เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 458 ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถิด
ตอนที่ 458 ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถิด
บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
หลินเป่ยเฉินได้รับการคุ้มครองจากบุคคลปริศนา บังเกิดม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมร่างกาย ทำให้กระบี่พเนจรฉู่ฉู่เซียวไม่สามารถโจมตีได้สำเร็จ นั่นจึงเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มตอบโต้กลับไป แล้วศีรษะของฉู่ฉู่เซียวก็มีอันต้องระเบิดกระจุยไปในแสงสว่างวาบนั้น
เมื่อทุกคนสลัดหลุดออกจากความตกตะลึง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ศพไร้หัวของกระบี่พเนจร ผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6 ล้มโครมลงไปบนพื้นเวที
จูปี้ฉีที่กำลังประคองร่างเจียงจี้หลิวเบิกตามองด้วยความเหลือเชื่อ
น้องรองตายแล้วหรือ?
นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา
ไม่กี่อึดใจก่อน จูปี้ฉียังรู้สึกโกรธแค้นที่เจียงจี้หลิวได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ ณ ขณะนี้ มือกระบี่ผู้เป็นองครักษ์ลำดับที่ 2 ประจำตัวเว่ยหมิงเฉิน กลับต้องเสียชีวิตลงแล้ว
นี่คือสิ่งที่ไม่สมควรเป็นไปได้เด็ดขาด
“น้องรอง!!”
ดวงตาของจูปี้ฉีถลนแทบจะหลุดออกจากเบ้า
เขาโอบกอดร่างของกระบี่พันหน้าอยู่ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ถลาเข้าไปหาร่างที่ไร้ชีวิตของฉู่ฉู่เซียว แต่เมื่อได้เห็นสภาพศพในระยะใกล้ชิด จูปี้ฉีก็รู้ดีว่ากระบี่พเนจรได้จากไปแล้วตลอดกาล
“หลินเป่ยเฉิน!!”
จูปี้ฉีเงยหน้าขึ้นระเบิดเสียงคำราม
หลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่บนเวที ร่างกายแปดเปื้อนด้วยคราบโลหิต จ้องมองชายชราโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ
ไม่มีความหวาดกลัวในแววตาของเด็กหนุ่ม
“พวกเจ้าไม่รู้จักคำว่าเวรกรรมตามสนองบ้างหรือไง” หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “ในเมื่อฆ่าคนอื่นมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตเพราะถูกผู้อื่นฆ่าตายเช่นนี้แล ยังจะมีอะไรให้คับแค้นใจอีกหรือ?”
“ประเสริฐ”
จูปี้ฉีกัดฟันกรอด “ประเสริฐมาก”
เขาประคองร่างเจียงจี้หลิวที่บาดเจ็บสาหัสด้วยมือข้างหนึ่งและโอบอุ้มศพของฉู่ฉู่เซียวด้วยมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
การต่อสู้ที่ควรเป็นโอกาสสังหารหลินเป่ยเฉิน จบลงด้วยหายานะของพวกเขา
1 ใน 4 ขององครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉินต้องเสียชีวิต และอีกหนึ่งคนนั้นก็อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส
หัวใจของจูปี้ฉีจึงร้อนรุ่มด้วยไฟแค้นที่แผดเผา
ชายชรารู้สึกอยากจะชักกระบี่ออกมาสังหารผู้คนให้ตกตายไปตามกัน
ไม่ว่าเขาเดินไปตรงไหน ผู้คนบริเวณนั้นก็จะแหวกออกเป็นทาง
แต่เมื่อไปถึงสุดทางเดินของลานจัตุรัส กลับมีร่างของใครบางคนยืนขวางทางไม่ยอมหลีกหนี
“ถอยไปซะ!” จูปี้ฉีระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับแผ่จิตสังหารออกไป
มวลอากาศที่ปั่นป่วนกระทบเข้าถึงตัวบุคคลผู้ขวางทาง
จูปี้ฉีอยากฆ่าคน
มีเพียงการฆ่าคนเท่านั้นถึงจะบรรเทาความโกรธแค้นในจิตใจของเขาได้
แต่อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ยืนขวางทางกลับสามารถสลายจิตสังหารของจูปี้ฉีลงไปได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
นี่มันอะไรกัน?
จูปี้ฉีเงยหน้าขึ้นมาทันทีและเขาก็ต้องเบิกตาโตอีกครั้งด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นหน้าของผู้ที่ยืนขวางทางเต็มๆ ตา
“คุณชายเหลียนซาน” ชายชรารีบวางร่างของเจียงจี้หลิวลงกับพื้น และประสานมือทำความเคารพด้วยความอ่อนน้อม
“เป็นข้าเอง”
บุคคลที่ถูกเรียกว่าคุณชายเหลียนซานพยักหน้าเล็กน้อย
เขาเป็นชายหนุ่มที่แต่งตัวในชุดบัณฑิตคนหนึ่ง มีอายุ 27 – 28 ปี ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับดุจดวงดาวบนฟากฟ้ายามราตรี ผิวขาวเนียนปราศจากราคี ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่ผู้คนจ้องมองจะรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นบัณฑิตจอมปลอมเสียอย่างนั้น
พินิจจากลักษณะท่าทีของจูปี้ฉี สถานะของชายหนุ่มผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา
อย่างน้อยก็มีความสูงส่งมากกว่าองครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉิน
คุณชายเหลียนซานมีสีหน้าสงบสุขุม ปราศจากความเดือดดาล
เขาหันมาชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินเพียงเล็กน้อยก็เบือนหน้าหนีไป
ดวงตาของคุณชายเหลียนซานจ้องมองไปยังทิศทางที่ตั้งของวิหารเทพกระบี่
“ในช่วงบ่ายของอีก 7 วันนับจากนี้ พวกเราจะทำการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าประจำเมืองหยุนเมิ่ง ขอให้พวกท่านจงเตรียมตัวให้พร้อม อย่าได้สร้างความผิดพลาดขึ้นมาเด็ดขาด”
คุณชายเหลียนซานเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาด้วยความเชื่องช้าแต่ทว่าหนักแน่น
พูดจบแล้ว เขาก็ยกมือโบกสะบัดแขนเสื้อ
รัศมีสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายวูบวาบในอากาศ
แล้วตัวของคุณชายเหลียนซาน พร้อมด้วยจูปี้ฉี เจียงจี้หลิว และร่างที่ไร้ชีวิตของฉู่ฉู่เซียว ก็หายวับไปจากลานจัตุรัสของสถานศึกษากระบี่ที่สามในลมหายใจต่อมา
หลังจากนั้น บรรยากาศก็กลับคืนสู่ความผ่อนคลายอีกครั้ง
แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นเพียงความรู้สึกของชาวเมืองทั่วไป
เมื่อไม่มีพลังกดดันหนักหน่วงคอยกดทับร่างกาย บรรดาชาวเมืองก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นปลาน้อยที่ขึ้นมาเกยตื้นบนชายฝั่ง แต่ในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือปล่อยคืนกลับลงทะเลอีกครั้ง
ติงซานฉือและคณะอาจารย์อาวุโส รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของทางการอย่างฉุยเฮาเฟิง ต่างก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
เพราะประโยคสุดท้ายที่คุณชายเหลียนซานได้หล่นคำพูดเอาไว้ คือเรื่องราวที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า!
คำพูดประโยคนี้ก้องกังวานในหูของพวกเขาไม่ต่างไปจากเสียงอสนีบาต
หัวใจเต้นรัวเร็วดั่งกลองตี
บนเวทีประลอง
หลินเป่ยเฉินกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก
แม่งเอ๊ย
ทำไมไอ้คุณชายอะไรนั่นต้องมาปรากฏตัวตอนนี้ด้วยวะ?
พี่แกเล่นขโมยซีนเขาไปหมดเลยนี่หว่า
ให้ตายสิ…
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่ายิงปืนสามนัดซ้อนจนพลังลมปราณไม่เพียงพอที่จะใช้งานปืนอินทรีหิมะได้อีกต่อไป รับรองได้เลยว่าคุณชายเหลียนซานไม่มีทางรอดชีวิตกลับออกไปจากที่นี่ได้เด็ดขาด
เฮ้อ!
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง
ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาหนักหน่วง
การใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณตามด้วยการใช้กระสุนลมปราณจากปืนอินทรีหิมะ ทำให้พลังลมปราณในร่างกายของหลินเป่ยเฉินถูกสูบออกไปเกือบหมดสิ้น และนั่นก็ทำให้ขณะนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกอยากจะหลับตาล้มตัวลงนอนเต็มแก่แล้ว
แต่ว่า…
เขายังหลับไม่ได้
เขายังโฆษณาสินค้าไม่ครบ
ถ้าเกิดการแข่งขันครั้งนี้จบลง โดยที่หลินเป่ยเฉินโฆษณาสินค้าให้ลูกค้าไม่ครบถ้วน มันจะกลายเป็นประวัติด่างพร้อยในฐานะนักโฆษณา และอาจทำให้โอกาสหน้า กว่าที่ลูกค้ายอมจ่ายเงินให้เขา ก็คงมีความยากลำบากมากกว่าเดิมแล้ว
และก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ
หลินเป่ยเฉินไม่อยากคืนเงินค่าโฆษณาที่รับมาแล้ว
“ทุกท่านโปรดฟังให้ดี ขณะนี้พวกท่านกำลังอยู่ในการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีประจำปี 8888 ตามปฏิทินกวงหมิง และข้าคือผู้ชนะการประลองกระบี่ประจำปีนี้ นอกจากนั้น ข้ายังเป็นผู้กวาดล้างสมาคมนักล่าอสูรประจำหุบเขาชายแดนเหนือ แล้วก็ยังเป็นผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่งอีกด้วย…”
เด็กหนุ่มพูดความดีความชอบของตนเองออกมาด้วยความรวดเร็ว
กลุ่มคนดูที่รายล้อมอยู่รอบเวทีเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
ดูสิ
นี่แหละเจ้าเด็กสมองเสื่อมผู้ทรงเสน่ห์ของพวกเรา
หลินเป่ยเฉินสามารถทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้คนได้เสมอ
บางที นี่ก็คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ชาวเมืองรู้สึกหลงรักเด็กหนุ่มจอมเสเพลคนนี้นั่นเอง
“สิ่งที่ข้ากำลังจะแนะนำต่อไปนี้ คือสวนแตงโมประจำภูเขาเสี่ยวซี ผลแตงโมที่ได้จากสวนแห่งนี้จะมีรสชาติหวานหอมอร่อยมากกว่าแตงโมจากสวนอื่น เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ยังช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างให้ผิวพรรณชุ่มชื่น ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่ที่เด็ดสุดเลยก็คือ แตงโมจากสวนภูเขาเสี่ยวซี สามารถทำให้บุรุษหนุ่มคึกคะนองดั่งม้าศึก ออกรบกับคู่ขาของท่านได้ทั้งวันทั้งคืน…”
“เมื่อคิดถึงแตงโมในเมืองหยุนเมิ่ง ก็ต้องคิดถึงสวนแตงโมภูเขาเสี่ยวซีเท่านั้น…”
“นั่นเป็นเพราะว่าแตงโมทุกลูกของที่นี่ ได้รับการเอาใจใส่และดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้าของสวนเถ้าแก่อู๋เฟิ่งกู ผู้ขุดน้ำแร่ธรรมชาติจากใต้ดินมาใช้ในสวนแตงโม… เพื่อรับประกันว่าลูกค้าจะได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด”
เมื่อหลินเป่ยเฉินท่องถ้อยคำโฆษณาที่เขาเขียนขึ้นมาเองก่อนการแข่งขันไม่นานจบลง เด็กหนุ่มก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะมากขึ้นและมากขึ้น
สงสัยหลังจากนี้ เขาต้องปรับประโยคโฆษณาให้กระชับมากกว่านี้เสียแล้ว
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ชิงสวนก็เดินขึ้นมาประกาศผลผู้ชนะการแข่งขันบนเวที
เสียงโห่ร้องดังขึ้นกึกก้องสถานศึกษา
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ
เจ้าแกะดำของพวกเขาสามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้จริงๆ
“หลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า!”
“หลินเป่ยเฉินคือผู้นำของพวกเรา ข้ายินดีที่จะติดตามเขาตลอดไป”
“เมื่อมีผู้ที่ถูกเลือกอย่างหลินเป่ยเฉินอยู่ในเมืองของเรา คนแก่ผู้อ่อนแอเช่นข้า ก็สามารถนอนหลับได้อย่างไว้วางใจแล้ว”
ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญหลินเป่ยเฉิน
แต่ในจังหวะนั้น กลับมีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า
“เงินรางวัลของข้าล่ะขอรับ เงินรางวัลที่ผู้ชนะต้องได้รับน่ะ…”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปข้างหน้าและสอบถามกับหลี่ชิงสวน “เอามาเร็วๆ เลยขอรับ ข้าน้อยขอรับเป็นเงินสดเท่านั้น ห้ามหักภาษีด้วยนะขอรับ…”
หลี่ชิงสวนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
เจ้าเพิ่งได้รับตำแหน่งผู้ชนะ ไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์หน่อยหรือไร
เจ้าหน้าที่ของทางการไม่ว่าจะเป็นฉุยเฮาเฟิง เจิ้นกงหลง หยิงอู๋จีและคนอื่นๆ ต่างก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนเวทีอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ต่อจากนั้นก็เป็นพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ
ใช้เวลา 1 ก้านธูป พิธีการทุกอย่างก็จบลง
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องให้ความร่วมมืออย่างเสียไม่ได้ เมื่อเขาเดินกลับมาถึงตำหนักไม้ไผ่ เด็กหนุ่มก็ทิ้งตัวเข้าไปสู่อ้อมแขนของเฉียนเหมยและซุกใบหน้าของตนเองลงไประหว่างสองเต้าตึงเต่งเด้งดึ๋งของสาวรับใช้ ก่อนที่อีกไม่กี่อึดใจต่อมา หลินเป่ยเฉินจะส่งเสียงกรนด้วยการหลับใหลอย่างสบายอารมณ์อยู่ในอ้อมอกของเฉียนเหมย
“ ฮื่อ…”
สองแก้มของเฉียนเหมยแดงปลั่งราวกับลูกมะเขือเทศ
“ปล่อยให้เขาพักผ่อนก่อนเถิด”
ติงซานฉือว่า
แล้วสองสาวรับใช้ก็ช่วยกันพยุงร่างของหลินเป่ยเฉินกลับขึ้นไปบนห้องนอน
ส่วนคนที่เหลือนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันและรอคอยอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง