เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 433 ข้าคือวีรบุรุษ
หลินเป่ยเฉินผงะถอยหลัง ภายในลำคอรู้สึกได้ถึงรสชาติอะไรบางอย่าง ก่อนที่เลือดจะพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก
การตีโต้กลับมาครั้งนี้ของบัณฑิตหนุ่มทำให้หลินเป่ยเฉินถึงกับลอยกระเด็นไปด้านหลัง
“เชี่ย…”
หลินเป่ยเฉินลอบสบถอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าถ้ายังไม่ได้เลื่อนระดับสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ เขาก็คงไม่สามารถต่อสู้กับผู้มีพลังข้ามขอบเขตได้เด็ดขาด
พลังของบัณฑิตหนุ่มหน้าขาวดำที่ซัดใส่เข้ามาเมื่อสักครู่นี้ ทำให้เด็กหนุ่มได้รู้แล้วว่าตนเองยังมีพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ป่านนี้ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัสก็ต้องเสียชีวิตไปแล้ว
นอกจากนั้น หลินเป่ยเฉินยังได้ค้นพบอีกหนึ่งอย่างว่า
การใช้พลังปราณธาตุไฟทำให้การแปลงโฉมจากแอปเมจิก คาเมร่าสูญสลายหายไปด้วย
เปลวไฟจากร่างกายของเขาสามารถทำลายได้แม้แต่การแปลงโฉม
เนี่ย
แบบนี้มันเป็นแอปที่เอาเปรียบผู้บริโภคชัดๆ
ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์ หลินเป่ยเฉินคงทำเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคไปแล้ว
แต่โชคดีที่เขาระมัดระวังตัวก่อนหน้า จึงนำกางเกงในมาสวมใส่เป็นหน้ากาก
มิเช่นนั้น บัดนี้ ทุกคนคงต้องเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นแน่แท้
ฟึบ!
หลินเป่ยเฉินกระโดดตีลังกาทิ้งตัวลงไปยืนตั้งหลักอยู่เบื้องหน้าพวกของกงกง ร่างกายของเขาโคจรพลังลมปราณเต็มเปี่ยม เศษหินที่อยู่บนพื้นดินปลิวกระจาย อันที่จริงแล้ว หลินเป่ยเฉินตั้งใจแสดงตัวออกมาเพื่อถ่วงเวลาให้พวกของกงกงและครอบครัวได้หลบหนีไปในจังหวะชุลมุน
แต่น่าเสียดายที่ทุกคนบาดเจ็บหนักเกินไป
พวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยตนเอง
มีแต่ต้องรอให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือออกไปเท่านั้น
ความคิดจำนวนมากก่อเกิดขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม
เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่แล้วในทันใดนั้น บัณฑิตหนุ่มใบหน้าสองสีก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้หลินเป่ยเฉินถึงกับอับอายแทบมุดแผ่นดินหนี
สิ่งที่บัณฑิตหนุ่มพูดออกมาก็คือ…
“เจ้าคือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?”
คำถามเพียงไม่กี่พยางค์ กลับมีอานุภาพเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจหลินเป่ยเฉิน
อีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงตัวตนของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มถามกลับไปด้วยความหงุดหงิดใจ
บัณฑิตหนุ่มหน้าขาวดำยิ้มมุมปากด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อสักครู่นี้ที่เขายังไม่โจมตีเต็มกำลัง ก็เพราะไม่ทราบว่าคู่ต่อสู้เป็นใครมาจากไหน และมีพลังอยู่ในขั้นที่เท่าไหร่ แต่เมื่อหายจากอาการตกตะลึงแล้ว บัณฑิตหนุ่มกลับพบว่าขณะนี้ที่มือซ้ายของตนเองกลับมีเปลวไฟสีส้มลุกโชนสว่างไสว ฝ่ามือของเขาหลอมละลายกลายเป็นเถ้าถ่าน และเปลวไฟนั้นก็ยังคงลุกลามสูงขึ้นมาเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่พลังปราณธาตุดินของบัณฑิตหนุ่มจะสามารถต้านทานได้ ดังนั้น เขาจึงตวัดกระบี่ด้วยความตกใจสุดขีด และตัดแขนซ้ายของตนเองทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงมาจรดข้อมือ…
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะป้องกันไม่ให้เปลวไฟลุกลามไปทั่วร่างกายได้สำเร็จ
ถึงแม้แขนซ้ายจะขาดไปแล้ว แต่บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำก็ยังคงหัวเราะออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าเกือบพลาดท่าเสียทีให้เจ้าเสียแล้วสิ ตอนแรกข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่เมื่อนำทักษะหลายอย่างมาประกอบรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการยิงธนูที่เป็นเลิศ วิชาการใช้กระบี่มังกรไฟที่ไม่เหมือนใคร มิหนำซ้ำ เจ้ายังแสดงพลังปราณธาตุไฟเหมือนที่เคยได้แสดงเอาไว้บนเวทีประลอง เพียงเท่านี้ ข้าก็รู้คำตอบแล้วว่าเจ้าคือหลินเป่ยเฉิน…”
แม่งเอ๊ย
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจตัวเอง
นี่คือเหตุผลและหลักฐานที่ทำให้ตัวตนของเขาถูกเปิดโปง
และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าตนเองอำพรางตัวตนได้อย่างแนบเนียนแล้ว
แต่ที่ไหนได้…
เขามองทุกอย่างด้วยความตื้นเขินมากเกินไป
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้วสิ
ถ้าจะช่วยเหลือผู้คนให้ได้ เขาก็ต้องพาทุกคนออกไปจากที่นี่ด้วยตนเอง
แม้นั่นหมายความว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยก็ตาม
ตอนแรก เหล่าผู้คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็ไม่ทราบหรอกว่าบุรุษหน้ากากแดงเป็นใคร
แต่บัดนี้ กงกงที่นั่งหมดสภาพอยู่ด้านข้างได้ยินทุกคำพูดอย่างถนัดหู
ที่แท้ก็เป็น… คุณชายหลินเองหรือ?
แต่จะเป็นคุณชายหลินได้อย่างไร?
คุณชายหลินเนี่ยนะจะมาช่วยพวกเขา?
ทว่าเมื่อลองคิดดูอีกรอบ กงกงก็ต้องถามตนเองอีกครั้งว่า
ถ้าไม่ใช่คุณชายหลิน แล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?
จะมีใครบ้างที่ยินดีเสี่ยงชีวิตมาช่วยเหลือพวกเขาสองพ่อลูกผู้เป็นครอบครัวอันธพาลข้างถนน?
ครอบครัวของพวกเขาในเมืองหยุนเมิ่ง มีสถานะเป็นชนชั้นรากหญ้า ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำซ้ำเติมหาได้มีค่าในสายตาใครไม่…
แล้วมีใครบ้างที่ห่วงใยพวกเขา?
มีเพียงคุณชายหลินคนเดียวเท่านั้น
มีเพียงคุณชายหลินที่กงกงมีความจงรักภักดีให้อย่างหมดหัวใจ มีเพียงคุณชายหลินที่เป็นห่วงเป็นใยครอบครัวของเขา
ทันใดนั้น ในหัวใจของกงกงก็เกิดความรู้สึกมากมายผสมกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นความตกตะลึง ความตื่นเต้น ไปจนถึงความซาบซึ้งใจ
นับว่าเขาติดตามคนไม่ผิดจริงๆ
นายน้อยย่อมดูแลบริวารของท่านเสมอ
แล้วจะไม่ให้เขาภักดีต่อหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?
กงกงรู้สึกซาบซึ้งใจจนสามารถเสียสละชีวิตของตนเองแทนหลินเป่ยเฉินได้โดยไม่ลังเลอีกแล้ว
ส่วนทางด้านของกงเมิ่งเล่า?
หลังจากที่เด็กสาวหายตกตะลึง ใบหน้าที่ซีดขาวของนางก็เริ่มกลับมาแดงก่ำด้วยเลือดลมที่สูบฉีดอีกครั้ง โดยเฉพาะสองแก้มที่แดงยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศ
หลินเป่ยเฉิน… ทำไมเขาถึง… ทำไมเขาถึงต้องเปลือยกายต่อสู้ด้วย?
พฤติกรรมเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
หรือเขาทำไปตามสัญชาตญาณดิบ?
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงได้รับฉายาให้เป็นคนเสเพลอันดับ 1 ประจำเมือง…
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น…
เขาก็ยังนับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง
เด็กสาวรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ
ในเวลาเดียวกันนี้
“เฮ้อ เจ้ามันรู้มากเกินไปแล้วสิ” หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น เหมือนหัวขโมยที่ถูกจับได้ว่ากระทำความผิดคาหนังคาเขา “เพราะฉะนั้น เจ้าต้องตาย”
เด็กหนุ่มตั้งสมาธิ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้าและดาวน์โหลดกระบี่จันทราพิฆาตออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
จังหวะนั้น
“นายน้อยระวัง!”
กงกงพลันอุทานออกมา
ว่าไงนะ?
พลัน หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงพลังงานที่พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของเขา
ฉัวะ!
ได้ยินเสียงคมกระบี่ตัดผ่านเนื้อคน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างมากระแทกกับแผ่นหลังของตนเอง
เมื่อเขาหันกลับไปมอง
ดวงตาก็ต้องเบิกโต
ปรากฏว่าหญิงสาวชุดเขียวที่นอนสลบอยู่บนพื้นดิน ไม่ทราบเลยว่าได้สติฟื้นคืนขึ้นมาตอนไหน นางแอบลุกขึ้นมาลอบโจมตีหลินเป่ยเฉินทางด้านหลัง แต่นางก็ไม่รู้เช่นกันว่ากงกงมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางตั้งแต่แรก
ในจังหวะแห่งความเป็นความตาย ชายฉกรรจ์ผู้ไว้ผมจุกบนศีรษะก็ถลาออกมาข้างหน้า เพื่อรับคมกระบี่ในมือหญิงสาวแทนหลินเป่ยเฉิน!
เลือดสาดกระจาย
แขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของกงกงถูกตัดขาด
“ลูกรัก รีบหนีไป…” กงกงพยายามพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติ “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา…พี่น้องหน่วยสืบข่าวจะต้องแก้แค้นให้กับพ่อแน่นอน”
“ท่านพ่อ!!”
กงเมิ่งมัวแต่เขินอายอยู่กับหลินเป่ยเฉินที่มีร่างกายเปลือยเปล่า ไม่ได้สังเกตถึงการเคลื่อนไหวของหญิงสาวชุดเขียว กว่าที่จะรู้ตัว เด็กสาวก็ทำได้เพียงวิ่งเข้าไปรับร่างของบิดาที่ล้มลงกับพื้น เลือดจากบาดแผลบนแขนข้างที่ถูกตัดสดใหม่ไหลทะลักออกมาย้อมชุดของนางเป็นสีแดงสด…
หญิงสาวชุดเขียวลอบโจมตีไม่สำเร็จ แต่นางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ใช้วิชาตัวเบาเปลี่ยนตำแหน่งท่าร่าง กระโดดเข้ามากระแทกฝ่ามือใส่หัวไหล่ซ้ายของหลินเป่ยเฉิน
“ฟู่!”
หลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นไปกระแทกกับเสาหินต้นหนึ่ง เลือดไหลทะลักออกจากปากในระหว่างที่ตัวของเขาไถลลงไปนอนกองอยู่บนพื้น
“หึหึ วันนี้เจ้ามีแต่ต้องตายเท่านั้น อย่าคิดเลยว่าจะได้กลับออกไปจากที่นี่อีก”
หญิงสาวชุดเขียวยิ้มแย้มอย่างเย็นชา
ก่อนหน้านี้ นางสูดดมยานอนหลับเข้าไปจริงๆ
แต่ด้วยความที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ ผลลัพธ์ของยาพิษเหล่านี้จึงสามารถออกฤทธิ์กับนางได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานานแล้ว แต่แกล้งสลบต่อไป เพื่อรอจังหวะทำตามแผน
หากบุรุษหน้ากากแดงมีฝีมือแข็งแกร่งเกินต้านทาน หญิงสาวชุดเขียวก็จะใช้ความชุลมุนที่เกิดขึ้นหลบหนีไป
หากบุรุษหนุ่มหน้ากากแดงมีฝีมืออยู่ในขั้นที่พอต่อสู้ด้วยได้ นางก็จะอาศัยจังหวะนี้ลอบเข้าไปโจมตีทางด้านหลัง
สำหรับกับคนอย่างพวกนางที่มีชีวิตอยู่บนเส้นด้ายแห่งความเป็นความตายตลอดเวลา หญิงสาวชุดเขียวต้องเอาตัวรอดด้วยการแกล้งตายมานับครั้งไม่ถ้วน และการลอบโจมตีฝ่ายตรงข้ามจากด้านหลัง ก็ไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด
“เราอย่าเสียเวลากันอีกเลย ฆ่ามันทิ้งซะ แล้วรีบไปกันเถอะ”
บัณฑิตหนุ่มหน้าขาวดำตะโกนออกคำสั่ง
เพราะว่าในเวลาเดียวกันนี้ เขารู้สึกได้ว่ามีพลังของยอดฝีมือประจำเมืองหยุนเมิ่งหลายชีวิต กำลังมุ่งหน้ามาที่กระท่อมร้างแห่งนี้
“ท่านพ่อ ฟื้นขึ้นมาสิ…”
กงเมิ่งร้องครวญครางอย่างน่าเศร้า
หลินเป่ยเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า
“พวกเจ้าชักทำให้ข้าโมโหแล้วนะ…”
เขาเค้นเสียงออกจากลำคอพร้อมกับปาดเลือดออกจากมุมปาก
“แล้วเจ้าจะทำไม?” บุรุษหนุ่มใบหน้าขาวดำกระโดดเข้ามาทิ้งตัวยืนอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินพร้อมด้วยกระบี่ทองคำที่ถืออยู่ในมือ รอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แปลกประหลาดนั้น “เจ้ามันเป็นเพียงเศษสวะข้างถนนที่คิดอ่านทำตัวเป็นวีรบุรุษไม่เข้าท่า และนั่นก็ทำให้เจ้าต้องตาย”
“ข้าเนี่ยนะอยากทำตัวเป็นวีรบุรุษ? จะบอกให้นะว่าขะ… หืม?”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาได้เพียงเท่านั้นกลับต้องหยุดชะงักกลางคัน แล้วความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้า
‘ภารกิจเลื่อนระดับพลังแบบก้าวกระโดดสำเร็จแล้ว’
เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน Keep ดังขึ้นในหัวของเขา
แล้วในพริบตาต่อมา พลังลมปราณระดับยอดปรมาจารย์ก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเด็กหนุ่มเหมือนภูเขาไฟระเบิด