เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 326 ตายหมดเกลี้ยง
บทที่ 326 ตายหมดเกลี้ยง
“กราบเรียนนายท่าน หลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีไปได้ขอรับ บัดนี้ทางเจ้าหน้าที่ทั้งเมืองกำลังตามล่าตัวเขาอยู่ ข้าน้อยจึงอยากรบกวนให้ท่านใช้พลังพิเศษช่วยระบุตำแหน่งของหลินเป่ยเฉิน เพื่อให้พวกเราตามจับตัวเขาได้รวดเร็วมากขึ้นขอรับ”
ไป๋ไห่ชินคุกเข่า ก่อนก้มตัวแนบหน้าผากติดพื้นห้อง แสดงออกถึงความเคารพต่ออีกฝ่าย
“อย่างนี้นี่เอง” เสียงที่ดังแปลกหูพูดออกมาจากรูปปั้นอีกครั้ง “ถ้าไม่มีอะไรเร่งด่วน อย่าติดต่อข้ามาอีก”
ไป๋ไห่ชินรีบพูดโดยเร็วว่า “แต่สถานการณ์ตอนนี้เร่งด่วนมาก…”
“หุบปาก” พลัน เสียงแหบแห้งนั้นคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “ข้าอุตส่าห์ร่วมมือกับเจ้า ก่อการร้ายในลานจัตุรัสหน้าวิหารเทพกระบี่ โอกาสดีงามเช่นนั้นพวกเจ้ากลับทำให้หลินเป่ยเฉินหลุดมือไปเสียได้ แล้วยังคิดจะมาขอความช่วยเหลือจากข้าอีกหรือ? เจ้าช่างทำให้ข้าผิดหวังเสียเหลือเกิน”
ไป๋ไห่ชินตัวสั่นเทาในขณะที่พยายามอธิบายว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยจะเพิ่มของบูชาเป็น 2 เท่า แต่นายท่านได้โปรดช่วยระบุตำแหน่งที่อยู่ ณ ปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินให้ข้าน้อยได้รู้ด้วยเถิด”
เสียงจากรูปปั้นเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะดังออกมาว่า “ข้าเคลื่อนไหวอีกไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นจะถูกผู้คนสงสัยเอาได้ ถ้าเกิดข้าถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ แม้แต่เจ้าก็ต้องตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
ไป๋ไห่ชินกัดฟันกรอดและรวบรวมความกล้าพูดออกมาว่า “ข้าน้อยเอาชีวิตเป็นเดิมพันและยอมเสียสละทุกอย่างให้แก่นายท่าน แต่สถานการณ์ตอนนี้ยากลำบากมากเกินไป เราค้นหาทั้งในเมืองและนอกเมืองหยุนเมิ่งแล้ว กลับหาตัวหลินเป่ยเฉินไม่เจอแม้แต่เงา ข้าน้อยเกรงว่าหากปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยล่าช้าไปมากกว่านี้ หลินเป่ยเฉินอาจจะตั้งหลักมาตอบโต้พวกเราได้ และความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของพวกเราก็จะสูญสลายไปทันที”
รูปปั้นเงียบเสียงไปอีกครั้ง
แต่หลังจากนั้น หมอกควันจากตัวรูปปั้นก็จางหายไป
รูปปั้นไม่ได้เปล่งแสงสว่างออกมาอีกแล้ว
ไป๋ไห่ชินรอคอยอยู่เนิ่นนาน เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบสนอง หัวใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ดูเหมือนว่านายท่านของเขาจะปฏิเสธการช่วยเหลือแล้วสิ
ถึงจะรู้สึกเจ็บใจสักเท่าไหร่ แต่ไป๋ไห่ชินก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เรื่องนี้ถ้าจะโทษให้เป็นความผิดใครสักคน ก็ต้องบอกว่ามันเป็นความผิดของถังกู่จิน
ผู้ตรวจการมณฑลคนนั้นใจร้อนมากเกินไป เขายืนกรานที่จะถ่ายทอดสดการสอบปากคำหลินเป่ยเฉินที่วิหารเทพกระบี่ และนั่นทำให้นายท่านของไป๋ไห่ชินต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยง แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามแผนการอย่างราบรื่น พวกเขาตั้งใจบีบบังคับให้หลินเป่ยเฉินหลบหนี และนั่นก็เป็นข้ออ้างสังหารเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ของติงซานฉือได้โดยไม่มีใครสงสัย… แต่แล้วกลับเป็นพวกเจ้าหน้าที่มือปราบนั่นแหละ ที่ปล่อยให้หลินเป่ยเฉินหลุดมือไปได้อย่างไม่น่าให้อภัย
แต่จะให้เขาไปเอาเรื่องเอาราวกับถังกู่จิน นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เด็ดขาด
ไป๋ไห่ชินรู้ดีว่าบัดนี้ตนเองต้องยอมทนแบกรับความเจ็บใจทั้งหมดเอาไว้ก่อน
สิ่งที่ต้องทำให้ได้เร็วที่สุดในขณะนี้ ก็คือการตามหาตัวหลินเป่ยเฉินให้เจอ และสังหารเด็กหนุ่มคนนั้นในฐานะสาวกปีศาจให้ได้ เมื่อไม่มีหลักฐานใดจะสาวมาถึงตัวไป๋ไห่ชินอีกแล้ว แผนการในขั้นตอนหลังจากนั้น ถึงจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีปัญหา
“คงต้องทำมากกว่านี้แล้วสินะ”
ใบหน้าของไป๋ไห่ชินบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
เขาวางกำลังคนเอาไว้ทั่วเมืองขนาดนี้ ย่อมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ
ไป๋ไห่ชินค่อยๆ เก็บรูปปั้นหน้าตาประหลาดเข้าไปในอกเสื้ออย่างระมัดระวังและหมุนตัวเดินออกไปจากห้องลับในความเงียบงัน
…
“ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ นี่เจ้ากำลังหลอกลวงเราอยู่ใช่หรือไม่?”
เมียวโหรวเฟย หัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบจ้องมองหวังจงเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ “เจ้าพาพวกเราไปค้นหามาแล้วหลายสิบแห่ง แต่ก็เสียเวลาเปล่าทั้งหมด หรือว่าเจ้าตั้งใจถ่วงเวลาให้หลินเป่ยเฉินมีโอกาสหลบหนี?”
หวังจงพูดพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก “ข้าน้อยพาพวกท่านไปทุกสถานที่ที่นายน้อยควรจะไปหมดแล้ว ข้าน้อยมีนามว่าหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดี ข้าน้อยจงรักภักดีต่อผู้ที่มีผลประโยชน์มากที่สุดเสมอ…”
“เจ้าหุบปากไปเดี๋ยวนี้” เมียวโหรวเฟยใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนคนปวดฟัน เขายกมือขึ้นตบพ่อบ้านชราหน้าหันและออกคำสั่ง “พวกเราสั่งสอนมันซะ”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
เจ้าหน้าที่มือปราบชั้นผู้น้อยนับ 10 คนกรูเข้ามารุมกระทืบชายชรา
“อ๊าก อย่าทำข้าน้อยเลย… ข้าน้อยแก่แล้ว”
“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ โอ๊ย โอ๊ย ขอเวลาให้ข้าลองนึกดูอีกสักหน่อยเถิด…”
หวังจงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็มีสภาพใบหน้าบวมช้ำเหมือนหัวหมูไหว้เจ้าค้างคืน
“เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกมาว่าหลินเป่ยเฉินซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถ้าครั้งนี้ยังหาไม่เจออีก ข้าจะหักขาทั้งสองข้างของเจ้าทิ้ง และเปลี่ยนไปสอบปากคำหญิงรับใช้ทั้งสองนางนั้นแทน…”
เมียวโหรวเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าอำมหิต
หวังจนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยไม่ทราบที่อยู่ของเขาจริงๆ”
เช้ง!
เมียวโหรวเฟยชักกระบี่ออกมาแล้ว
หวังจงสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนก “เดี๋ยวข้าขอนึกดูก่อนนะขอรับ โปรดให้โอกาสข้าน้อยอีกสักนิด… อ้อ นึกออกแล้ว ยังมีอีกที่หนึ่ง นายน้อยน่าจะไปที่นั่น เดี๋ยวข้าจะพาพวกท่านไปเอง”
“งั้นก็นำทาง” เมียวโหรวเฟยออกคำสั่งเสียงเข้ม
หวังจงลุกขึ้นยืนโงนเงน และเริ่มต้นรับหน้าที่นำทางอีกครั้ง
ผ่านไปช่วงเวลา 1 ก้านธูป
ชายชราก็พาพวกของเมียวโหรวเฟยมาถึงกระท่อมน้อยที่ตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกลหลังหนึ่ง
“น่าจะเป็นที่นี่แหละขอรับ นายน้อยเคยพูดถึงให้ข้าฟังครั้งหนึ่งว่า หากเกิดเหตุอันตราย เขาจะมาหลบซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมหลังนี้…”
เมียวโหรวเฟยขมวดคิ้วและปล่อยพลังลมปราณสำรวจพื้นที่รอบบริเวณ
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่มือปราบสุดโหดก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“มีกลิ่นไอปีศาจอยู่ที่นี่ พวกเราทุกคนระวังตัว”
เมียวโหรวเฟยชักกระบี่ออกมาถือในมือและเดินนำผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปใกล้กระท่อมน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ
วูบ!
พลังลมปราณถูกยิงออกไป
โครม!
ประตูกระท่อมกระเด็นหลุดออกจากวงกบ
เมียวโหรวเฟยและเจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 6 อีก 2 นาย พร้อมใจกันโคจรพลังลมปราณเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
…
ผ่านไปอีก 1 ก้านธูป
ณ ห้องรับแขกของสำนักมือปราบประจำเมืองหยุนเมิ่ง
“ว่าไงนะ?” ถังกู่จินเด้งตัวลุกขึ้นมาจากที่นั่งด้วยความตกใจพร้อมกับพูดว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าเมียวโหรวเฟย หยวนซิงและหลี่ฉีเฟิง ทั้ง 3 คนนั้นตายหมดแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับใต้เท้า เจ้าหน้าที่มือปราบทั้ง 3 นายนั้นพบร่องรอยของหลินเป่ยเฉินอยู่ในกระท่อมน้อยทางตอนเหนือของตัวเมืองหลังหนึ่ง มันตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน พวกเขารีบไปที่นั่นเพราะอยากจะจับตัวหลินเป่ยเฉินให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่เมื่อกำลังเสริมไปถึง พวกเราก็ได้พบว่าเมียวโหรวเฟยและลูกน้องเสียชีวิตหมดแล้วขอรับ”
อู๋ซางหยานมีเหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผาก พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ… หลินเป่ยเฉินไม่ควรมีพลังแข็งแกร่งขนาดนั้น”
ถังกู่จินหนังหัวชายิบ พยายามไม่แสดงอาการตื่นตกใจออกมามากกว่าเดิม “เมียวโหรวเฟยกับผู้ติดตามอีก 2 คนเป็นเจ้าหน้าที่มือปราบระดับเหรียญทองแดง ส่งตรงมาจากสำนักผู้ว่าการมณฑล ทุกคนมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 6 ซ้ำยังได้รับการฝึกฝนวิธีต่อสู้กับสาวกปีศาจเป็นอย่างดี ต่อให้หลินเป่ยเฉินกลายร่างเป็นปีศาจ ก็ไม่สามารถรับมือพวกเขาได้แน่นอน แล้วกลุ่มมือปราบชั้นผู้น้อยอีก 30 คนที่พวกเขาพาไปด้วยนั้นเล่า… ไม่มีใครรอดชีวิตเลยหรือ?”
อู๋ซางหยานได้แต่ยิ้มขมขื่น ไม่กล้าเงยหน้าสบตาถังกู่จินด้วยซ้ำ “เจ้าหน้าที่มือปราบของพวกเราทั้ง 33 คน ตายหมดเกลี้ยงเลยขอรับ ไม่มีใครรอดชีวิต…แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” ถังกู่จินถามเสียงเขียว
อู๋ซางหยานรีบตอบโดยเร็วว่า “พ่อบ้านหวังจง ซึ่งเป็นคนนำทางพวกของเมียวโหรวเฟยไปยังกระท่อมน้อยหลังนั้น เขาเป็นผู้เดียวในที่เกิดเหตุที่รอดชีวิตมาได้ แต่ดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้วขอรับ เพราะพูดจาไม่รู้เรื่องเลย”
“พ่อบ้านหวังจงอย่างนั้นหรือ?” ถังกู่จินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาเพราะนึกขึ้นได้ “นั่นมันคนรับใช้ส่วนตัวของหลินเป่ยเฉินไม่ใช่หรือไง?”
“ใช่แล้วขอรับ” อู๋ซางหยานตอบ “พ่อบ้านคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง คนทั้งเมืองทราบดีว่าเขาไม่เคยภักดีต่อนายน้อยของตนเองเลย พวกเราจึงยอมให้หวังจงมาเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสวนขอรับ”
“แล้วมันพูดว่าอย่างไรบ้าง?” ถังกู่จินถามด้วยความหงุดหงิด
อู๋ซางหยานรายงานว่า “หวังจงพูดอยู่แค่คำเดียวเท่านั้นคือ “ผีร้าย ผีร้าย ผีร้าย” ตอนแรกข้าน้อยนึกว่าเขาแสดงละครตบตาเรา แต่เมื่อลองสอบปากคำดูถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ ข้าน้อยว่าในกระท่อมหลังนั้นต้องมีปีศาจสิงสู่ และที่เจ้าหน้าที่ของพวกเราต้องตายทั้งหมด ก็เป็นเพราะฝีมือของปีศาจตนนั้นแน่นอน“
ถังกู่จินหันกลับไปนั่งที่เก้าอี้ครั้ง
เขายกมือกุมขมับด้วยความปวดหัว
“มีข่าวจากกลุ่มอื่นบ้างหรือไม่?”
ถังกู่จินถามออกมาอีกครั้ง
อู๋ซางหยานตอบว่า “ยังไม่มีขอรับ ถึงเราจะค้นหาทั่วเมืองหยุนเมิ่งแล้ว แต่หลินเป่ยเฉินยังคงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
ถังกู่จินยกมือขึ้นออกคำสั่งว่า “เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่มือปราบออกไปตามหาตัวเด็กคนนั้นให้มากกว่านี้”
“รับทราบขอรับ”
อู๋ซางหยานรับคำสั่งเรียบร้อยก็หมุนตัวเดินจากไป
“กราบเรียนท่านใต้เท้า อาจารย์ไป๋ไห่ชินเดินทางมาขอเข้าพบขอรับ”
เวรยามที่เฝ้าหน้าประตูวิ่งสวนเข้ามารายงานด้วยความกระตือรือร้น
“หืม? งั้นก็เชิญตัวเขาเข้ามาได้” ดวงตาของถังกู่จินเป็นประกายขึ้นมาทันที
ไม่นานหลังจากนั้น ไป๋ไห่ชินก็เดินมาประสานมือคำนับถังกู่จินอยู่ในห้องรับแขก
ผู้ตรวจการมณฑลถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง “เรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ไห่ชินส่ายหน้าเล็กน้อย “นายท่านไม่ยอมร่วมมือกับข้าอีกแล้ว”
ประกายแวววาวในดวงตาของถังกู่จินหายวับไปในพริบตา
ไป๋ไห่ชินกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น พยายามสงบสติอารมณ์ พูดว่า “แต่ข้ายังมีอีกหนึ่งหนทางที่น่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ เราต้องหาวิธีกระจายข่าวให้ชาวเมืองทุกคนช่วยกันออกตามล่าตัวหลินเป่ยเฉิน เพียงไม่ทราบว่าใต้เท้าถังจะเห็นด้วยกับวิธีการนี้หรือไม่”