เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 431 ความชั่วร้ายของบัณฑิตวิปลาส
ตอนที่ 431 ความชั่วร้ายของบัณฑิตวิปลาส
สตรีชุดเขียวเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากงเมิ่ง และใช้สันมีดเชยคางเด็กสาวขึ้นมา
คมมีดสะท้อนประกายแวววาวกับผิวหน้าขาวสะอาดของเด็กสาว
“แหม แหม แหม”
คมมีดในมือหญิงสาวชุดเขียวเลื่อนลงไปที่ลำคอของกงเมิ่ง
เห็นได้ชัด นางมีทักษะการใช้อาวุธที่คล่องแคล่ว
คมมีดกรีดคอเสื้อของกงเมิ่งขาดออกจากกัน แต่ไม่มีผิวหนังส่วนไหนของเด็กสาวที่เกิดริ้วรอยแม้แต่น้อย
“ท่านพี่มีอารมณ์อีกแล้วหรือ?” หญิงสาวชุดเขียวยิ้มกว้าง พูดว่า “ท่านยังต้องพรากพรหมจรรย์อีกมากมายสักเท่าไหร่นะ ถึงจะเลื่อนระดับวิชามัจจุราชขาวดำของท่านได้? อ้อ จริงด้วยสิ ท่านเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงมีแต่ต้องพรากพรหมจรรย์เด็กสาวต่อไป”
วูบ!
คมมีดสาดประกายวิบวาว
เชือกที่พันธนาการกงเมิ่งขาดออกจากกัน
“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าซะ”
หญิงสาวชุดเขียวออกคำสั่งเสียงแผ่วเบา
คอเสื้อของกงเมิ่งขาดออกจากกัน เผยให้เห็นผิวหนังขาวเนียนที่อยู่ด้านใน นางชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลพร้อมกับพูดว่า “เจ้า…”
“เงียบ” หญิงสาวผู้ถือมีดยกนิ้วขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากของตนเอง “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพียงถอดเสื้อผ้าออกมาก็พอ พี่ชายท่านนี้ชอบสตรีที่เชื่อฟังคำสั่ง หากเจ้าอยากช่วยชีวิตบิดา ก็จงถอดเสื้อผ้าออกมา”
“บัดซบ พวกเจ้ามันไม่ใช่คน…”
กงกงพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ
ลูกสาวของเขาคือความภาคภูมิใจหนึ่งเดียวในชีวิต
นางเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา
สำหรับกับคนอย่างกงกงที่เป็นเพียงอันธพาลข้างถนน ชีวิตนี้ไม่เคยได้รับการศึกษา ต้องหาอาหารกินจากถังขยะข้างทางอยู่บ่อยครั้ง ดำเนินชีวิตโดยปราศจากศักดิ์ศรีตั้งแต่เล็กจนโต กงกงยินดีทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด แม้แต่เรื่องที่ผิดกฎหมายก็ไม่มีข้อยกเว้น
เพราะฉะนั้น เขาจึงภูมิใจเป็นอย่างมากตอนที่บุตรสาวสามารถเข้าร่วมศึกชิงตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ
ชีวิตของบุตรสาว มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา
นี่จึงเป็นเหตุผลที่กงกงยอมถวายชีวิตให้แก่หวังจง เพื่อทำงานรับใช้หลินเป่ยเฉิน เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นคือผู้ที่จะสามารถช่วยยกระดับชีวิตของเขาได้
ในอนาคต ยามที่บุตรสาวของเขาแต่งงาน นางจะได้ไม่อับอายว่ามีบิดาเกิดมาฐานะต่ำต้อย
แต่บัดนี้ สิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของกงกง กำลังจะถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว
“เสี่ยวเมิ่ง เจ้าหนีไปซะ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ” กงกงส่งเสียงคำรามเหมือนสัตว์ร้ายผู้บ้าคลั่ง “ถ้าเจ้าทำตามที่พวกมันสั่ง…พ่อยอมตายต่อหน้าเจ้าดีกว่า…”
พลังลมปราณสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามา
กงกงเบิกตากว้าง แล้วร่างกายของเขาก็ถูกสะกดจุด ทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดหรือขยับเขยื้อนร่างกายได้อีก
แม้แต่จะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ก็ทำไม่ได้แล้ว
ยิ่งพยายามออกแรงมากเท่าไหร่ เลือดจากบาดแผลที่ข้อมือก็ยิ่งพุ่งกระฉูดออกมามากเท่านั้น
“สาวน้อย บิดาของเจ้า มารดาของเจ้า ปู่ย่าของเจ้า ต่อจากนี้จะเป็นหรือตาย เจ้าเป็นคนกำหนดแล้วนะ”
บัณฑิตหน้าขาวดำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
กงเมิ่งประสานสองมือเข้าด้วยกัน กวาดสายตามองรอบตัว พยายามสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็กัดฟันถามออกมาว่า “ถ้าข้ายอมทำตามที่เจ้าสั่ง…เจ้าจะปล่อยทุกคนไปหรือไม่?”
“จะให้ปล่อยทุกคนไปเนี่ยนะ?” หญิงสาวชุดเขียวระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนตอบว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเพียงแค่สามารถชะลอเวลาตัดมือบิดาไปได้อีกครึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้น ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
ใบหน้าของกงเมิ่งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่
“ความตายนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” บัณฑิตใบหน้าขาวดำกล่าว “แต่ก่อนที่เจ้าจะตาย เจ้าจะได้เห็นบิดา มารดาและปู่ย่าถูกตัดแขนตัดขา ถูกควักหัวใจ ควักเครื่องใน ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส และข้าก็จะใช้เจ้าเป็นตัวฝึกวิชามัจจุราชขาวดำให้สาแก่ใจที่สุด ความแตกต่างระหว่างเจ้ากับพวกเขาก็คือ ก่อนตายเจ้ายังคงได้รับความสุขสมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบนิ่งเฉย
เหมือนเป็นบทสนทนาระหว่างสหายก็ไม่ปาน
แต่คำพูดเหล่านั้นเมื่อลอยไปเข้าหูกงเมิ่ง เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนตกเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็งทันที
“ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ด้วย?”
กงเมิ่งกัดฟันถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“นี่คือคำถามที่มีอยู่หลายคำตอบ” บัณฑิตใบหน้าขาวดำหย่อนก้นกลับลงไปนั่งบนลังไม้อีกครั้ง “เจ้ามันโชคร้าย บิดาเลือกรับใช้ผิดคน และพวกเจ้าก็อ่อนแอมากเกินไป ซ้ำหลินเป่ยเฉินยังไปฆ่าคนที่ไม่สมควรฆ่า…”
เขายิ้มแย้มและพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “แต่คำตอบเหล่านี้ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เจ้าควรทำคือภาวนาให้ตนเองและครอบครัวได้ตายอย่างสงบสุขดีกว่า ขอบอกเลยนะว่าคนอย่างหลินเป่ยเฉิน ไม่มีทางลงนามในสัญญาความตายเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าเด็ดขาด หรือต่อให้เขายินยอมลงนามจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปอยู่แล้ว”
กงเมิ่งหันหน้ากลับไปมองบิดา มารดาและปู่ย่าผู้บาดเจ็บสาหัส จากนั้นจึงกัดฟันพูดว่า “ตกลง ข้ารับปากจะทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง แต่เจ้าห้ามทำร้ายหรือทรมานพวกเขาอีก”
บัณฑิตใบหน้าขาวดำคลี่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงตบมือลงไปที่ตักของตนเอง “งั้นเจ้าก็มานั่งตรงนี้สิ”
ในดวงตาของเขาไม่ได้มีวี่แววของเสน่หาราคะอยู่เลยแม้แต่น้อย
ส่วนใหญ่แล้วพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของผู้ที่มีปราณธาตุดินจัดว่าเป็นพลังที่หาได้ยาก บ่อยครั้งที่การโคจรพลังมักตีบตันไม่สามารถเลื่อนระดับได้ง่ายๆ
แต่วิชามัจจุราชขาวดำคือสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ชายหนุ่มได้อย่างมหัศจรรย์
ด้วยการพึ่งพิงเคล็ดวิชานี้ เขาถึงกับยอมอุทิศตัวอยู่ในป่า ตามล่าสาวพรหมจรรย์มาเป็นเครื่องมือฝึกวิชา
และการฝึกวิชาชนิดนี้ก็ช่วยเพิ่มพลังให้แก่บัณฑิตหน้าขาวดำได้อย่างก้าวกระโดด
ทุกครั้งที่ระดับการโคจรพลังมาถึงจุดตีบตัน เขาก็เพียงแค่ต้องร่วมรักกับหญิงสาวพรหมจรรย์เท่านั้น เมื่อพลังในร่างกายของหญิงสาวฝ่ายตรงข้ามอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม บัณฑิตหนุ่มผู้ชั่วร้ายก็จะสามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
แต่ยิ่งระดับพลังของเขาสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้สาวพรหมจรรย์จำนวนมากขึ้นเท่านั้น
และต้องเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ รวมถึงมีระดับพลังสูงส่งด้วยเช่นกัน
แต่บรรดาหญิงสาวที่ตกมาอยู่ในกำมือของบัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นผู้ที่มีระดับพลังอยู่ในขั้นธรรมดาไปจนถึงระดับล่าง เพราะฉะนั้น เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพมาตลอด
แต่ครั้งนี้ เหตุผลที่บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำเจาะจงมาทำงานในเมืองหยุนเมิ่ง ก็เพื่อที่จะลักพาตัวบรรดาเด็กสาวบ้านนอกซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันศึกชิงตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบสุดท้าย เขาได้ข่าวว่าพวกนางมีระดับพลังไม่ต่ำต้อยและมีอยู่ด้วยกันหลายคนทีเดียว
แต่เด็กสาวคนที่อยู่ตรงหน้านี้ หน้าตาก็จัดว่าอยู่ในขั้นธรรมดา ระดับพลังไม่ได้สูงล้ำอะไร นางจึงไม่ค่อยตรงกับเป้าหมายที่บัณฑิตหนุ่มอยากได้สักเท่าไหร่
แต่ไหนๆ มีเนื้อมาเข้าปากแล้ว จะไม่รับประทานสักหน่อยคงโง่เต็มทน
“มานี่สิ” บัณฑิตหนุ่มฉีกยิ้มอย่างวิปริต
หลังจากถูกพันธนาการมานานหลายชั่วยาม เลือดลมในร่างกายของกงเมิ่งจึงยังไหลเวียนไม่สะดวกเท่าไหร่ กว่าที่นางจะขยับเท้าก้าวเดินออกมาข้างหน้าได้สักก้าวหนึ่ง มันช่างยากลำบากเหลือเกิน…
เด็กสาวสูดหายใจลึก
แต่ในทันใดนั้นเอง กงเมิ่งกลับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
สีหน้าของนางแสดงออกถึงความประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่ใช่โกรธแค้น
ไม่ใช่หวาดกลัว
แต่เป็น…ประหลาดใจ?
บุรุษหนุ่มใบหน้าขาวดำชะงักกึก หันไปมองตามสายตาของกงเมิ่ง
ไม่รู้เลยว่าบรรดาชายฉกรรจ์ชุดดำทั้ง 6 คนที่กำลังกินดื่มกันอย่างเฮฮาเหล่านั้น ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินตั้งแต่เมื่อไหร่ มิหนำซ้ำ ยังไม่รู้ด้วยว่ามีสภาพเป็นหรือตาย
จังหวะนั้น กลิ่นของอะไรบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูกบัณฑิตหน้าขาวดำ
“แย่แล้วสิ”
เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อตั้งสติได้ บัณฑิตหนุ่มก็รีบถอยออกมา “ศิษย์น้องระวังตัวด้วย นี่คือยาพิษ…”
ทันใดนั้น ร่างของหญิงสาวในชุดเขียวก็ยืนโงนเงน ก่อนที่นางจะล้มฟุบลงไปกับพื้นด้วยอีกคน
ฟ้าว!
พลัน เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศลงมาจากด้านบน
บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำหัวใจกระตุกวูบด้วยความตื่นตัว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นลูกศรดอกหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาตนเองด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด
“ย๊ากกก…” ในจังหวะแห่งความเป็นความตาย บัณฑิตใบหน้าขาวดำก็ยกสองมือขึ้นประกบกันระดับหน้าอก และตะปบลูกศรดอกนั้นได้ทันเวลาพอดี
นี่คือความร้ายกาจของผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 1
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เขาจะต้องหยุดยั้งลูกศรดอกนี้ได้แน่นอน
ทว่า ถึงแม้บัณฑิตหนุ่มจะโคจรพลังลมปราณช่วยเหลือ แต่ลูกศรก็ยังไหลผ่านฝ่ามือของเขาเหมือนงูที่ลื่นไหล มันมีพลังแฝงมหาศาล ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และเส้นเลือดบริเวณฝ่ามือของบัณฑิตใบหน้าขาวดำถูกเผาไหม้เป็นบาดแผลฉกรรจ์ และคมของลูกศรก็กำลังพุ่งใส่เข้าไปที่หัวใจของเขา
ลูกศรดอกนั้นกำลังจะหลุดออกจากมือของบัณฑิตหนุ่มแล้ว
จึก!
ส่วนปลายของลูกศรเริ่มทิ่มแทงเข้าไปบนเนื้อหน้าอกของเขาทีละเล็กทีละน้อย
“ย๊ากกก…อย่าคิดว่าเจ้าจะทำได้สำเร็จ” เมื่อพบว่าตนเองอยู่ห่างจากความตายอีกไม่ไกล ชายหนุ่มก็ระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับโคจรพลังลมปราณออกมาเต็มอัตรา
แล้วพลังลมปราณจำนวนมหาศาลก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง มันมีพลังเป็นสีส้มสว่างไสว ก่อเกิดเป็นกำแพงขวางกั้นลูกศรไม่ให้เคลื่อนที่มากไปกว่าเดิม
แต่ถึงอย่างนั้น ปลายลูกศรก็ปักเข้าไปในหน้าอกของเขาลึกขึ้นเรื่อยๆ
มันหยุดก็ต่อเมื่ออยู่ห่างจากหัวใจเขาเพียงนิ้วมือเดียวเท่านั้น
บัณฑิตหนุ่มใบหน้าเหยเกเหมือนคนใกล้ตาย
“เจ้าเป็นใคร?”
เขาร้องตะโกนใส่อากาศธาตุ
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็รีบกระโดดเข้าไปหากงเมิ่ง
หวังจะจับนางเป็นตัวประกัน
แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
ฟ้าว!
ลูกศรอีกหนึ่งดอกถูกยิงออกมาแล้ว