เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 376 ข้าไม่มีเวลา ต้องรีบกลับไปตรวจการบ้านอากวง
ตอนที่ 376 ข้าไม่มีเวลา ต้องรีบกลับไปตรวจการบ้านอากวง
กลุ่มผู้คนที่มุงดูอยู่รอบบริเวณรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เพราะว่า…
หลินเป่ยเฉินลงมือฆ่าคนอีกแล้วหรือ?
เด็กหนุ่มสามารถทำได้อย่างไรกัน?
เพราะในสายตาของชาวเมือง หลินเป่ยเฉินเป็นร่างทรงเทพเจ้าผู้บริสุทธิ์ของวิหารเทพกระบี่ การตัดศีรษะคว้านหัวใจมนุษย์คือสิ่งที่ผิดกับภาพลักษณ์ของเขาในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง…
แล้วเหตุการณ์ในวันนั้น ตกลงพวกของถังกู่จินตายภายใต้น้ำมือของเทพีกระบี่ หรือว่าเป็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินกันแน่?
นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในจิตใจของทุกคน
“ท่าน…”
ฉุยหมิงโหลวมองศพคนตายทั้งสองศพบนพื้นถนนด้วยแววตาโกรธแค้นระคนตื่นตระหนก แต่ในที่สุด เขาก็สงบสติอารมณ์และพูดออกมาว่า “คุณชายหลิน ท่านวู่วามเกินไปแล้ว ไท้เสว่เหมยไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่นางเป็นถึงบุตรสาวสุดที่รักของรองหัวหน้าสำนักลำดับที่สิบของสำนักปรภพมืด ซึ่งเป็นสำนักยุทธ์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่สามของมณฑลเรา ส่วนหานเฉิงก็มีสถานะเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุน และเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ติดตามส่วนตัวของเว่ยหมิงเฉิน ท่าน…ข้าเตือนท่านแล้ว นับว่าบัดนี้ท่านแส่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองจริงๆ”
ว่าไงนะ?
หญิงสาวหน้าตาดุร้ายคนนั้น เป็นลูกสาวรองหัวหน้าสำนักลำดับที่สิบอย่างนั้นหรือ?
ตกลงว่าสำนักปรภพมืดอะไรนั่น มีรองเจ้าสำนักเป็นสิบคนเลยหรือไง?
แล้วหานเฉิงก็ดันเป็นผู้ติดตามของเว่ยหมิงเฉินอีก?
พลัน หลินเป่ยเฉินหันไปมองเจาอู๋หยางที่มีเลือดไหลเต็มใบหน้า
ถ้าเขาจำไม่ผิด เจาอู๋หยางก็มีสถานะเป็นลูกศิษย์สำนักปรภพมืดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เจาอู๋หยางจ้องตอบกลับมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
เขาเป็นเพียงลูกศิษย์ตัวเล็กตัวน้อย ยังไม่ผ่านการสอบเข้าสำนักอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่บิดาจ่ายเงินก้อนโตให้คนในสำนัก เจาอู๋หยางจึงได้รับการประทับตราให้เป็นคนของสำนักปรภพมืดโดยไม่มีปัญหา แต่เขาจะเคยเอาโอกาสที่ไหนไปพบหน้าคนใหญ่คนโตในสำนักกันเล่า?
เจาอู๋หยางเคยได้ยินชื่อเสียงของรองหัวหน้าสำนักลำดับที่สิบมานานแล้ว เช่นเดียวกับบุตรสาวของเขา ที่ขึ้นชื่อว่าถูกตามใจจนเสียนิสัย ชอบกระทำเรื่องราวต่างๆ โดยไม่มีเหตุผล และเมื่อมีบิดาคอยให้ท้ายส่งเสริม สุดท้ายหญิงสาวก็กลายเป็นนางมารร้ายของคนในสำนัก…
เจาอู๋หยางจึงคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้มาพบกับไท้เสว่เหมยเข้าที่นี่
นอกจากได้พบแล้ว เจาอู๋หยางยังเป็นพยานรู้เห็นการเสียชีวิตของนางอีกด้วย
เรื่องนี้มัน…
หากสำนักปรภพมืดส่งคนมาสืบสวน เกรงว่าเขาคงไม่อาจหาข้ออ้างเอาตัวรอดได้เลย
หลินเป่ยเฉินเมื่อเห็นสีหน้าของเจาอู๋หยาง ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
เขาเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
แต่จะโทษว่าเป็นความผิดใครดีล่ะ?
เขาอุตส่าห์อยู่ของเขาดีๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวเที่ยวตอแยหาเรื่องผู้ใด ที่เดินทางเข้าเมืองมาวันนี้ ก็เพื่อเจตนาหาเงินเท่านั้น แต่หานเฉิงกับไท้เสว่เหมยเจตนาเข้ามาก่อกวนเขาก่อน… แล้วจะให้หลินเป่ยเฉินคนนี้ทำอย่างไรได้อีก?
แต่หลังจากนี้จะเอายังไงดี?
สงสัยต้องเตรียมรับมือพายุใหญ่อีกแล้วสิ
ถ้าสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นวิกฤตอีกครั้ง คงต้องรวบรวมเงินทองและติดต่อให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามช่วยรบกวนเทพีกระบี่ไปกวาดล้างสำนักปรภพมืดเสียแล้วกระมัง?
แต่เด็กหนุ่มมั่นใจว่าสถานการณ์คงไม่บานปลายไปถึงขั้นนั้น
บัดนี้เขาเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว
ไท้เสว่เหมยกับหานเฉิงคงจะต้องเป็นลูกน้องของเว่ยหมิงเฉินแน่นอน และที่มาหาเรื่องเขาในวันนี้ ก็เพื่ออยากจะประจบเอาใจเว่ยหมิงเฉินนั่นเอง
แต่คิดจะมาตอแยหลินเป่ยเฉิน เกรงว่าคงเร็วไปหลายร้อยปี
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้สมควรตายแล้ว
ฉุยหมิงโหลวถอนหายใจก่อนจะเดินไปสำรวจดูซากศพของหานเฉิงกับไท้เสว่เหมย “คุณชายหลิน ท่านฆ่าผู้คนกลางวันแสกๆ ข้าเองก็ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้แก่ท่าน แต่คงต้องรบกวนท่านติดตามพวกเราไปที่สำนักมือปราบประจำเมืองสักหน่อยแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “ข้าไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น”
ฉุยหมิงโหลวถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คุณชายหลินอย่ามองข้าในแง่ร้ายได้ไหมขอรับ เหตุผลที่ข้าไม่เสนอหน้าออกมาช่วยเหลือคุณชายก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้ารู้ดีว่ามีผู้อื่นคอยคุ้มกันท่านอยู่แล้ว…”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า “ข้าน้อยเพียงอยากเชิญคุณชายไปให้ปากคำเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง ที่ทำไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลดีต่อตัวท่านเอง เหล่าพ่อค้าและชาวเมืองทุกคนล้วนเป็นพยานให้ท่านได้ว่า ไท้เสว่เหมยกับหานเฉิงเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องท่านก่อน เรื่องนี้ต่อให้สำนักปรภพมืดมาสืบสวน พวกเขาก็เอาผิดท่านไม่ได้ คุณชายหลินได้โปรดวางใจ…”
มีคนคอยคุ้มกันเขาอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ
ใครเชื่อก็คงโง่เต็มที
เด็กหนุ่มบอกปัดออกไปอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้าไม่มีเวลาจริงๆ เดี๋ยวต้องรีบกลับไปตรวจการบ้านอากวงแล้วเนี่ย”
“แต่ว่า…”
ฉุยหมิงโหลวพยายามหาทางโน้มน้าว
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดใจ “อย่าบังคับกันจะได้ไหม คนบอกว่าไม่มีเวลาก็คือไม่มีเวลา อยากจะเรียกตัวข้าไปสอบปากคำ ก็ไปขออนุญาตจากนักพรตหญิงชินก่อน หรือจะไปขออนุญาตจากท่านนักพรตใหญ่ในมหาวิหารหลวงโดยตรงเลยก็ได้”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันไปมองหน้าเจาโจวหยานและเจาอู๋หยางสองพ่อลูก ขยิบตาเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ยังไม่รีบพาคนเจ็บไปรักษาตัวที่วิหารอีก พวกท่านนี่มันเชื่องช้าจริงๆ”
ได้ยินดังนั้น สองพ่อลูกตระกูลเจาก็นำพาคนเจ็บเดินทางตรงไปที่วิหารเทพกระบี่ด้วยความตื่นกลัวลนลาน…
หลินเป่ยเฉินฉุดแขนเซียวปิงให้ลุกขึ้นยืน หมุนตัวและเดินออกมา
ฉุยหมิงโหลวกำลังจะกวักมือเรียก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ เขาทำได้เพียงยิ้มฝืดฝืนและส่ายศีรษะยืนส่งหลินเป่ยเฉินด้วยสายตา
ให้มันได้แบบนี้สิ
ยังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเสียแล้ว
บิดาของเขาเชิญแขกคนสำคัญมามากมายเพื่อร่วมรับชมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเดินทางมาถึงเมืองหยุนเมิ่ง แขกสำคัญสองคนก็ต้องกลายเป็นซากศพไปแล้ว
ชายหนุ่มสามารถจินตนาการได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อบิดารับทราบข่าวนี้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีก็จะต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดตลอดวันแน่ๆ
“พ่อค้าทุกท่าน ข้าพเจ้ามีนามว่าฉุยหมิงโหลว ไม่ทราบว่าพ่อค้าท่านไหนพอจะมีเวลาไปให้ปากคำที่สำนักมือปราบได้บ้างหรือไม่? หากพวกท่านยอมให้ความร่วมมือ ทางสำนักมือปราบจะรักษาอาการบาดเจ็บ และเลี้ยงอาหารพวกท่านเป็นอย่างดี…”
ฉุยหมิงโหลวหันกลับมาประสานมือคำนับกลุ่มพ่อค้าที่ยืนอยู่รอบกาย
ชายหนุ่มแสดงออกด้วยความสุภาพ
ทำเอาหลายคนรู้สึกพึงพอใจ
ลูกชายของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ ดูท่าจะเป็นคนดีใช้ได้
แต่ไม่รู้เลยว่าใครกันเป็นคนที่ส่งเสียงตะโกนขึ้น “โกหก ใครยอมไปให้ปากคำก็คงโง่เต็มทน ผู้อื่นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านไม่มีเจตนายัดข้อหาป้ายความผิดให้แก่พวกเรา…”
“ถูกต้อง ใครเชื่อคำพูดผายลมนี้ ก็คงกลายเป็นผีไปแล้ว”
อีกหลายเสียงร่ำร้องสนับสนุน