เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 343 หลินเป่ยเฉินรีบหนีไป
บทที่ 343 หลินเป่ยเฉินรีบหนีไป
ทุกคนล้วนสงสัยอยู่ในใจ
สาวกปีศาจจะมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตตั้งแต่เกิด
เนื่องจากมีเชื้อสายปีศาจ…
แล้วมีหรือที่ปีศาจจะห่วงใยความปลอดภัยของมนุษย์?
มีหรือที่ปีศาจจะมีจิตสำนึกคอยรักษาผู้บาดเจ็บ?
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินทำ ไม่ได้แตกต่างไปจากเทพเจ้าเลย
“เจ้าเด็กชั่ว เจ้ากับข้าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว” หลินเจิ้นหนานลุกขึ้นยืน กัดฟันแยกเขี้ยวจ้องมองหลินเป่ยเฉินเหมือนสุนัขบ้า
“อะไรกันขอรับท่านอา เมื่อ 2 เค่อก่อน ท่านอายังชื่นชมข้าไม่ขาดปากอยู่เลยนะ” หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
หลังจากนั้น เขาก็ใช้แอปเมจิก คาเมร่าสลับใบหน้ากลับไปเป็นหลินอี้อีกครั้ง
บรรยากาศเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
ใบหน้าที่สุดแสนจะหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉินพลันลดทอนความหล่อเหลาลงไปเล็กน้อย
โครงหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ชาวเมืองเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
เมื่อหลินเจิ้นหนานเห็นใบหน้าของบุตรชายตนเองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเป็นผู้คนที่เขาอยากจะสังหารที่สุดในเวลานี้ หลินเจิ้นหนานก็ต้องเกิดความเจ็บแค้นใจจนถึงกับกระอักเลือดออกมาแล้ว…
“ฟู่…”
จากนั้น หลินเจิ้นหนานก็ก้มหน้ามองหัวของบุตรชายที่อยู่ในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว
“เหวอ…”
หัวหน้าตระกูลหลินคนปัจจุบันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมกับรีบโยนหัวคนในมือทิ้งไปเหมือนกับมันเป็นของร้อน
เพราะว่าหัวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากลายเป็นหัวของหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินเป็นรอบที่สอง หลินเจิ้นหนานก็ได้พบว่าเด็กหนุ่มกลับมามีใบหน้าของตนเองตามเดิมแล้ว
ส่วนหัวที่เขาเพิ่งโยนทิ้งไปเมื่อสักครู่ก็กลับมาเป็นหัวของหลินอี้แล้วเช่นกัน
อย่างนี้นี่เอง
ที่แท้เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้
ถังกู่จิน อู๋ซางหยานและไป๋ไห่ชินเบิกตาโตจนดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า
ในโลกนี้มีวิชาปลอมแปลงตัวชนิดนี้อยู่ด้วยหรือ?
หลินเป่ยเฉินใช้วิธีการใดกัน?
เหตุไฉนถึงได้ปลอมแปลงอย่างรวดเร็วเพียงนี้?
“ถ้าอย่างนั้น… หัวคนหัวแรกที่หายไป ก็คงเป็นหัวของกวนเฟยตู้ใช่หรือไม่?” ถังกู่จินถามออกมา ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
บัดนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“หมอนั่นโชคร้ายไปหน่อย” หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบกลับ “แต่ก็สมควรโดนเช่นนั้นแล้ว นอกจากจะยอมลดตัวลงมาเป็นสุนัขรับใช้พวกเจ้า กวนเฟยตู้ยังมีจิตใจอำมหิตคิดทรมานเพื่อนร่วมสถาบันและอาจารย์ของตนเอง ทั้งที่พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าเลย แต่กวนเฟยตู้ตั้งใจทรมานผู้คน ก็เพื่อแสดงออกถึงอำนาจของตนเองเท่านั้น มิหนำซ้ำ เขายังใส่ร้ายผู้คนเป็นสาวกปีศาจ สำหรับกับบุคคลเช่นนี้… ต่อให้ตายเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็ยังไม่สาสมกับความผิดที่มันได้ทำเอาไว้”
“ถ้าอย่างนั้นก็สรุปว่าเจ้าเป็นคนฆ่าหลินอี้ และนำหัวของเขาปลอมเป็นหัวของเจ้า เพื่อนำมาขึ้นเงินรางวัลสินะ?”
ถังกู่จินพยายามระงับความโกรธแค้นถามออกไป
หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างสุภาพเหมือนคุณครูในโรงเรียนประถมกำลังเฉลยข้อสอบให้เด็กนักเรียนฟัง “คำตอบถูกต้องนะขอรับ แต่เสียดายที่เจ้ารู้ตัวช้าไปสักหน่อย ต่อให้ตอบถูกตอนนี้ ข้าก็ไม่มีรางวัลให้แล้ว”
ใบหน้าที่เคยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกของถังกู่จิน มาบัดนี้ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ “แต่เจ้าทำเช่นนี้… เพื่ออะไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินพูดกลับไปว่า “ลองเดาดูสิ”
“จะให้เดาอย่างนั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ถังกู่จินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
เสียงหัวเราะของเขาแฝงไว้ด้วยความอาฆาตแค้นและจิตสังหารเต็มเปี่ยม
“เจ้าตั้งใจหลอกเอาเงินค่าหัวใช่หรือไม่? นับเป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงใช้พลังปีศาจตบตาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง?”
ถังกู่จินมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเย็นชา หลังจากนั้นเมื่อสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ผู้ตรวจการมณฑลก็กล่าวต่ออีกครั้ง “มันอาจทำให้เจ้าสะใจเล็กน้อย แต่น่าเศร้าที่เจ้าก็ยังเปลี่ยนแปลงจุดจบไม่ได้อยู่ดี เจ้าอาจคิดว่าตนเองฉลาดล้ำเกินใคร แต่สุดท้ายเจ้าก็หลงกลต้องปรากฏตัวออกมาตามแผนการของข้า นี่หรือเรียกว่าคนฉลาด? การที่เจ้ามาปรากฏตัวที่นี่ มันจะทำให้เจ้ามีแต่ต้องพบเจอความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ต้องเห็นสหายของตนเองตกตายไปต่อหน้าต่อตา เลือดปีศาจชั่วของพวกเจ้าจะต้องไหลเนืองนอง!”
ยิ่งพูด น้ำเสียงของถังกู่จินก็ยิ่งแตกพร่า
ชาวเมืองที่รวมตัวกันอยู่ในลานจัตุรัสหน้าวิหารเทพกระบี่รู้สึกเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจ
บัดนี้ ชายหนุ่มที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลได้เปิดเผยถึงเจตนาที่แท้จริงของตนเองออกมาแล้ว คำพูดทุกคำของเขาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด และนั่นก็ทำให้ถังกู่จินดูเหมือนสาวกปีศาจมากยิ่งกว่าหลินเป่ยเฉินเสียอีก
คำพูดของถังกู่จินทำให้กลุ่มนักโทษจำนวนมากมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“เจ้าลูกเต่า รีบหนีไปซะ อยู่ที่นี่เจ้าก็ช่วยเหลือผู้ใดไม่ได้หรอก”
ฉู่เหินตะโกนออกมาในทันที
แม้แต่ตอนที่ถูกจับมัดเผาไฟเมื่อสักครู่นี้ ฉู่เหินก็ยังไม่แสดงอาการสะทกสะท้านออกมาด้วยซ้ำ
“ถูกต้อง หลินเป่ยเฉิน เจ้าช่วยพวกเราไม่ได้อีกแล้ว” พานเว่ยหมินก็ส่งเสียงตะโกนออกมาเช่นกัน
หยางเฉินโจวที่มีร่างกายสูงใหญ่พลันระเบิดเสียงหัวเราะดังกังวาน “ข้ามองน้องชายไม่ผิดไปจริงๆ… ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องมาช่วยเหลือพวกเราแน่ๆ เพราะฉะนั้น ข้าถึงไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเจ้าจะเป็นสาวกปีศาจ หรือต่อให้เจ้าเป็นจริง มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว… รีบหนีไปซะ ไปฝึกวิชาให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ แล้วกลับมาล้างแค้นให้ข้ากับพี่สะใภ้ของเจ้าด้วย”
“พี่หลิน รีบหนีไปเถิดเจ้าค่ะ…” เยว่หงเซียงส่งเสียงกรีดร้องออกมาสุดชีวิต
เจ้าของสวนแตงโมอู๋เฟิ่งกูพูดออกมาว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้าทำให้ข้าต้องถูกจับตัวมาเช่นนี้… แต่ข้าก็รู้ดีว่าไม่สามารถโทษเจ้าได้เด็ดขาด รีบหนีไป แต่จงจำไว้ว่าข้ามีบุตรนอกสมรสอยู่คนหนึ่ง จงไปตามหาเขาและดูแลเขาให้ดี…”
นักโทษหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนเวทีด้านหลังอู๋เฟิ่งกูได้ยินดังนั้น ก็ใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น เพราะนี่คือความลับที่นางไม่เคยรู้เลยว่าสามีของตนเองได้แอบไปมีบุตรนอกสมรสอยู่ทั้งคน…
“รีบหนีไปซะ”
“หลินเป่ยเฉิน ทำไมเจ้ายังไม่รีบหนีไปอีก”
หลิงจุนเซวียนกับหลิงอู๋ส่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมกัน
หากหลินเป่ยเฉินต้องมีอันจบชีวิตลงในวันนี้ เด็กหนุ่มก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นสาวปีศาจตลอดไป
และไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
แต่ถ้าหลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้สำเร็จ เขาก็ยังมีความหวังที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
ต่อให้มีคนจำนวนมากต้องเสียชีวิตเพราะเขาในวันนี้ แต่ทุกคนก็รู้สึกเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตของตนเอง
มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
มีเพียงหลิงไท่ซวีเพียงคนเดียวในวงล้อมกระบี่จากแผ่นยันต์เก่าแก่ ที่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดคำใด
แต่เขากำลังมองเข้าไปในดวงตาของหลินเป่ยเฉิน สีหน้าของชายชราปรากฏความพึงพอใจออกมาชัดเจน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ไป๋ไห่ชินเงยหน้าขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า
“คิดจะหนีหรือ? จะหนีไปไหน?”
เขาคำรามด้วยสีหน้าโกรธแค้น “นี่ไม่ต่างจากการจับตะพาบในไห เจ้าเป็นเสมือนลูกไก่ในกำมือของเราแล้ว คิดจะหลบหนีอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ…พวกเราแสดงตัว”
แล้วพื้นที่โดยรอบจัตุรัสหน้าวิหารเทพกระบี่ ก็ปรากฏพลังลมปราณจำนวนมหาศาลแผ่ออกมา
แล้วเจ้าหน้าที่มือปราบจำนวนหนึ่งคน สองคน สามคน สิบคน ร้อยคน สองร้อยคน… ก็ทยอยปรากฏตัวออกมารวมแล้วนับพันนาย… พลังลมปราณมหาศาลโอบล้อมมาจากทุกด้าน กระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของพวกเขาถูกชักออกมาจากฝัก คันธนูถูกประทับลูกศร หอกในมือกระชับมั่น อาวุธของทุกคนพร้อมสำหรับการใช้งาน…
พลังลมปราณของเจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านั้น เมื่อรวมเข้ากับประกายเย็นเยียบของคมกระบี่และคมหอก มันก็ทำให้ชาวเมืองทุกคนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว
ถังกู่จินลอบวางขุมกำลังเอาไว้ล่วงหน้า
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” อู๋ซางหยานหัวเราะในลำคอ “เจ้าโง่เขลาเสียขนาดที่คิดว่าเราจะเตรียมเจ้าหน้าที่มาเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นหรือ? เรื่องนี้ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ของใต้เท้าถัง เราจึงได้เกณฑ์กำลังเจ้าหน้าที่มือปราบผีมือดีมาจากไห่อันถึง 2 พันนาย และมีถึง 40 นายที่มีพลังยุทธ์ระดับยอดปรมาจารย์ หลินเป่ยเฉิน ข้าอยากรู้นักว่าวันนี้เด็กหนุ่มฝีมือต่ำต้อยอย่างเจ้า จะสามารถหลบหนีได้อย่างไรอีก?”
สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตร
ถังกู่จินไม่สามารถปิดบังรอยยิ้มของตนเองได้อีกแล้ว
การเตรียมการครั้งนี้ออกจะวุ่นวายอยู่สักหน่อย
แต่มันก็ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
ถังกู่จินยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะเอาเงิน 2 แสนเหรียญทองคำพวกนั้นไปทำไม… รู้หรือไม่ว่าเมื่อคนเราตายไปแล้ว ก็ไม่สามารถเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปได้หรอกนะ”
“200,000 เหรียญทองคำที่ไหนกัน” หลินเป่ยเฉินยังคงมีท่าทีเยือกเย็นเช่นเดิม มิหนำซ้ำ เขากำลังหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ไม่ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นเงิน 300,000 เหรียญทองคำต่างหาก ไม่เชื่อเจ้าลองไปถามพวกตระกูลกวนดูได้เลย”
ถังกู่จินชะงักไปเล็กน้อย
ในจังหวะนั้นเอง
“ใต้เท้าขอรับ ใต้เท้า…” เสียงของใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นจากด้านนอกลานจัตุรัส
ปรากฏว่าเป็นโมเสี่ยวเซียง หัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งทำหน้าที่สอบปากคำสมาชิกตระกูลกวน เขากำลังรีบวิ่งมาที่นี่พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองนาย “กราบเรียนใต้เท้า ข้าน้อยมีนามว่าโมเสี่ยวเซียง ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญมาแจ้งให้ทราบ…”