เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 365 ความเปลี่ยนแปลงในเมืองหยุนเมิ่ง
ตอนที่ 365 ความเปลี่ยนแปลงในเมืองหยุนเมิ่ง
หลินเป่ยเฉินวุ่นวายตลอดระยะเวลาหลายวันหลังจากนั้น
เขาเดินทางไปส่งเยว่เว่ยหยาง มี่หรู่หยาน คังซานเสว่ และหวังซินอวี่รวมถึงคนอื่นๆ ออกเดินทางไกลเพื่อไปศึกษายังสถาบันใหม่
หลังจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักไม้ไผ่ในวันนั้น มิตรภาพระหว่างพวกเขาก็เพิ่มความอบอุ่นมากขึ้น เด็กหนุ่มผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่หล่อที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองคนล่าสุด ได้ส่งของขวัญไปให้ทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ครบถ้วนไม่มีตกหล่น
ในเวลาเดียวกันนี้ เหลียวหวังซูและพรรคพวกก็แวะเวียนมาหาเด็กหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง
หลินเป่ยเฉินพยายามอดทนอดกลั้น แต่สุดท้ายก็ต้องฉีกหน้าชายชราในที่สุด และทำให้เจ้าหน้าที่มือปราบหลายนายฉุนขาด ระเบิดโทสะก่อนเดินออกไปจากตำหนักไม้ไผ่ด้วยความเดือดดาลว่า “เจ้ามันเป็นเด็กเมื่อวานซืน บิดามารดาไม่สั่งสอน”
เดือดร้อนเหลียวหวังซูต้องเข้ามาพูดคุยกับเด็กหนุ่มเป็นการส่วนตัว
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หลินเป่ยเฉินก็คงไม่มีทางยอมลงนามในจดหมายยื่นคำร้องตามหาตัวบิดาของเขาแน่นอน เหลียวหวังซูก็เดินทางกลับไปด้วยความผิดหวังและไม่เคยมาปรากฏตัวที่ตำหนักไม้ไผ่อีกเลย
หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเป็นปกติ
จวนสกุลหลินที่ควรจะตกเป็นของหลินเป่ยเฉินถูกสั่งปิดตายอีกครั้งเป็นรอบที่สอง
ห้องบูชาปีศาจใต้ดินที่อยู่ในอาณาเขตจวนสกุลหลินกลายเป็นสิ่งต้องห้ามไม่ให้ผู้ใดพูดถึงเด็ดขาด
เหลียวหวังซูเดินทางออกจากเมืองหยุนเมิ่งไปพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนมาก
หยิงอู๋จียังคงอยู่ต่อไปเพื่อสืบสวนคดีฆาตกรรมฟางเจิ้นหรู่
นี่คือคดีที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
แต่สิ่งที่เป็นเรื่องตลกร้ายก็คือเมื่อเรื่องราวทุกอย่างจบลงแล้ว ก็ยังคงตามหาตัวฆาตกรผู้สังหารฟางเจิ้นหรู่ไม่ได้อยู่ดี
ทว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไปแล้ว
เด็กหนุ่มยังคงหลับใหลในห้องเรียนของสถานศึกษากระบี่ที่สามอยู่ทุกเช้า เขารู้สึกเหมือนกับว่าเวลาในแต่ละชั่วยามช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เมื่อถึงเวลายามบ่าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องเดินทางไปที่วิหารเทพกระบี่และศึกษาวิชาเกี่ยวกับเทพเจ้าจากนักพรตหญิงชิน เขาและนางจะฝึกวิชาหลายแขนงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ การโคจรพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงการศึกษาคัมภีร์โบราณชนิดต่างๆ และตลอดเวลาที่ได้อยู่กับนักพรตหญิงชิน เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
ในเวลาเดียวกันนี้ ฮันปู้ฮวยก็ยื่นเรื่องเข้าเรียนในสถานศึกษากระบี่ที่สามเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบัน หลินเป่ยเฉินมีอำนาจในสถาบันมากกว่าคณะอาจารย์หัวหน้าชั้นปีเสียอีก
ตัวอย่างเช่น นอกจากจะทำเรื่องให้ฮันปู้ฮวยสามารถเข้าเรียนที่นี่ได้แล้ว แม้แต่เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็สามารถเข้าศึกษาเป็นลูกศิษย์ชั้นปีที่ 1 ได้เช่นกัน ยามที่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสได้รับการศึกษา สาวรับใช้ทั้งสองนางดีใจสุดขีด ถึงกับกระโดดเข้ามาหอมแก้มซ้ายขวาของหลินเป่ยเฉินจนกระทั่งใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยรอยปากสีแดงสด
ส่วนค่าเล่าเรียนของทุกคนน่ะหรือ?
แน่นอนว่าไป๋ชินหยุนเป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด
…
วันนี้หลินเป่ยเฉินสะดุ้งตื่นขึ้นมาพอดีเมื่อคาบเรียนสุดท้ายในตอนเช้าจบลง เขายกมือปาดน้ำลาย รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างประหลาด เมื่อลองตรวจสอบพลังลมปราณของตนเองดู ก็พบว่าบัดนี้เขามีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 3 แล้ว!
นับเป็นการเลื่อนระดับที่ก้าวกระโดดทีเดียว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงข้อความเตือนดังขึ้นในโทรศัพท์มือถือ หลินเป่ยเฉินหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นข้อความเตือนจากแอปจิงตง มอลล์ บอกว่าพัสดุจากร้านค้าของเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้เดินทางมาถึงแล้ว ให้เขาลงนามรับของ
หลินเป่ยเฉินรีบตั้งสติโดยทันที
เด็กหนุ่มรีบใช้วิชาตัวเบาออกจากห้องเรียน มุ่งหน้าตรงกลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่
เมื่อกลับไปถึงเตียงนอน หลินเป่ยเฉินก็ชั่งใจอยู่นาน สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าหาญกดปุ่ม ‘รับของ’ บนหน้าจอโทรศัพท์
มวลอากาศเบื้องหน้าเขาแหวกออกเป็นรูโบ๋เล็กน้อย
ตุบ!
ใจกลางรูโบ๋ที่เป็นเหมือนหลุมดำนั้นมีกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งร่วงหล่นลงมา
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปรับเอาไว้โดยสัญชาตญาณ
หลังจากนั้น มวลอากาศที่ปั่นป่วนและรูโบ๋เบื้องหน้าก็หายวับไปในพริบตา
เอ๋?
ครั้งนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าส่งของจริงๆ เหรอเนี่ย?
ในที่สุด เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ไม่โกหกเขาแล้ว
หลินเป่ยเฉินรอคอยอยู่อีกครึ่งค่อนวัน เมื่อเห็นว่าภายในแอปจิงตง มอลล์ขึ้นสถานะส่งพัสดุเรียบร้อย เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะมั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ต้องเสียเงินค่าส่งของแน่นอน
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองกล่องเล็กๆ ที่ถืออยู่ในมือ
มันเป็นเพียงกล่องไม้สีดำหน้าตาธรรมดา ไม่มีลวดลายแกะสลัก ไม่มีสีสันโดดเด่น ไม่มีตัวอักษรใดๆ เขียนเอาไว้ และดูเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีค่าเลยแม้แต่น้อย
แต่นี่เป็นถึงกล่องที่ส่งมาจากดินแดนทวยเทพเชียวนะ มันจะไม่มีค่าได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าของหน้าตาธรรมดาๆ อาจจะมีความพิเศษซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้
แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเปิดกล่องออกดูของที่อยู่ข้างในนั้นเอง
ก๊อกก๊อกก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
อากวงเปิดประตูเดินเข้ามา
เจ้าหนูถือกระดานชนวนอยู่แนบอก บนนั้นเขียนข้อความว่า
“มีสตรีหน้าอกใหญ่ผู้หนึ่งมาหานายท่านขอรับ บัดนี้กำลังยืนรออยู่ด้านนอก”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินยังไม่เลิกเรียน หวังจงก็เข้าเมืองไปรับข้อมูลข่าวสารกับพวกกงกง ก่อนจะแวะซื้อสิ่งของเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูกของหมาป่าน้ำแข็ง ทำให้ในตำหนักไม้ไผ่ขณะนี้เหลืออากวงนั่งทำการบ้านอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ อดีตราชันย์หนูอสูรจึงรับหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับไปโดยปริยาย
สตรีหน้าอกโหญ่อย่างนั้นหรือ?
ในหัวของหลินเป่ยเฉินนึกภาพนักพรตหญิงชินขึ้นมาทันใด
นางจะมาหาเขาถึงที่พักเชียวหรือ?
เลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน หลินเป่ยเฉินอัปโหลดกล่องสีดำใบนั้นเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์และเดินออกไปรับแขกที่สนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่อย่างมีความสุข
“ทำไมถึงเป็นเจ้าได้เนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
เพราะคนที่รอคอยเขาอยู่ด้านนอกกลับกลายเป็นมู่ซินเยว่ไปเสียได้
หลังจากไม่ได้พบหน้ากันนาน คิดไม่ถึงเลยว่านางยังมีหน้ากลับมาพบเขาอีก
“เจ้าคงคิดไม่ถึงเลยสินะ?”
มู่ซินเยว่ยิ้มแย้มอ่อนหวาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความสวยงามแสนสดใส
แต่กลับไม่สามารถละลายใจหลินเป่ยเฉินได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความเกียจคร้าน
มู่ซินเยว่กัดริมฝีปากและหัวเราะในลำคอ “ข้ายังไม่มีโอกาสได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย เจ้าเป็นผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้ และกลายเป็นวีรบุรุษของชาวเมืองหยุนเมิ่งโดยสมบูรณ์”
“แล้วมันเกี่ยวกับเจ้าตรงไหนไม่ทราบ?”
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนโหมดกลับมาเป็นคุณชายเย็นชาในนิยายรักเพ้อฝันอีกครั้ง
ดวงตาของมู่ซินเยว่เป็นประกายวูบวาบด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า คงโกรธแค้นข้าอยู่สินะ หุหุ เพราะเจ้ารักมาก เจ้าก็เลยแค้นมาก นี่หมายความว่าในหัวใจของเจ้า ก็คงมีข้าอยู่บ้างไม่มากก็น้อยกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินหมดคำที่จะพูดโต้ตอบ
เขาเหนื่อยเกินไปกับเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้ จึงหมุนตัวเตรียมเดินกลับเข้าบ้านพัก
“ช้าก่อน”
มู่ซินเยว่รีบพูดออกมา “ถึงอย่างไรเจ้าก็คงไม่เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อข้าใช่ไหม? เจ้านี่มันช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ก็เพื่อมาขอโทษต่างหาก”
มาขอโทษอย่างนั้นหรือ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าเด็กสาวด้วยแววตาเย็นชา “ไม่จำเป็น”
มู่ซินเยว่ยิ้มแย้มอ่อนหวานและพูดด้วยความจริงใจว่า “สำหรับทุกอย่างที่ข้าเคยทำกับเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าขอโทษจริงๆ ข้าไม่เคยรักเจ้าเลย แต่กลับฉกฉวยผลประโยชน์จากความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้าเป็นเวลาหลายปี ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นเพียงบุรุษคนเดียวที่มีความจริงใจต่อข้า…”
พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ชักสีหน้ารำคาญใจอีกครั้ง ทำให้เด็กสาวต้องรีบกล่าวอย่างรวบรัดว่า “…ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เพื่อมาขอโทษ แล้วก็จะมาบอกลาเจ้าด้วย ข้าจะไปเรียนต่อที่สำนักกระบี่หลวงระดับสามัญ อีกไม่นานก็ต้องออกเดินทางแล้ว นี่หมายความว่าข้ากับเจ้าคงไม่ได้เจอกันอีก เส้นทางของพวกเราต่างคนต่างอยู่ ทางใครทางมัน ไม่มีใครติดค้างใครอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดบอกว่าไม่เป็นไร
มู่ซินเยว่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และเขาเองก็ไม่ใช่หลินเป่ยเฉินคนเดิมเช่นกัน
หลังจากพูดจบแล้ว มู่ซินเยว่ก็ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยความเรียบง่ายและมุ่งมั่น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นในหัวใจของหลินเป่ยเฉินสักนิด
นอกจากความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นหน้ามู่ซินเยว่โดยไม่คาดฝัน หลินเป่ยเฉินก็ไม่เกิดความรู้สึกใดๆ เลยในหัวใจ เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในหลายเดือนที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินพบว่าความรู้สึกเฉยชาเหล่านี้มีมาตั้งแต่แรกแล้ว
สุดท้ายเขาและนางก็ต้องจากกัน
หลินเป่ยเฉินไม่รับคำขอโทษ หลินเป่ยเฉินไม่โบกมืออำลา หลินเป่ยเฉินไม่เดินออกไปส่ง…
เพราะมู่ซินเยว่ไม่มีความหมายสำหรับเขาแม้แต่น้อย
พลัน หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่น้อยที่เด็กสาวฝีมือธรรมดาอย่างมู่ซินเยว่ สามารถเข้าเรียนต่อที่สำนักกระบี่หลวงระดับสามัญได้สำเร็จ ยิ่งคิดเด็กหนุ่มก็ยิ่งมั่นใจว่ามู่ซินเยว่ต้องมีผู้สนับสนุนตำแหน่งสูงส่งอยู่เบื้องหลังแน่นอน
เด็กหนุ่มถอนหายใจ หมุนตัวกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้านพักอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง…
“ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้ถูกเวลาพอดีเลยสินะ”
เสียงสดใสอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
นี่เป็นเสียงที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ยินมานานมาก
หลินเป่ยเฉินหยุดเท้าและหันกลับมามอง
แน่นอนว่าเด็กสาวชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลิงเฉิน นางเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านแผ่วเบา เส้นผมของนางปลิวไสว ชายเสื้อคลุมโบกสะบัด ยิ่งดูยิ่งสวยงามตระการตา เพียงห่างกันไม่นาน หลินเป่ยเฉินถึงกลับรู้สึกว่าหลิงเฉินมีความงดงามมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
คำถามนั้นหลุดออกไปจากปากโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกว่าประโยคคำถามนี้มันคุ้นปากชอบกล เพราะว่าเขาเพิ่งถามออกไปกับมู่ซินเยว่นั่นเอง
“เพราะคิดถึงจึงมาหา”
หลิงเฉินยิงฟันยิ้มแฉ่ง
นี่ไม่ใช่ตัวตนเจ้าหญิงน้ำแข็งอย่างที่นางเคยเป็นตลอดมา
“นี่พวกเจ้าสองคนนัดกันมาก่อนหรือยังไง คนหนึ่งเพิ่งออกไป อีกคนก็เข้ามาทันที คราวที่แล้วพวกเจ้าก็มารบกวนข้ากลางดึก…”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาได้ถึงตรงนี้
พลัน เขาก็พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป ด้วยรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเป็นบุรุษที่หลายใจเหลือเกิน
หลิงเฉินยิ้มแย้มอย่างนึกสนุก “ถ้าข้ามาช้ากว่านี้ ก็คงจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ว่าท่านนัดกับหญิงอื่นเอาไว้ล่วงหน้า”
“ข้าเปล่านะ… แต่เอ๊ะ แล้วนี่ข้าจะมาอธิบายกับเจ้าทำไม” หลินเป่ยเฉินสะบัดหน้าไล่ความสับสนในหัวของตนเอง “ถ้าเดาไม่ผิด เจ้าคงมาบอกลาเหมือนกันใช่ไหม”
“ถูกต้องนะเจ้าคะ” หลิงเฉินยกมือชูนิ้วโป้งให้เขาด้วยความชื่นชม
แล้วนางก็พูดต่อ “ข้ามาที่นี่มีเจตนาดี ท่านเดาได้ถูกต้องแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะต้องออกเดินทางไปที่นครเจาฮุย แล้วก่อนเดินทางไกลจะไม่ให้มาร่ำลาคนรักได้อย่างไรเจ้าคะ ไม่มีเวลาไหนจะเหมาะสมกับการลงนามในสัญญารักมากไปกว่านี้อีกแล้ว ในอนาคตข้างหน้า เราจะทิ้งตำนานแห่งความรักให้โด่งดังไปทั่วมณฑลเลยเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจสิ่งที่เด็กสาวพูดสักเท่าไหร่ “ตกลงว่าเจ้าจะไปเรียนต่อที่นั่นอย่างนั้นหรือ?”
หลิงเฉินเกี่ยวปอยผมไปทัดไว้หลังใบหู ยิ้มแย้มโปรยเสน่ห์ “จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่เจ้าค่ะ นอกจากไปเรียนต่อที่นั่นแล้ว บิดาของข้ายังต้องไปทำงานในสำนักงานผู้ว่าการมณฑลอีกด้วย ครอบครัวของเราจึงต้องย้ายไปทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น “ท่านเจ้าเมืองหลิงถูกสั่งย้ายออกจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างนั้นหรือ?”
นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
หลิงจุนเซวียนดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหยุนเมิ่งมานานกว่า 20 ปี ทำให้ตระกูลหลิงเปรียบเสมือนเป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งไปโดยปริยาย ว่าด้วยระบบตำแหน่งทางการเมืองของจักรวรรดิเป่ยไห่ ตำแหน่งผู้ว่าการเมืองหรือท่านเจ้าเมืองนั้นจะแตกต่างจากขุนนางทั่วไป ปกติแล้วเมื่อเป็นเจ้าเมืองไหนก็จะต้องเป็นไปตลอดชีวิต การสั่งย้ายแบบนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
แต่ถ้าท่านเจ้าเมืองหลิงถูกสั่งย้าย
แล้วเจ้าเมืองคนใหม่ที่จะมารับตำแหน่งต่อจากนี้ล่ะ?
จะเป็นคนดีมีศีลธรรมเหมือนกันหรือไม่?
แล้วในเมืองหยุนเมิ่งจะเกิดความเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน?
“ทำไมท่านดูเสียใจที่พ่อข้าถูกสั่งย้าย มากกว่าเรื่องที่ข้าจะต้องไปเรียนต่ออีกเล่า?”
หลิงเฉินขยี้เท้าด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ในเมื่อการจากลาครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าจะต้องจากลากันตลอดไป เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินก็มีเรื่องที่จะต้องพูดให้ชัดเจนกับหลิงเฉินเสียตั้งแต่ตอนนี้
จะปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อข้าเรียนจบจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม ข้าก็จะไม่ออกจากเมืองหยุนเมิ่งไปไหนทั้งนั้น และพวกเราก็คงไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มมองหน้าหลิงเฉินและกล่าวต่อ “ข้าลองสอบถามผู้คนมาแล้วมากมาย แต่ก็ได้รับทราบคำตอบตรงกันว่า เจ้ากับข้าไม่เคยพบกันมาก่อน ดังนั้น ข้าจึงไม่ทราบเลยว่าความรักที่เจ้ามีให้ข้านั้น เจ้าไปเอามาจากไหน แต่ความรู้สึกในใจของข้านั้นบอกอย่างชัดเจนว่า ข้าไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อเจ้าเลย แล้วเหตุไฉนเจ้าถึงรักข้ามากมายขนาดนี้?”
นี่คือคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจเด็กหนุ่มตลอดมา
เมื่อได้ยินคำถามของเขา ใบหน้าที่แสนสดใสของหลิงเฉินก็ปรากฏความเศร้าหมองอย่างชัดเจน