เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 364 ท่านเป็น... เพื่อนสนิทกับท่านพี่หรือเจ้าคะ?
ตอนที่ 364 ท่านเป็น… เพื่อนสนิทกับท่านพี่หรือเจ้าคะ?
“เจ้าจะไม่เปลี่ยนใจจริงหรือ?”
หลิงฉือมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เขาใช้โอกาสนี้ลองโน้มน้าวใจอีกครั้ง
“ถึงเจ้าจะยังใช้พลังลมปราณไม่ได้ แต่อาศัยเพียงพละกำลังที่เจ้ามีในตอนนี้ นั่นก็ทำให้เจ้าประสบความสำเร็จในสมรภูมิแดนเหนือได้อย่างแน่นอน ข้ารับประกันว่าภายในเวลา 3 ปี เจ้าจะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากกว่าบิดาของเจ้า… และเจ้าจะถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม”
หลินเป่ยเฉินยิ้มฝืด “ข้าไปไม่ได้หรอกขอรับ เพราะข้าต้องแต่งงานกับน้องสาวของท่าน”
นี่เป็นเพียงมุกตลกของเขาเท่านั้น
หลิงฉือเข้าใจดี
นายทหารหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย “หวังว่าสักวันหนึ่ง เจ้าคงไม่เสียใจกับสิ่งที่ตนเองเลือกก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินไม่พูดคำใด
“ท่านพี่ ท่านต้องระวังตัวด้วยนะ ข้ากับมารดาจะรอคอยอยู่ที่บ้าน รอให้ท่านกลับมาหา”
เด็กหญิงวัย 11 ขวบคนหนึ่งยกมือป้องปากตะโกนเสียงดัง นางผูกผมเปียสองข้าง สวมใส่เสื้อผ้าที่มีแต่รอยปุปะด้วยเนื้อผ้าสีอื่นๆ ตลอดทั้งตัว ถึงอย่างนั้น เสื้อผ้าของนางกลับสะอาดสะอ้าน ไม่ได้ให้ความรู้สึกของความสกปรกเลยแม้แต่น้อย
เด็กหญิงกระโดดโลดเต้น โบกไม้โบกมือไปทางเรือรบหลวง
ใบหน้าของเด็กหญิงคนนี้มีความคล้ายคลึงกับฮันปู้ฟู่อยู่หลายส่วน ผิวพรรณดำคล้ำ เรียกไม่ได้ว่าเป็นคนสวย แต่นางมีใบหน้าที่เวลาจ้องมองแล้วจะให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจชนิดหนึ่ง
“นั่นน้องสาวของฮันปู้ฟู่” หลิงฉืออธิบาย “ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เป็นมารดาของเขา”
ข้างเด็กหญิงยืนไว้ด้วยหญิงวัยกลางคนที่แต่งกายเสื้อผ้าซอมซ่อเช่นกัน นางมีผมสีเทา ร่างกายบอบบาง น้ำตาคลอเต็มสองเบ้า ดวงตาของนางจ้องมองไปที่เรือรบหลวงและจับจ้องเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบนายทหารด้วยความเป็นห่วงและเป็นกังวล
หลินเป่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขาก็สนิทสนมกับฮันปู้ฟู่พอสมควร แต่ยังไม่เคยเจอครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งเลย
และฮันปู้ฟู่ก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวของตนเอง
“เจ้าคงสงสัยว่าเพราะเหตุใดบิดาของฮันปู้ฟู่ไม่มาส่งบุตรชายออกเดินทางกระมัง?” หลิงฉือถามออกมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไปว่า “บิดาของเขาคงทำงานอยู่ในเมืองและนายจ้างไม่อนุญาตให้ลาหยุดใช่ไหมขอรับ?”
เด็กหนุ่มรู้เพียงแต่ว่าฐานะทางบ้านของฮันปู้ฟู่ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ และสมาชิกในครอบครัวทุกคนจำเป็นต้องหางานทำเพื่อนำเงินมาเลี้ยงชีพ
หลิงฉือตอบว่า “บิดาของเขาเสียชีวิตในสนามรบที่เขตชายแดนเหนือเมื่อ 10 ปีก่อน”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปทันที
คำพูดของหลิงฉือเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ช็อตไปทั่วร่างกายหลินเป่ยเฉิน มันทำให้เด็กหนุ่มยืนนิ่งและไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้อีก
จังหวะนั้น เสียงหวูดเรือก็ดังขึ้นพอดี
เรือรบหลวงมีสภาพเหมือนอสูรกายโลหะกำลังส่งเสียงคำรามดังสนั่น
หลิงฉือดีดเท้าลอยตัวขึ้นไปในอากาศ เวลาชั่วพริบตาเดียว นายทหารหนุ่มก็ทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือรบหลวงเคียงข้างฮันปู้ฟู่แล้ว
เขาไม่ได้หันกลับมามองหลินเป่ยเฉินอีกเลย
หลิงฉือเพรียงแต่ตบไหล่ฮันปู้ฟู่และบอกว่า “เขาไม่เหมือนเจ้า ให้เวลาเขาสักหน่อย”
ฮันปู้ฟู่ละสายตากลับมาจากท่าเรือและพยักหน้า
“เรือรบลำนี้จะใช้เวลาเดินทางในทะเล 15 วันกว่าจะไปถึงเมืองเหออู๋ และหลังจากนั้น เราก็ต้องใช้เวลาเดินเท้าอีก 10 วันกว่าจะถึงเขตชายแดนฝั่งเหนือ ในเวลา 15 วันที่อยู่กลางทะเล พวกเจ้าต้องขยันหมั่นเพียรฝึกวิทยายุทธ์อย่าได้ขาดแม้แต่วันเดียว สถานะของพวกเจ้าบัดนี้คือนายทหารแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ พวกเจ้าต้องทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง เข้าใจหรือไม่?”
เสียงพูดของหลิงฉือไม่ได้ดัง แต่มันกลับดังมากกว่าเสียงหวูดเรือและเสียงคลื่นทะเลในหูของนายทหารใหม่ทุกคน
“เข้าใจแล้วขอรับ”
บรรดานายทหารใหม่ส่งเสียงรับคำอย่างพร้อมเพียง
“นับจากวันนี้ไป พวกเจ้าคือนายทหารในกองร้อยที่ 37 ฮันปู้ฟู่จะเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้า คำสั่งของเขาคือคำสั่งของข้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลิงฉือพูดออกมาอีกครั้ง
ฮันปู้ฟู่ชะงักกึก
ยังไม่ทันไรเขาก็ได้ตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชากองร้อยแล้วหรือ?
ในกลุ่มนายทหารใหม่เหล่านี้ มีเด็กหนุ่มมากมายที่ฐานะทางบ้านสูงส่งกว่าเขา มีเด็กหนุ่มมากมายที่มีเกียรติประวัติมากกว่าเขา และมีเด็กหนุ่มมากมายที่ระดับพลังสูงล้ำมากกว่าเขา
แต่ทุกคนกลับหันมาจ้องมองที่ฮันปู้ฟู่และเปล่งเสียงรับคำด้วยความเต็มใจ
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ปู้นนน!
เสียงหวูดเรือดังยาวนานและเรือรบหลวงก็แล่นออกจากท่าเรือ
บรรดาญาติพี่น้องที่มาส่งบุตรหลานด้วยความห่วงใยยังคงรวมตัวกันอยู่ที่ท่าเรือ พวกเขาจ้องมองประกายระยิบระยับของเรือรบหลวงสะท้อนกับแสงแดดและผิวน้ำทะเล จนสุดท้าย เรือรบหลวงขนาดใหญ่โตมโหฬารลำนั้น ก็แล่นหายลับไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่!
เมื่อเรือรบหลวงหายไปจากสายตา หลินเป่ยเฉินถึงค่อยสลัดหลุดออกมาจากความเศร้าหมองได้สำเร็จ
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมตอนแรกฮันปู้ฟู่ถึงปฏิเสธไม่เข้าร่วมกองทัพ
แต่ภายหลังก็เปลี่ยนใจ สงสัยคงอยากทำภารกิจของบิดาให้สำเร็จลุล่วงกระมัง?
ดังนั้น ศิษย์พี่ฮันของเขาจึงเข้าร่วมกองทัพด้วยความภาคภูมิใจในที่สุด
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจยาวแรง หมุนตัวเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนและเด็กหญิงพร้อมกับพูดว่า “ท่านป้าขอรับ น้องสาวที่น่ารัก สวัสดีทุกท่าน ข้ามีนามว่าหลินเป่ยเฉิน เป็นเพื่อนร่วมสถาบันของศิษย์พี่ฮันปู้ฟู่”
หญิงวัยกลางคนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “คุณชายหลิน ท่าน… สวัสดีเจ้าค่ะ”
นางเป็นเพียงหญิงยากจนคนธรรมดาคนหนึ่งในเมืองหยุนเมิ่งเท่านั้น
เด็กหญิงดึงแขนเสื้อมารดาด้วยความกระวนกระวาย นางแอบจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่นานครึ่งค่อนวัน สุดท้ายดวงตาก็เป็นประกายสดใสและยิ้มแย้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “อ้า ข้ารู้จักท่าน ท่านเป็นผู้ชนะการแข่งขัน เป็นหัวหน้ากลุ่มของท่านพี่ ทุกคนบอกว่าท่านคือวีรบุรุษ”
หลินเป่ยเฉินหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“ข้าไม่ใช่วีรบุรุษอันใดหรอก” หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปขยี้หัวเด็กหญิงเล่น “พี่ชายของเจ้าต่างหากที่เป็นวีรบุรุษตัวจริง… น้องสาว ไม่ทราบว่าเจ้ามีชื่อว่าอะไร บัดนี้มีอายุกี่ขวบแล้ว?”
“ข้าน้อยมีนามว่าปู้ฮวย ฮันปู้ฮวยเจ้าค่ะ” หลังจากจดจำหลินเป่ยเฉินได้แล้ว เด็กหญิงก็ไม่ได้กลัวเขาอีกต่อไป และพูดต่อจากนั้นว่า “บัดนี้มีอายุได้ 10 ขวบแล้ว”
10 ขวบแล้วอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
หลิงฉือบอกว่าบิดาของฮันปู้ฟู่เสียชีวิตในสนามรบเมื่อ 10 ปีก่อน
นั่นหมายความว่าฮันปู้ฮวยยังเป็นแค่ทารกเท่านั้นตอนที่บิดาเสียชีวิต และนางก็คงไม่เคยเห็นหน้าบิดาตั้งแต่จำความได้เสียด้วยซ้ำ
ในช่วงนั้น ฮันปู้ฟู่มีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้นเอง
ปู้ฮวย ชื่อนี้มีความหมายว่าปราศจากความโศกเศร้า
นับเป็นชื่อที่ดียิ่ง แต่กลับเป็นชื่อที่เศร้าโศกยิ่ง
“ท่านป้าขอรับ ปู้ฮวยอายุ 10 ปีแล้ว ไม่ทราบว่าบัดนี้ร่ำเรียนอยู่ในสถาบันใดหรือ?” หลินเป่ยเฉินหันไปถามมารดาของฮันปู้ฟู่โดยไม่รู้ตัว
“ข้ายังไม่ได้เข้าเรียนเลยเจ้าค่ะ”
ฮันปู้ฮวยรีบตอบคำถาม แววตาปรากฏความเศร้าเสียใจเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ครอบครัวของข้ายากจน ไม่สามารถส่งข้าเข้าร่ำเรียนวิชากระบี่ได้ แต่บัดนี้ไม่เป็นไรแล้ว ท่านพี่ได้เงินรางวัลมาจากการแข่งขัน และเขาก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากกองทัพ ท่านพี่กับท่านแม่สัญญาว่าถึงเวลาที่จะส่งข้าเข้าเรียนแล้ว”
หลินเป่ยเฉินถามว่า “เจ้าสนใจจะมาเรียนในสถานศึกษากระบี่ที่สามไหมเล่า?”
ฮันปู้ฮวยพูดด้วยความตื่นเต้น “นั่นมันสถาบันของท่านพี่ไม่ใช่หรือ? ข้าอยากไป… แต่บ้านข้าไม่ได้อยู่แถวนั้น ถ้าข้าไปเราก็ต้องย้ายบ้าน และได้ยินมาว่าการจะเข้าศึกษาในสถานศึกษากระบี่ที่สามได้นั้น จำเป็นต้องมีคุณสมบัติสูงส่ง รากฐานพลังของข้าไม่แข็งแรง ซ้ำสติปัญญายังโง่เขลา ข้าเกรงว่า…”
สุดท้าย เด็กหญิงก็ไม่สามารถพูดออกมาได้จบประโยค
เพราะมันเป็นความเจ็บปวดที่มากเกินไป
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความเอ็นดู “ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เจ้าอยากมาเรียนในสถานศึกษากระบี่ที่สาม เดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะมีระดับพลังอ่อนแอหรือว่าสติปัญญาโง่เขลาสักแค่ไหน พี่ชายคนนี้จะคอยดูแลเจ้าเอง”
“จริงหรือเจ้าคะ?”
ฮันปู้ฮวยเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตาสว่างไสวด้วยความตื่นเต้น “ทำไมท่านถึงได้ทำดีกับข้าถึงเพียงนี้? ท่านเป็น… เพื่อนสนิทกับท่านพี่หรือเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“พี่ชายของเจ้าเป็นเพื่อนตายของข้า… เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”
เด็กหนุ่มพูดย้ำถ้อยคำนี้อยู่หลายครั้ง
ฮันปู้ฟู่เป็นเพื่อนของเขา
แต่เขาจะเป็นเพื่อนของฮันปู้ฟู่หรือไม่ หลินเป่ยเฉินก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“เราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร…”
เมื่อตั้งสติได้ มารดาของฮันปู้ฟู่ก็รีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องปั้นเรื่องโกหกออกมาว่า “ท่านป้าอย่าได้ปฏิเสธเลยขอรับ ก่อนที่พี่ฮันจะออกเดินทาง เขาได้กำชับกับข้าให้คอยดูแลท่านแม่และน้องสาวของเขาให้ดี จากนี้ไป ไม่ว่าพวกท่านต้องการสิ่งใดในเมืองหยุนเมิ่ง ให้มาหาข้าได้โดยไม่ต้องเกรงใจ อย่าลืมนะขอรับว่าพี่ฮันกับข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว โปรดคิดว่าข้าเป็นลูกชายของท่านอีกคนหนึ่งก็แล้วกัน”
“ยังมีข้าด้วยอีกคนเจ้าค่ะ ข้าก็เป็นเพื่อนสนิทของศิษย์พี่ฮันเช่นกัน…”
ไป๋ชินหยุนกระโดดเข้ามาพูดเสียงใส
มี่หรู่หยานกับเยว่หงเซียงหัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน
มารดาของฮันปู้ฟู่ดูประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบว่าบุตรชายของตนเองมีเพื่อนอยู่มากมาย นางรู้สึกสุขปนเศร้า ได้แต่ยิ้มอย่างฝืดฝืนและขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ดวงตะวันยามเย็นกำลังจะจมตัวหายลงไปในท้องทะเล
ผู้คนจำนวนหลายพันยืนมองเรือรบหลวงหายลับไปจากสายตาอยู่ที่ท่าเรือ เกิดเป็นความเงียบงันที่แปลกประหลาดทอดยาวอยู่เนิ่นนาน
ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อเรือรบหลวงลำนี้เดินทางกลับมาที่ท่าเรือเมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง จะมีนายทหารหนุ่มหน้าใหม่รอดชีวิตกลับมาได้สักกี่คน?
แสงตะวันยามเย็นแดงเข้มเป็นสีเลือด
เงาของผู้คนทอดยาวไกลบนพื้นดินของท่าเรือ
ผู้คนยังคงยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นรูปปั้นที่พร้อมทนแดดทนฝนและพายุรุนแรง เพื่อรอคอยการกลับมาของบุตรหลานผู้เป็นที่รักอีกครั้ง