เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 413 อากวง ปิดประตู
ตอนที่ 413 อากวง ปิดประตู
นั่นเป็นเพราะว่าภาพที่ควรเกิดขึ้น อย่างเช่นการที่ฉู่เหินโดนพลังลมปราณกระบี่เล่นงานจนนอนจมกองเลือดไม่ได้เกิดขึ้น
ห่างออกไปไม่กี่วา
ฉู่เหินสามารถหมุนตัวตีลังกาทิ้งตัวยืนลงบนพื้นได้อย่างมั่นคง
แขนเสื้อข้างขวาของเขาเศษผ้าปลิวกระจุยกระจาย
กำปั้นเหล็กเกิดร่องรอยสึกหรอเล็กน้อย
ใบหน้าของชายชราแดงก่ำ
แต่ในไม่ช้าก็กลับเป็นปกติ
“ตาเฒ่าฉู่…”
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
หลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมินรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ
แล้วความตกตะลึงบนใบหน้าของฉู่เหินก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น
“ไม่เป็นไร ต้องขอบคุณอานุภาพของแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ… นี่แน่ะ ดูสิ ข้าไม่เป็นไรเลยจริงๆ” ฉู่เหินลองขยับแขนกลของตนเองและพบว่ามันยังใช้งานได้ปกติดี
ความจริงนั้น ฉู่เหินคิดมาตลอดว่าการเดินทางไปที่หุบเขาชายแดนเหนือ คือการตัดสินใจที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องตกนรกทั้งเป็น
แต่บัดนี้ ดูเหมือนว่าแขนเทียมที่ได้มาจากผลพวงของการเข้าสู่หุบเขาชายแดนเหนือครั้งนั้น จะช่วยทำให้ฉู่เหินมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ลองเปลี่ยนเป็นแขนคนจริงๆ มารับการโจมตีของจูปี้ฉีดู รับรองว่าแขนต้องขาดกระเด็นเป็นแน่แท้
แต่แขนกลบนตัวฉู่เหินยังคงใช้งานได้อย่างเป็นปกติ
และเวลานี้ก็ประจวบเหมาะกับที่พลังของโจ๊กวิเศษออกฤทธิ์พอดี
มีแต่ได้ปะทะฝีมือกับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ฉู่เหินถึงได้ทราบว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงใด
เขามีกำลังวังชามากกว่าเดิม 3 ถึง 4 เท่า
พลังลมปราณในร่างกายก็แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ฉู่เหินมั่นใจว่านี่คือผลลัพธ์จากการรับประทานโจ๊กวิเศษ เมื่อร่างกายได้ขับถ่ายของเสียออกมาแล้ว ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และใช้เวลาเพียงไม่นาน ฉู่เหินก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนเอง
“อากวง”
หลินเป่ยเฉินตะโกนออกคำสั่ง “ปิดประตู”
ให้ตายเถอะ
แบบนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์ฉู่มีแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ ป่านนี้ร่างกายคงแหลกสลายไปแล้ว
ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!
“จี๊ด!” อากวงยกมือขึ้นรับคำสั่งแบบทหาร แล้วมันก็รีบวิ่งไปปิดประตูด้วยความเร็วไว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
พรึบ! พรึบ!
หมอกควันปรากฏขึ้นบริเวณหน้าประตูเป็นการอำพรางสายตาจากคนภายนอก
“พวกเรามายืนรวมตัวกันไว้”
หลินเป่ยเฉินยังคงออกคำสั่งต่อไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ผู้เฒ่าคนนี้เป็นพวกโรคจิตชอบกินเนื้อมนุษย์ ไม่มีค่าให้พวกเราต้องพูดคุยต่อไป เรามาร่วมมือกันกำจัดมันผู้นี้ทิ้งไปเสียดีกว่า”
คำพูดของจูปี้ฉีหลอกหลอนหลินเป่ยเฉินจนขนลุกเกรียวมาถึงขณะนี้ เมื่อสบโอกาสเล่นงานผู้ที่เป็นขวากหนาม เด็กหนุ่มไม่มีทางปล่อยให้ชายชราโรคจิตได้ลอยนวลไปเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว อาจจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาในอนาคตก็เป็นได้
คิดไม่ถึงเลยว่าแขกที่ตั้งใจเชิญมารับประทานโจ๊กวิเศษ จะกลับกลายเป็นผู้ช่วยของเขาแล้ว
จูปี้ฉีได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ
คิดจะฆ่าแกงกันเชียวหรือ?
นับเป็นเด็กที่โง่งมโดยแท้
จูปี้ฉีกวาดสายตามองรอบตัวอย่างแช่มช้า
พานเว่ยหมินและคนอื่นๆ เกร็งกำลังขึ้นมาทันที พวกเขาปล่อยพลังลมปราณออกจากร่างกาย เลือดลมสูบฉีดร้อนระอุ
“เอาล่ะ…” เซียวปิงยกมือทุบหน้าอกตนเองเป็นการปลูกขวัญกำลังใจ “ท่านพี่เปิดฉากโจมตีเลย เดี๋ยวข้าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้เอง…”
อากวงเองก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน ขนที่นุ่มนวลสลวยบนตัวพลันชี้ชันเหมือนเข็มแหลม เจ้าหนูส่งเสียงคำรามในลำคอ มันทำท่าเลียนแบบเซียวปิงด้วยการยกมือทุบหน้าอกตนเอง แต่หลังจากนั้น…
เจ้าหนูก็ยืนตัวแข็งทื่อ
แล้วอากวงก็ล้มลงนอนแน่นิ่งบนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทแน่น
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบอยู่ในใจ
อากวงไม่อยากร่วมวงการต่อสู้ ถึงกับแกล้งตายไปเสียแล้ว
พลัน ติงซานฉือยกมือโบกสะบัด กล่าวว่า “ยังไม่ใช่วันนี้”
แล้วเขาก็หันไปมองชายชราผู้เป็นอาคันตุกะ “อีก 10 วันหลังจากนี้ พวกเราไปเจอกันที่ท่าเรือ เพื่อประลองกันตัวต่อตัวดีหรือไม่?”
“ประลองกันตัวต่อตัวอย่างนั้นหรือ?”
จูปี้ฉียิ้มกริ่ม ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะ “ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า บัดนี้ร่างกายของท่านกำลังบาดเจ็บ… แหม แหม ติงเล่ยเอ๋ยติงเล่ย เจ้าหวังจะใช้ชีวิตของตนเองถ่วงเวลา เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตลูกศิษย์สินะ?”
ติงซานฉือไม่ตอบรับคำใด
จูปี้ฉีพยักหน้าและกล่าวออกมาในที่สุดว่า “ก็ได้ๆ ข้าจะมอบโอกาสให้ท่านได้ต่อสู้อย่างยุติธรรม องครักษ์ลำดับที่ 4 ของพวกเราก็จะเข้าร่วมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีเช่นกัน และเขาก็คงไม่ปล่อยลูกศิษย์ของท่านให้ลอยนวลต่อไปแน่”
ติงซานฉือยังคงไม่ตอบรับคำใด
ผ่านไปประมาณ 10 ลมหายใจ สุดท้ายติงซานฉือก็ต้องกล่าวว่า “เรื่องของคนรุ่นหลังปล่อยให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสินเถิด”
จูปี้ฉีส่ายหน้าตอบว่า “ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่าลูกศิษย์สมองเสื่อมของท่าน จะสามารถเอาชนะองครักษ์ลำดับที่ 4 ของพวกเราได้ จงทำใจเสียเถิดว่าลูกศิษย์ของท่านต้องตายด้วยน้ำมือเขาแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ศพของลูกศิษย์ท่านก็จะกลายเป็นวัตถุดิบหมักสุราของข้า”
“ผลแพ้ชนะยังไม่ปรากฏ ท่านอย่าเพิ่งแน่ใจเลยว่าจะได้เห็นศพของหลินเป่ยเฉิน ขอแค่รับปากว่าท่านจะไม่ลอบโจมตีหลินเป่ยเฉินระหว่างการแข่งขันก็พอแล้ว”
ติงซานฉือกล่าว
จูปี้ฉีพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ท่านได้คำสัญญาของข้า”
ติงซานฉือพูดตัดบท “กรุณาเดินทางกลับอย่างระมัดระวัง ไม่ขอออกไปส่ง”
จูปี้ฉีหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งสุดท้ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “ช่างเป็นเลือดที่หอมหวลนัก”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกร้อนรนหนักกว่าเก่า
“อาจารย์ ศิษย์ว่าเราไม่ควรปล่อยเขากลับไป”
ในมือของเด็กหนุ่มบัดนี้มีทั้งกระบี่จันทราพิฆาตและดาบศีลธรรมเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ “ศิษย์มั่นใจว่าสามารถเอาชนะเขาได้”
จูปี้ฉีได้ยินดังนั้นกลับไม่แสดงความโกรธแค้นแต่อย่างใด ซ้ำยังพูดด้วยความเข้าอกเข้าใจว่า “พ่อหนุ่ม ข้ารู้ว่าเจ้ามีฝีมือกระบี่ยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนว่าเจ้ามักจะตัดสินใจทุกอย่างด้วยความหุ่นหันพันแล่นเป็นนิสัย แต่ช่างมันเถอะ… เจ้าอย่าเพิ่งกดดันตนเองมากเกินไป เพราะถ้าเจ้าเครียดมากเกินไป เลือดของเจ้าจะเสียรสชาติหมด”
หลังจากนั้น จูปี้ฉีก็กระโดดตัววูบ แล้วร่างของเขาก็หายวับไปในอากาศ
ช่างเป็นวิชาตัวเบาที่ร้ายกาจนัก
เมื่อผู้บุกรุกจากไปแล้ว ทุกคนถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ต่างรู้สึกเหมือนกับว่าหินก้อนใหญ่ที่กดทับอยู่ในหัวใจได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว
พลังกดดันที่ติดตัวจูปี้ฉีในบรรยากาศได้สลายหายไปหมดสิ้น
“เว่ยหมิงเฉินมีองครักษ์อยู่ด้วยกัน 4 คน จูปี้ฉีนับเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุด ได้รับฉายาว่ากระบี่สุราโลหิต ส่วนผู้ที่มีความแข็งแกร่งรองลงมา มีนามว่ากระบี่พเนจรฉู่ฉู่เซียว ตามด้วยกระบี่เหินหาวเจียงฟานเป็นลำดับที่ 3 ส่วนคนสุดท้ายนั้นได้รับฉายาว่ากระบี่พันหน้า เพราะเป็นบุคคลปริศนา แม้ว่าบุคคลผู้นี้จะมีมิตรสหายอยู่มากมาย แต่กลับไม่เคยมีใครเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขามาก่อน เมื่อสักครู่นี้ จูปี้ฉีก็บอกแล้วว่ากระบี่พันหน้าจะเข้าร่วมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีเช่นกัน”
พูดถึงตรงนี้ หัวคิ้วของติงซานฉือก็ขมวดมุ่น “แต่เขาจะเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างไร? อย่าบอกนะว่ามือกระบี่พันหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น? เรื่องราวนี้นับว่าแปลกประหลาดเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล “ในเมื่อหมอนั่นเป็นองครักษ์ลำดับที่ 4 ก็หมายความว่าคงมีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในกลุ่มองครักษ์ที่ติดตามเว่ยหมิงเฉิน อาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล ศิษย์ย่อมสามารถจัดการมันผู้นั้นได้แน่นอน”
หลิวฉีไห่ทำท่าฟันกระบี่ประกอบคำพูด “แต่องครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉินทุกคน มีพลังอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์ทั้งสิ้น”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้น… ข้าน้อยก็ไม่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันเท่านั้นเอง เพียงเท่านี้เขาก็ทำอะไรข้าน้อยไม่ได้แล้ว”
“ไม่ได้”
ติงซานฉือยกมือตบหัวลูกศิษย์สุดที่รักเสียงดังป้าบ พร้อมกับอธิบายว่า “ที่พวกมันยังไม่ทำอะไรเจ้าบัดนี้ ก็เป็นเพราะรอให้เจ้าได้เข้าร่วมการแข่งขันเสียก่อน หากเจ้าไม่ยอมเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้… หรือบางทีอาจจะเป็นคืนนี้ พวกมันอาจลงมือ ไม่ว่าจะเป็นมือกระบี่พเนจรหรือมือกระบี่เหินหาว ต่างก็ได้ชื่อว่าเป็นนักลอบสังหารที่น่ากลัวทั้งคู่”
หลินเป่ยเฉินถึงกับใบหน้ากระตุก “แต่ศิษย์เป็นผู้ที่ถูกเลือกนะขอรับ พวกเขาจะกล้าทำอะไรหัวหน้านักบวชเชียวหรือ?”
ฉู่เหินมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาที่ใช้มองคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง แล้วจึงกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ “เจ้าไม่เข้าใจหรือไงว่าการลอบสังหารหมายถึงอะไร? แม้แต่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนักพรตใหญ่หรือนักพรตเทวะแห่งจักรวรรดิ ก็ยังเคยถูกลอบสังหารมาแล้ว”
“พวกมัน… ทำไมถึงจิตใจโหดร้ายขนาดนี้”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความโกรธแค้น
“แต่เจ้าไปแย่งคนรักของเขาก่อนไง”
ไป๋ชินหยุนส่งเสียงเหยียดหยามขึ้นมากลางปล้อง “เรื่องนี้ไม่ว่าไปพูดที่ไหน ทุกคนก็ต้องบอกว่าเจ้าเป็นคนผิดทั้งนั้น ข้าถึงไม่เข้าใจไงว่าเจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกได้อย่างไร ในเมื่อปัญหาส่วนตัวยังคาราคาซังอยู่เช่นนี้”
หลินเป่ยเฉินสูดลมหายใจลึก กัดฟันกรอด แล้วกล่าว “ว่าจะไม่แล้วเชียวนะ เสี่ยวไป๋ มานี่หน่อย ข้ามีเรื่องอยากคุยด้วย”