เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 356 เหมือนได้อยู่จุดสูงสุดของชีวิต
ตอนที่ 356 เหมือนได้อยู่จุดสูงสุดของชีวิต
“นับว่าเจ้าเป็นเด็กดี”
นักพรตใหญ่กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ในเมื่อเจ้าอยากอยู่ที่เมืองนี้ต่อไป ข้าก็คงต้องช่วยทำความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริงแล้วล่ะ เรื่องอธิบายกับมหาวิหารเดี๋ยวข้าจะจัดการให้เจ้าเอง ไม่ต้องเป็นกังวล”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
พอเขายืนยันว่าจะไม่รับข้อเสนอ นางก็ไม่เกลี้ยกล่อมเขาอีกแล้วหรือ
ป้าจ๋า ทำไมถึงเป็นคนเปลี่ยนใจง่ายแบบนี้เนี่ย?
ไม่ลองถามดูอีกสักครั้งหน่อยหรือไง
สิ่งที่พูดออกไปเมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกแล้ว
เมื่อนักพรตใหญ่เห็นว่าเด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก ก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาตื่นเต้นมากเกินไป “เด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีงามเช่นเจ้า นับว่าเป็นผู้คนที่หาได้ยากขึ้นทุกวัน หลินเป่ยเฉิน เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ข้าขอยืนยันว่าชินเอ๋อร์จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าได้อยู่ในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ต่อไปแน่นอน”
หญิงวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เหมือนรู้จักกับหลินเป่ยเฉินมาตั้งแต่เขาถือกำเนิด
นักพรตใหญ่เป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน สามารถอ่านคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งไม่มีผิดพลาด แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน นางไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้เลย ด้วยเหตุนี้ หญิงวัยกลางคนจึงไม่ทราบว่าหลินเป่ยเฉินมีเจตนาแอบแฝงในคำตอบก่อนหน้านี้
“ชินเอ๋อร์อย่างนั้นหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินทวนคำพูดด้วยความพิศวง
นักพรตใหญ่ยิ้มเล็กน้อยและอธิบายว่า “ข้าหมายถึงนักพรตหญิงชินน่ะ”
หืม?
นักพรตหญิงชินมีอำนาจใหญ่โตขนาดนั้นเชียวหรือ?
แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นนางจะช่วยเหลืออะไรเขาเลย?
คิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดนึกถึงติงซานฉือผู้เป็นอาจารย์ของตนเองไม่ได้
ตั้งแต่รับตัวเขาเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ตาเฒ่านั่นก็หายหน้าหายตา ยังไม่เคยกลับมาหาเขาเลยสักครั้งเดียว
หลินเป่ยเฉินสงสัยใจว่าอาจารย์ของตนเองน่าจะสังหรณ์ได้ถึงลางร้ายอะไรบางอย่าง เขารู้ว่าในเมืองหยุนเมิ่งกำลังจะเกิดความวุ่นวายโกลาหล ก็เลยอาศัยจังหวะนี้หลบหนีปัญหาไปเสียก่อน
และปล่อยให้หลินเป่ยเฉินต้องช่วยเหลือตัวเองแทบเอาตัวไม่รอด
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
นักพรตใหญ่พูดขึ้นอีกครั้งว่า “มีอีกเรื่องที่เจ้าต้องทำความเข้าใจให้ดี เมื่อมีสถานะเป็นร่างทรงเทพเจ้า ไม่ว่าในอดีตเจ้าจะเคยสร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ทุกอย่างจะถูกลบล้างไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้น เจ้าจงอย่าได้ยึดมั่นในตนเองมากเกินไปเด็ดขาด”
“ข้าน้อยจะพยายามตั้งใจฝึกฝนและควบคุมพลังเทพเจ้าให้เป็นอย่างดีขอรับ”
สีหน้าของเด็กหนุ่มบอกชัดถึงความมุ่งมั่น
นักพรตใหญ่พยักหน้าด้วยความพอใจ ยิ้มและพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะเป็นคนกำหนดหลักสูตรการสอนให้เจ้าด้วยตนเอง ส่วนนักพรตหญิงชินก็จะเป็นผู้ที่ควบคุมการสอนของเจ้า ถ้ามีตรงส่วนไหนเจ้าไม่เข้าใจ ก็สามารถขอรับคำชี้แนะจากนางได้เสมอ และเจ้าก็สามารถเข้าออกวิหารแห่งนี้ได้ตลอดเวลา เพราะนับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้ามีฐานะเป็นหัวหน้านักบวชของวิหารเทพประจำเมืองหยุนเมิ่ง”
หลินเป่ยเฉินปากอ้าตาค้าง
รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
นักพรตหญิงชินจะเป็นคนที่สอนเขาด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?
หมายความว่าเขาจะได้อยู่ข้างกายนางทั้งวันทั้งคืนเลยใช่ไหม?
ใครจะไปคิดเลยว่าเขาจะวาสนาดีขนาดนี้
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองได้อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว
เขายิ้มกว้างและกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านนักพรตใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ ข้าน้อยรับปากว่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของนักพรตหญิงชินเป็นอย่างดี ข้าจะพยายามพัฒนาตนเองทั้งวันทั้งคืนและฟื้นฟูความสามารถทั้งหมดกลับมาให้ได้…”
เอ่อ ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไหร่นะ
ความคิดอีกมากมายผุดวาบเข้ามาในหัวของหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่เขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง “เอ๋? เมื่อสักครู่นี้ ท่านบอกว่าข้ามีฐานะเป็นหัวหน้านักบวชประจำวิหารเมืองหยุนเมิ่งแล้วหรือขอรับ?”
นี่เท่ากับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งแล้วใช่ไหม?
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องประกาศบอกต่อสาธารณชนก็ได้ และเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตนเองกำลังแบกรับภารกิจใหญ่หลวง จงคิดเสียว่ามันเป็นเพียงตำแหน่งติดตัวเจ้าเท่านั้นก็พอแล้ว”
นักพรตใหญ่รู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มจากใจจริง จึงพยายามคิดทุกอย่างเพื่อความสะดวกสบายของเขาทั้งหมด
ฮื่อ…
หลินเป่ยเฉินแอบเสียดายเล็กน้อย
เรื่องนี้ถ้าประกาศให้ชาวเมืองรู้ก็คงดี
หากจำเป็นต้องเปลี่ยนบุคลิกมาเป็นคนดี ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องเข้ารับตำแหน่งหัวหน้านักบวช หลินเป่ยเฉินก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งเป็นคนเลวเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว
ดีไม่ดีเขาจะได้กลายเป็นขวัญใจชาวเมืองด้วยซ้ำ
แต่ในเมื่อนักพรตใหญ่ไม่ให้เขาบอกใคร แล้วหลินเป่ยเฉินจะไม่ทำตามได้อย่างไร?
“ขอบคุณท่านนักพรตใหญ่มากขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกแขนเสื้อเช็ดคราบมันบนริมฝีปาก “ท่านนักพรตใหญ่เมตตาข้าน้อยเหลือเกิน นับตั้งแต่เกิดจนโต ข้าน้อยไม่เคยพบเจอมารดาของตนเองเลยสักครั้ง การที่ได้เห็นท่านในวันนี้ มันทำให้ข้านึกถึง…ท่านยายของข้าน้อย”
เมื่อดูจากอายุอานามของนักพรตใหญ่ นางคงไม่เหมาะสมที่จะถูกเปรียบเปรยให้เป็นมารดาของเขาสักเท่าไหร่
เป็นยายนี่แหละเหมาะสมแล้ว
โชคดีที่เด็กหนุ่มบิดคำพูดประโยคสุดท้ายได้ทันเวลา
เมื่อได้ยินดังนั้น นักพรตใหญ่ก็ยิ่งยิ้มแย้มด้วยความอ่อนโยนมากกว่าเดิม
สำหรับหลินเป่ยเฉิน วันนี้เขาสามารถเอาชนะใจหญิงวัยกลางคนผู้นี้ได้โดยสมบูรณ์
เขากลายเป็นเด็กดีในสายตาของนาง
บรรยากาศของการรับประทานอาหารมื้อนี้ผ่านพ้นไปอย่างเป็นกันเองและผ่อนคลาย
ที่ด้านนอก
นักพรตหญิงชินยืนรอคอยอยู่ในความเงียบ
ในฐานะนักพรตหญิงผู้คอยดูแลความเรียบร้อยของวิหารเทพกระบี่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือตกอยู่ในสถานการณ์ใด สีหน้าของนางก็จำเป็นต้องเรียบเฉยอยู่เสมอ ห้ามแสดงความโกรธแค้น ห้ามแสดงความเศร้า ห้ามส่งเสียงหัวเราะ ห้ามเปิดเผยถึงความรู้สึกใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
ประตูห้องพักเปิดออก
นักพรตใหญ่ก้าวเดินออกมา
“เจ้าคงต้องอดทนอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน ไว้ได้ผลสรุปของการเจรจาเมื่อไหร่ เจ้าถึงจะสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ”
นักพรตใหญ่พูดเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะยิ้มอำลาและหมุนกายเดินจากไป โดยที่มีนักพรตหญิงชินตามติดไปไม่ห่างตัว
นักบวชสาวในชุดเกราะเหล็กทั้งสองนางยังคงยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องพักของเด็กหนุ่มเช่นเดิม
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมั่นใจแล้วว่าพวกนางต้องมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคิดแน่นอน
น่าจะมีขอบเขตอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย?
หรือไม่ก็อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้วสินะ?
หลินเป่ยเฉินเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยหัวใจที่เยือกเย็นมากขึ้น
เขาลองใช้วิชามัจฉากลายร่างเป็นมังกรโคจรพลังลมปราณดูเล็กน้อย
ปรากฏว่ากำแพงที่ปิดกั้นมวลพลังลมปราณได้สลายตัวลงไปบางส่วน แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่เด็กหนุ่มจะโคจรพลังไปทั่วร่างกายได้อยู่ดี
พลังลมปราณน้อยนิดเพียงเท่านี้ หลินเป่ยเฉินไม่สามารถใช้ทำประโยชน์อันใดได้เลย
ขนาดจะสร้างวงแหวนวารีขึ้นมารักษาตนเอง ก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีละนะ
สิ่งเดียวที่หลินเป่ยเฉินเสียดายก็คือพลังลมปราณอ่อนแอจนไม่สามารถใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยังไม่สามารถติดต่อเทพีกระบี่หิมะไร้นามผ่านแอปวีแชทได้ตามที่ใจปรารถนา
ก๊อกก๊อกก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เจ้าลูกเต่า ได้ยินว่าฟื้นขึ้นมาแล้วหรือ?”
เสียงของฉู่เหินดังขึ้นหน้าประตู
หลินเป่ยเฉินรีบกระโดดลงจากเตียงไปเปิดประตูด้วยความดีใจ
ฉู่เหิน พานเว่ยหมิน หลิวฉีไห่ ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียง มี่หรู่หยาน หยางเฉินโจว หลู่หลิงโจว และคนอื่นๆ อีกมากมาย วิ่งเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินอยู่ตรงกลาง และสำรวจดูเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เหมือนนักท่องเที่ยวในสวนสัตว์กำลังสำรวจดูหมีแพนด้าตัวหนึ่ง
“ฮื่อ นายน้อย ในที่สุดนายน้อยก็ฟื้นแล้ว หวังจงเป็นห่วงท่านแทบแย่…”
น้ำเสียงประจบประแจงที่คุ้นหูพลันดังขึ้น
แล้วหวังจงที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งก็วิ่งเข้ามากอดขาหลินเป่ยเฉินพร้อมกับร้องไห้ด้วยความตื่นเต้น
“ไอ้สุขัขเฒ่าเลี้ยงเสียข้าวสุก!”
พลัน หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบก้นพ่อบ้านชรากระเด็นออกไปด้วยความฉุนเฉียว “ข้ายังไม่ตายสักหน่อย จะร้องไห้เพื่อ”
“นายน้อยขอรับ หวังจงดีใจเหลือเกิน…”
พ่อบ้านชรายกมือปาดน้ำตาด้วยความซึ้งใจ
หลินเป่ยเฉินแค่นหัวเราะในลำคอ “แต่ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้ เจ้าเป็นคนพาเจ้าหน้าที่มือปราบพวกนั้น เที่ยวตามหาที่ซ่อนตัวของข้าไปทั่วเมืองเลยไม่ใช่หรือ?”
“นายน้อยเข้าใจผิดแล้วขอรับ”
หวังจงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นายน้อยอย่าลืมสิว่าข้ามีนามว่าหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดี ท่านเปรียบเสมือนลูกชายแท้ๆ ของข้า แล้วข้าจะหักหลังท่านได้อย่างไร? ข้าน้อยทำทุกอย่างเพื่อปกป้องความปลอดภัยอากวงกับเฉียนเหมยและเฉียนเจิน และมีเจตนาที่จะซื้อเวลาให้นายน้อยได้หลบหนีต่างหากขอรับ”
“ใครเชื่อเจ้าก็คงโง่เต็มทน”
หลินเป่ยเฉินกระโดดเตะคนรับใช้ชราอีกครั้ง
ทันใดนั้น หวังจงสยายยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด “อ้า สบายตัวเหลือเกินขอรับ นายน้อยกลับมาทำร้ายหวังจงอีกครั้ง ชีวิตของหวังจงได้เติมเต็มแล้ว…มันทำให้ข้าน้อยนึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่ดีเหล่านั้นเหลือเกิน”
….ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว