เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 44 ความรู้สึกของคนหล่อ
บทที่ 44 ความรู้สึกของคนหล่อ
ทางด้านขวามือของค่ายที่พัก มีแท่นหินขนาดสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน บนนั้นสลักข้อความเอาไว้อย่างสวยงามว่า…
ค่ายทดสอบศิษย์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง
ทั้งสองฝั่งของแท่นหินมีจอมยุทธ์สี่คนยืนรักษาการ ร่างกายของพวกเขาห่อหุ้มด้วยพลังปราณเป็นเหมือนชุดเกราะ หน้าตาเคร่งเครียด เคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง นี่คงเป็นทหารของหน่วยนักรบที่ถูกส่งมารักษาความปลอดภัยในค่ายแห่งนี้เป็นแน่แท้ อย่างน้อยก็นับเป็นจอมยุทธ์มืออาชีพ น่าจะเชื่อใจได้ในระดับหนึ่ง
ห่างออกไปเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นจากไม้และก้อนหิน มันมีความสูงประมาณ 3 จั้ง ดูสวยงามมีมนต์ขลัง
มีแค่เมืองที่เจริญแล้วด้วยจอมยุทธ์มากฝีมือเท่านั้น ถึงจะสร้างกำแพงที่ดูเรียบง่ายและธรรมดาดาษดื่นอย่างนี้
ค่ายทดสอบมีอาณาเขตโดยรวม 20 หมู่ได้ เมื่อมองลงมาจากด้านบน จะเห็นว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นรูปวงกลมหมุนเวียนมาบรรจบกัน
ที่นี่มีห้องพักไม่มาก อาคารแต่ละหลังมีเพียง 10 ห้องเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับบ้านคนทั่วไปแล้ว อาคารที่ปลูกสร้างด้วยก้อนหินสีดำเหล่านี้ก็เป็นเหมือนปราสาทขนาดย่อม กำแพงมีความแน่นหนา สามารถทนทานการโจมตีได้อย่างไม่มีปัญหา ห้องพักภายในค่ายทดสอบจะกระจายอยู่ในปราสาทหินเหล่านี้ และก็มีบางส่วนที่ปลูกสร้างแยกออกมาอยู่บริเวณริมกำแพง
ตรงกลางของค่ายทดสอบเป็นลานจัตุรัสขนาดเล็ก
บริเวณกลางลานจัตุรัส มีแท่นหินรูปทรงสี่เหลี่ยมตั้งตระหง่าน
พื้นผิวทั้งสี่ด้านของแท่นหินเรียบลื่น ไม่ต่างไปจากแท่นหินแสดงรายชื่อของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
เมื่อกวาดตามองค่ายทดสอบแห่งนี้จนทั่ว หลินเป่ยเฉินก็สามารถสรุปความได้ในสองคำว่า
เรียบง่ายและแข็งแกร่ง
“ฮ่าฮ่า นั่นมันอาจารย์ติงจากสถานศึกษากระบี่ที่สามไม่ใช่หรือ? เฮ้อ ในที่สุด ผู้เข้าแข่งขันลำดับสุดท้ายของสถานศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่งทั้งหก ศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามก็มาถึงกันสักที”
เสียงแหลมแสบแก้วหูพลันดังขึ้น ทำให้ทุกคนสะดุ้งโหยง รวมถึงหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน
คนพูดเป็นชายวัยกลางคนลักษณะแปลกประหลาดผู้หนึ่ง
ที่ดูแปลกประหลาดก็เพราะว่า…
เขาอ้วนมากเกินไป
ถ้าคนธรรมดาเติบโตในแนวตั้ง อย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ต้องเติบโตในแนวขวางแน่นอน เสื้อคลุมที่เขาสวมใส่สามารถคลี่คลุมพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสี่คนได้สบาย แต่ถึงอย่างนั้น ชั้นไขมันในร่างกายของชายอ้วนผู้นี้ ก็ทำให้เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ดูคับปลิ้นไปถนัดตา
หลินเป่ยเฉินไม่เคยเห็นใครอ้วนเท่านี้มาก่อน
ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์ คนอ้วนขนาดนี้ คงโดนไขมันอุดตันในเส้นเลือดตายไปนานแล้ว
แต่โชคดีที่ในโลกจอมยุทธ์ พวกเขาสามารถใช้งานสสารลึกลับ จึงทำให้นอกจากชายอ้วนจะมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว ทั้งยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เวลาก้าวเดิน ชายอ้วนจะมีสภาพเป็นเหมือนลูกบาสเกตบอลขนาดใหญ่ที่เด้งดึ๋งๆ มาข้างหน้า แทบไม่มีใครได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยด้วยซ้ำ
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็อาจารย์ชิวเทียนจากสถานศึกษาที่หกนี่เอง แหม แหม แหม ไม่เจอกันเพียงครึ่งปี ดูเหมือนท่านจะน้ำหนักขึ้นอีกแล้วนะ”
ติงซานฉือตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
ให้ตายเถอะ เลือดเย็นกันเหลือเกิน
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้เห็นมุมจิกกัดเหน็บแนมร้ายๆ ของผู้เป็นอาจารย์วัยชรา
ปรากฏว่าบรรยากาศระหว่างสถานศึกษาทั้งสองแห่ง เต็มไปด้วยความเป็นคู่อริกันอย่างสูง
หรือว่าเคยมีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้นะ?
แน่นอนว่าก่อนที่จะมีการสอบรอบสุดท้าย บรรดาอาจารย์ผู้เป็นคนดูแลเด็กจากสถานศึกษาต่างๆ ต้องมาร่วมประชุมกันเพื่อเตรียมงานทุกอย่างก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
“พูดอะไรเหลวไหลอย่างนั้น” ชิวเทียนสวนกลับมาด้วยความไม่พอใจทันที “น้ำหนักขึ้นที่ไหน เดือนนี้ข้าน้ำหนักลดไปตั้งสองจินเชียว ลิงผอมอย่างท่านจะไปรู้เรื่องอะไร เอาเวลาที่จะมาสนใจน้ำหนักของข้า ไปสนใจว่าทำอย่างไรไม่ให้สถานศึกษากระบี่ที่สามของท่าน ต้องกินบ๊วยเหมือนเดิมจะดีกว่า”
ดูเหมือนว่าชายอ้วนจะไม่ชอบให้ใครพูดถึงเรื่องน้ำหนักของตนเองจริงๆ
ติงซานฉือหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “หาว่าพวกเรากินบ๊วย แต่สถานศึกษาที่หกของท่านสอบได้เพียงที่ 5 เท่านั้น ท่านก็ไม่ได้แตกต่างจากพวกเราเท่าไหร่นักหรอก…พูดแบบนี้ออกจะหักหาญน้ำใจกันเกินไปหน่อยกระมัง”
“โถ แม้ว่าสถานศึกษาที่หกของพวกเราจะมีอันดับดีกว่าพวกท่านแค่อันดับเดียว แต่อย่างน้อยการแข่งขันในครั้งนี้ เราก็มีตัวแทนเข้าร่วมถึง 7 คน แต่พวกท่านนั้นเล่า ครั้งนี้มีปัญญาคัดเลือกมาได้แค่ 4 คนเท่านั้น เกรงว่าพวกท่านคงต้องกลับบ้านมือเปล่ากันอีกแล้ว”
ชิวเทียนสวนกลับมาอย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน
ติงซานฉือเค้นเสียงตอบกลับไปว่า “ความสำเร็จเขาวัดกันที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ ลูกศิษย์ทั้ง 7 คนของท่าน ดีไม่ดีอาจสู้ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ การสอบครั้งนี้พวกท่านฝากความหวังไว้ที่อัจฉริยะหน้าใหม่นามว่าหลินเป่ยเฉิน แต่ถ้าหากสถานศึกษาของพวกท่านมีอัจฉริยะอยู่จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามุดหัวอยู่ที่ไหน? อยู่ดีๆ ก็โผล่มา ใครจะไปเชื่อถือได้ลงคอ พวกท่านถึงกับต้องหยิบจับหลินเป่ยเฉินผู้เป็นแกะดำประจำเมืองมาเป็นตัวแทนสถาบันอย่างนี้ นับว่าเหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุไม่มีผิด”
ชิวเทียนหัวเราะเหยียดหยาม ชั้นไขมันที่อยู่บนใบหน้าของเขากระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ
หลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกเหมือนโดนพาดพิงอย่างไม่เป็นธรรม
“พวกท่านมีเรื่องกันก็มีไปสิ ทำไมต้องลากข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า?”
“เฮอะ เรื่องแบบนี้พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง รอดูการแข่งขันจริงๆ กันดีกว่า เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะได้หัวเราะทีหลังกันแน่”
การปะทะคารมครั้งนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ติงซานฉือไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงทำเป็นท่องสุภาษิตโบราณ ก่อนพาลูกศิษย์ทั้งสี่คนเดินเข้าไปรายงานตัวบริเวณแผ่นหินที่ตั้งอยู่ใจกลางลานจัตุรัส
ชิวเทียนและศิษย์ทั้ง 7 คนของเขาพากันยิ้มเยาะเย้ยหยันด้วยความดูแคลน
นับดูในเมืองหยุนเมิ่ง นอกจากสถานศึกษากระบี่หลวงแล้ว ในกลุ่มสถานศึกษากระบี่ทั้งหก สถานศึกษากระบี่ที่สามนั้นเคยเป็นผู้ที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากที่สุด แต่ในปัจจุบัน ระดับความสามารถของพวกเขาต่ำเตี้ยจนกินบ๊วยอันดับ 6 มาหลายสิบปีติดๆ กัน ไม่สามารถโงหัวขึ้นมามองหน้าผู้ใดได้มานานมากแล้ว
ครั้งนี้มันก็คงเหมือนเดิม
ตราบใดที่สถานศึกษากระบี่ที่สามยังอยู่ คนของสถานศึกษากระบี่ที่หกก็จะไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์
…
พวกของหลินเป่ยเฉินมาถึงใจกลางจัตุรัสเรียบร้อยแล้ว
ด้านหน้าแท่นหินใหญ่ มีโต๊ะม้าหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ และผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะในขณะนี้ก็คือชายชราคนหนึ่ง
หลี่ชิงสวน
ดูเหมือนว่าผู้สังเกตการณ์พิเศษคนนี้ จะรับหน้าที่ดูแลการทดสอบรอบสุดท้ายด้วยเช่นกัน
“ศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม พวกเจ้าจงบอกชื่อ อายุ ความสูงและน้ำหนักของพวกเจ้ามา”
หลี่ชิงสวนสอบถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ราวกับว่าไม่เคยรู้จักพวกของหลินเป่ยเฉินมาก่อน
ติงซานฉือรายงานข้อมูลของศิษย์ทั้งสี่คนด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ
“ตรวจสอบเรียบร้อย เชิญเข้าไปเปลี่ยนชุด”
หลี่ชิงสวนโบกมือส่งสัญญาณ
จอมยุทธ์ในเครื่องแบบนักรบที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหินแยกพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสี่คนออกเป็นกลุ่มชายหญิง หลังจากนั้น ก็พาพวกเขาเข้าไปค้นตัวในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างละเอียด
นอกจากค้นเสื้อผ้าแล้ว แม้แต่เส้นผม รองเท้า หรือบริเวณจุดสงวนในร่างกาย ก็ถูกตรวจค้นเช่นกัน
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการเรียบร้อย ทุกคนก็ถูกส่งตัวเข้าสู่ห้องอาบน้ำ
จากนั้น ศิษย์ผู้เข้ารับการสอบคัดเลือก ก็ต้องเปลี่ยนมาสวมใส่เครื่องแบบชุดเกราะหนัง ซึ่งเป็นเครื่องแบบของศิษย์ที่อยู่ในค่ายแห่งนี้
ส่วนเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวจะถูกนำไปเก็บไว้ที่อื่นเป็นการชั่วคราว และได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ในค่ายเป็นอย่างดี เมื่อการสอบสิ้นสุดลง ทุกคนก็จะได้ข้าวของกลับคืน
มีเพียงอาวุธคู่กายเท่านั้นที่สามารถพกติดตัวได้ตลอดเวลา
“เข้มงวดจังเลยแฮะ”
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่คุณธรรมในมือ อดบ่นออกมาไม่ได้เมื่อเจอกับขั้นตอนมากมายระหว่างการรายงานตัว
เมื่อเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของบุรุษ หลินเป่ยเฉินก็ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก
“นั่นใครน่ะ? ทำไมหล่อจังเลย”
“เขามาจากสถานศึกษาไหนกัน? ไม่เห็นบอกเลยว่ามีคนหล่อระดับนี้เข้าแข่งขันด้วย”
“โอ้โห ถึงจะใส่ชุดเกราะหนังเหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงได้ดูดีขนาดนี้เนี่ย?”
พลัน รอบกายเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบเกี่ยวกับความหล่อเหลาของเขา
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
เกิดมาเป็นคนหล่อมันรู้สึกอย่างไรน่ะหรือ?
เด็กหนุ่มคิดว่าตอนนี้ตนเองมีคำตอบสำหรับคำถามของซือหูแล้ว
“เกิดมาหล่อมันมีประโยชน์แบบนี้นี่เอง อุวะฮ่าฮ่าฮ่า”
หลังจากเปลี่ยนมาใส่ชุดเครื่องแบบของค่ายทดสอบ หลินเป่ยเฉินยิ่งดูดีมีสง่าราศีมากขึ้น
อู๋เสี่ยวฟางที่เดินมาด้วยกัน นับเป็นหนึ่งในหนุ่มหล่อประจำสถานศึกษากระบี่ที่สาม แต่เมื่อมาเทียบกับหลินเป่ยเฉินแล้ว เขาก็กลายเป็นเหมือนขอทานข้างถนนไปในทันที