เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 40 รางวัล
บทที่ 40 รางวัล
ลูกศิษย์มากมายหลายพันคนนั้นยังจำได้ถึงวันทดสอบค่าพลังลมปราณ ที่หลินเป่ยเฉินได้ทำให้แท่งหินพังจนผลการทดสอบของเด็กหนุ่มนั้นเป็นโมฆะ ผู้คุมสอบกล่าวว่าการทดสอบนี้จะมีขึ้นอีกเมื่อการประลองจบลง และในตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว
สรุปว่า หลินเป่ยเฉินมีค่าพลังลมปราณอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่
บรรดาศิษย์ร่วมสถาบันต่างก็สงสัย
“เอาเลย ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าค่าพลังเขาสูงแค่ไหน” อาจารย์ฉู่กล่าว
หลินเป่ยเฉินเดินตรงไปยังแท่งหินวัดค่าพลัง
เขาวางฝ่ามือลงบนแท่งหิน
ลำแสงสีแดงก็ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังลำแสงสีแดงบนแท่งหินและลุ้นระทึกไปกับผลการตรวจวัด
แต่ทว่าไม่มีใครเลยที่คาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งต่อไปนี้
เพราะเมื่อลำแสงพุ่งขึ้น ควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมาจากแท่งหินอีกครั้ง
รอยแตกปรากฏขึ้นบนแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6
การระเบิดของพลังลมปราณ
มันระเบิดอีกแล้วงั้นหรือ
หลินเป่ยเฉินมองไปยังฝ่ามือของตัวเองด้วยความงุนงง
อะไรกันเนี่ย
เกิดอะไรขึ้นกับมือของเขา
แม้แต่แท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 ก็ยังระเบิด
สงสัยเจ้าโทรศัพท์นั่นคงฝึกพลังให้เยอะไปหน่อย
ดูเหมือนว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ค่าพลังที่อยู่ในตัวหลินเป่ยเฉินค่อย ๆ พัฒนาขึ้นอย่างเงียบ ๆ
ตกลงว่าตอนนี้ เขามีค่าพลังอยู่ที่เท่าไหร่กันนะ
หลินเป่ยเฉินเริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนนี้ เขาทำแท่งหินพังไปถึงสามอันแล้ว และแน่นอนว่าคงจะต้องเป็นเงินจำนวนมากที่สูญเสียไป แล้วนี่ทางสถานศึกษาต้องจ่ายเงินพวกนี้หรือเปล่าเนี่ย
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ขยี้ตาอีกครั้ง
เขามองไปยังแท่งหินสลับกับมองมายังหลินเป่ยเฉิน และกลับไปมองที่แท่งหินอีกครั้ง
ก่อนที่ในท้ายสุด เขาจะหันไปหาหลี่ชิงสวนบนแท่นสังเกตการณ์ราวกับเด็กน้อยที่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทางด้านผู้สังเกตการณ์หลี่ที่ปกติจะมีสีหน้าเรียบเฉย ในตอนนี้ เขานั้นดูสับสนยิ่งกว่าอาจารย์ฉู่เสียอีก
การระเบิดของพลังลมปราณงั้นหรือ
ถ้าแท่งหินระดับ 6 ถึงกับระเบิด แบบนั้นก็แสดงว่าค่าพลังในตัวหลินเป่ยเฉินต้องมากกว่าระดับ 7 แน่นอน
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
หรือแท่งหินนั่นมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
ผู้สังเกตการณ์หลี่แทบจะขยับตัวไม่ได้ด้วยความงงงวย
“เจ้าใช้วิชาอะไรกัน”
เขามองไปยังหลินเป่ยเฉินและกล่าวถาม
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าใช้เพียงการโคจรพลังลมปราณระดับเริ่มต้นเท่านั้นเองขอรับ”
หลี่ชิงสวนและท่านคณบดีฉู่ต่างมองหน้ากัน
การโคจรพลังลมปราณระดับเริ่มต้น เป็นเพียงบทเรียนของสถานศึกษากระบี่รุ่นเยาวชนเท่านั้น
และในทางทฤษฎีแล้ว พลังขั้นสูงสุดของมันก็คือระดับ 7
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แสดงว่าพลังลมปราณของหลินเป่ยเฉิน ได้อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเยาวชนแล้ว
ถ้าในทางทฤษฎี มันก็เป็นไปได้
แต่ในทางปฏิบัติแล้วนั้น…
แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าใครคือคนสุดท้ายที่เคยทำเช่นนั้นได้มาก่อน
คงจะเป็นใครสักคนในสถานศึกษาหลวง
แต่คงไม่ใช่ในสถานศึกษากระบี่ที่ 3 แห่งนี้แน่นอน
ในตอนนี้ แม้แต่ลูกศิษย์ในสถานศึกษาหลวง ก็ไม่มีใครทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว
เพราะนั่นเป็นเพียงแค่ทางทฤษฎีเท่านั้น มันเป็นไปได้ยากมากที่จะเกิดขึ้นจริง
ในจักรวรรดิเป่ยไห่ คนที่เคยทำเช่นนั้นได้ ถ้าไม่นับรวมผู้ที่ตายไปแล้ว คนที่ยังอยู่ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังและความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์เท่านั้น
ความเป็นไปได้นั้นต่ำเตี้ยเหลือเกินสำหรับคนธรรมดา
ลานประลองพลันตกอยู่ในความเงียบงัน
สายตาผู้คนนั้นดูราวกับกำลังมองเห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเกินไป
และในขณะเดียวกัน อู๋เสี่ยวฟางที่ห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลก็เต็มไปด้วยแววตาสิ้นหวัง
ความรู้สึกไม่ยอมรับความพ่ายแพ้จากการประลองครั้งก่อนหน้านั้น ลอยหายไปกับสายลมเหมือนหมอกควันสายหนึ่ง
ถ้าความสามารถของพวกเขาห่างกันเพียงเล็กน้อย อู๋เสี่ยวฟางก็ยังสามารถพัฒนาตนเองและไล่ตามให้ทันได้ อาจเข้าไปแทนที่หลินเป่ยเฉินเลยก็ได้ แต่ความสามารถของพวกเขานั้นห่างกันเกินไป เรียกได้ว่าสูงเกินกว่าความเข้าใจของอู๋เสี่ยวฟางเสียด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เพียงระยะห่างธรรมดาแล้วล่ะ แต่มันเป็นความสามารถที่เรียกได้ว่า คนละชั้น เลยทีเดียว
อู๋เสี่ยวฟางคงไม่มีความกล้าพอที่จะข้ามระดับคนละชั้นนั้นได้
ในตอนนั้นเอง ประโยคหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บ
เราคงไม่สามารถเทียบชั้นกับหลินเป่ยเฉินได้อีกแล้ว
ศิษย์ชั้นปีที่ 2 จากห้อง 1 คนนี้ กำลังอารมณ์เสียสุดขีด เขาเคยเป็นเหมือนดอกไม้ที่กำลังจะบาน แต่ท้ายที่สุดก็ถูกราดด้วยน้ำเดือด
กวนเฟยตู้และบรรดาสุดยอดลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของชั้นปีที่ 3 ต่างก็แน่นิ่งไม่รู้จะทำเช่นไร
ค่าพลังระดับ 7 งั้นหรือ มันหมายความว่ายังไงกัน
และแม้แต่กวนเฟยตู้เองผู้เป็น 1 ใน 4 สุดยอดลูกศิษย์ของชั้นปีที่ 3 ก็ไม่สามารถทำได้
หรืออาจจะพูดได้เลยว่า ในบรรดาลูกศิษย์ชั้นปีที่ 3 รวมถึงสุดยอดลูกศิษย์เช่น ฮันปู้ฟู่ ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
ความสามารถของหลินเป่ยเฉินช่างน่ากลัวอะไรขนาดนี้
นี่มันเหนือมนุษย์เกินไปแล้วนะ
มู่ซินเยว่มองขึ้นไปด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ ความสับสน และสุดท้ายคือความเสียดาย
ถ้าหากนางรู้ว่าหลินเป่ยเฉินจะทรงพลังขนาดนี้ นางคงไม่มีทางทิ้งเขาเป็นแน่
ผู้แข็งแกร่งขนาดนี้ย่อมเป็นผลประโยชน์แก่นางมากมายมหาศาล
มู่ซินเยว่คิดมาตลอดว่าเจ้าแกะดำนั้น ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากชื่อเสียงของครอบครัวและบิดาที่เป็นคนใหญ่คนโต แต่ในตอนนี้ที่เขาไม่มีใครคอยหนุนหลังอีกแล้ว เขากลับกลายเป็นเพชรเม็ดงามล้ำค่าที่ส่องประกายได้หน้าตาเฉย
น่าสมเพชอะไรขนาดนี้ !
มู่ซินเยว่รู้สึกเสียดายและโกรธเกรี้ยวเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
นางรู้สึกเหมือนโดนหลินเป่ยเฉินหลอกตบตา
เช่นเดียวกับอาจารย์ติงผู้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินเพียงน้อยนิด เขาเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน
อาจารย์ชราเริ่มคิดไม่ตกเกี่ยวกับความพิเศษอันผิดปกติของหลินเป่ยเฉินขึ้นทุกที
แต่สำหรับคนที่สามารถฝึกวิชาได้ในความฝัน ค่าพลังระดับนี้ก็คงถือเป็นเรื่องปกติแล้วกระมัง
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่และผู้สังเกตการณ์หลี่ต่างก็ถกเถียงกัน และในที่สุด พวกเขาก็เลิกล้มความพยายามที่จะนำแท่งหินวัดค่าพลังระดับ 7 มาเพื่อทดสอบ ทั้งคู่เรียกหลินเป่ยเฉินมาเพื่อพูดคุย และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ข้อสรุปหลังจากพูดคุยกับบรรดาผู้คุมสอบว่า ค่าพลังลมปราณของหลินเป่ยเฉินนั้นอยู่ที่ระดับ 7
อาจารย์ฉู่ได้ออกมาประกาศเรื่องนี้ด้วยตนเอง
โดยที่หลินเป่ยเฉินนั้นไม่ได้คัดค้านใด ๆ
ตราบใดที่ไม่มีใครเรียกร้องให้เขาต้องจ่ายค่าแท่งหินที่พังไป เขาก็ไม่คัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น
อีกอย่างหนึ่ง หากแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 7 พังไปอีกหนหนึ่ง เขาก็คงจะต้องกังวลขึ้นมาบ้างละ
ผลจากการใช้งานแอปพลิเคชันในโทรศัพท์เครื่องนั้นพิเศษมากจริง ๆ แต่ตราบใดที่เขาทำคะแนนได้เป็นอันดับ 1 ของการสอบกลางภาค ค่าพลังลมปราณในร่างกายจะอยู่ในระดับไหนก็ไม่สำคัญอยู่ดี
ในตอนนี้ เด็กหนุ่มได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง !
หลินเป่ยเฉินแค่ต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนและอยู่เงียบ ๆ สักหน่อย เพื่อที่จะได้สร้างความสำเร็จให้มากกว่านี้
บริเวณรอบ ๆ ลานประลอง บรรดาลูกศิษย์ต่างดูไม่ตื่นเต้นตกใจกับการประกาศครั้งนี้สักเท่าไหร่นัก
ในเมื่อแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 นั้นระเบิดไปแล้ว การประกาศจึงไม่ได้ดูน่าแปลกใจนัก
หลังจากนั้น ผู้สังเกตการณ์หลี่ก็ประกาศผลการแข่งขันและรายชื่อสุดยอดลูกศิษย์ทั้ง 4 ของสถานศึกษาวิชากระบี่ที่สามด้วยตนเอง นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศชื่อตัวแทนสถาบันที่จะเข้าร่วมคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองอีกด้วย ซึ่งตัวแทนของพวกเขาก็ได้แก่ หลินเป่ยเฉิน มู่ซินเยว่ อู๋เสี่ยวฟาง และเยว่หงเซียง
แต่ในขณะนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสามคนนั้น พวกเขาต่างก็กลายเป็นตัวประกอบประดับฉากของหลินเป่ยเฉินไปเสียแล้ว
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินผู้ที่ทั้งแข็งแกร่งและหล่อเหลานั้นกำลังส่องประกายออกมาอย่างไม่มีใครเทียบได้
เขานั้นแข็งแกร่งเกินไป และส่องประกายสว่างจ้า จนถือได้ว่าเป็นตำนานในชั่วข้ามคืน
“การสอบกลางภาคของเรามีรางวัลให้ผู้ชนะเสมอ นอกเหนือจากเงินที่จะมอบให้แก่ผู้ครองตำแหน่งอันดับ 1 แล้ว ก็ยังมีคัมภีร์สำหรับฝึกวิทยายุทธ์ พืชสมุนไพร และน้ำยาต่าง ๆ อีกด้วย” อาจารย์ฉู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตามประเพณีแล้ว ผู้ที่ชนะเป็นอันดับหนึ่ง มีสิทธิ์จะได้เลือกเป็นคนแรก มาสิ หลินเป่ยเฉิน มาเลือกรางวัลของเจ้าไปได้เลย”
บนโต๊ะหินสีดำนั้นมีของรางวัล 8 ชิ้นวางเรียงราย
มีคัมภีร์วิทยายุทธ์ทั้งหมด 4 เล่ม และมีพืชสมุนไพรและยาอีก 4 อย่าง
คัมภีร์ทั้ง 4 เล่มนั้นประกอบไปด้วย วิชากระบี่เร้นกาย วิชากระบี่วายุ วิชากระบี่กระสุนจันทรา และ วิชากระบี่กมล
และยาสมุนไพรทั้ง 4 ประกอบไปด้วย ผงฟื้นฟู น้ำยาเสริมพลังลมปราณ น้ำยาบำรุงวิญญาณ และ ผงเสริมกระดูกเหล็ก
หลินเป่ยเฉินเดินมายังโต๊ะหินสีดำ ก่อนมองไปยังของรางวัลทั้งหมดและแน่นิ่งไป
เขาควรจะเลือกอะไรดีล่ะ
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ออกเลยจริง ๆ
เพราะเขานั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์หรือยาวิเศษพวกนี้เลยสักอย่าง