนดูส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความฮือฮา
แต่ทุกคนก็ได้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินหักหัวลูกธนูทิ้งไปก่อนที่จะยิงออกมา ส่งผลให้โจวฉุยหวูซวงถูกโจมตีด้วยศรที่ไม่มีคม แม้ว่าเขาจะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่อานุภาพของมันก็ทำให้เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
พวกเขาต่อสู้กันอย่างอำมหิต
ฝีมือยิงธนูของหลินเป่ยเฉินนับว่าน่ากลัวนัก
ดวงตาของถังกู่จินเป็นประกายแวววาวในขณะที่ส่งเสียงคำรามถามว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้คือหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
หลิงจุนเซวียนพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ”
“หึหึ จักรวรรดิเป่ยไห่ของเราได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งมือกระบี่ แล้วเหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงได้ใช้ธนูเป็นอาวุธประจำกายล่ะ? นั่นมันเป็นอาวุธของจักรวรรดิจี้กวงไม่ใช่หรือไง?”
น้ำเสียงของถังกู่จินบอกถึงการประณามหยามหมิ่นชัดเจน
หลิงจุนเซวียนกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่าคู่ต่อสู้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ที่จะให้เขาต้องแสดงฝีมือกระบี่ต่างหาก”
นี่คือคำตอบที่หยาบคายอย่างยิ่ง
หลิงจุนเซวียนพยายามบังคับให้ตนเองใจเย็นลง หลังประจำการทำหน้าที่เจ้าเมืองหยุนเมิ่งอยู่หลายปี เขาก็ทำตัวสงบเสงี่ยมราวกับเป็นนักบุญ ดูแลบ้านเมืองด้วยจิตใจใสสะอาด บางครั้งแม้มีผู้คนมาดูถูกเหยียดหยาม แต่หลิงจุนเซวียนก็เลือกที่จะยิ้มรับและปล่อยผ่านไปไม่สนใจ
แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เมื่อพบหน้าถังกู่จินในวันนี้ ทุกครั้งที่ผู้ตรวจการมณฑลกล่าวคำดูถูกหลินเป่ยเฉิน หัวใจของหลิงจุนเซวียนจะรู้สึกเจ็บปวดและต้องตอบโต้กลับไปด้วยคำพูดเจ็บแสบอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ถังกู่จินเป็นบุคคลผู้โง่เขลาอย่างนั้นหรือ?
ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน
จักรวรรดิเป่ยไห่มีอยู่ทั้งสิ้น 9 มณฑลใหญ่
แล้วคนที่สามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลได้สำเร็จ จะเป็นตัวโง่งมผู้หนึ่งได้อย่างไร?
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้าสู่เมืองหยุนเมิ่ง ถังกู่จินก็แสดงตัวเป็นปรปักษ์กับหลินเป่ยเฉินอย่างชัดเจน นี่คือการส่งสัญญาณสื่อความหมายในรูปแบบที่แจ่มแจ้งมากที่สุดแล้ว
หลินเป่ยเฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย
จากผู้ใดกัน?
น่าจะเป็นคนเดียวกับที่พยายามส่งมือสังหารมาลอบฆ่าเขานั่นเอง
หลิงจุนเซวียนเข้าใจดีว่าการพูดจายอกย้อนถังกู่จินไม่ใช่เรื่องดี
เขารู้ด้วยซ้ำว่ามันจะทำให้ตนเองมีปัญหากับขุนนางระดับสูง
แต่หลิงจุนเซวียนรู้สึกไม่สบายใจ
เขาอยากเผชิญหน้า
เพื่อที่จะ… ปกป้องหลินเป่ยเฉิน
แต่เพราะอะไรเขาก็ไม่รู้
หลิงจุนเซวียนรู้แค่ว่าเขาต้องทำเท่านั้น !