เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 459 หลังความโกลาหล
ตอนที่ 459 หลังความโกลาหล
มณฑลเฟิงอวี่
เมืองหลวงประจำมณฑล
เมืองเจาฮุย
สำนักศึกษาระดับสามัญที่หก
ตึกตะวันออก สาขาค่ายอาคม
ห้องโถงใหญ่
เยว่หงเซียงมีสีหน้าสงบเยือกเย็นลงแล้ว
แต่รอบตัวนางยังเต็มไปด้วยสรรพเสียงแห่งความวุ่นวายโกลาหล
เพราะภาพที่ปรากฏบนหน้าจอถ่ายทอดสดมันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป
ไม่มีใครคิดเลยว่าการแข่งขันกระชับมิตร จะดำเนินมาถึงจุดจบที่โหดร้ายเช่นนี้
เว่ยหมิงเฉินได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดมือกระบี่รุ่นใหม่ของจักรวรรดิ เขาสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีอย่างปาฏิหาริย์ และมือกระบี่ผู้เป็นองครักษ์ของเขาทั้ง 4 คนก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น องครักษ์ลำดับที่ 4 เจ้าของฉายากระบี่พันหน้า ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเจียงจี้หลิว ยังเป็นผู้คว้าตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเจาฮุยแห่งนี้อีกด้วย แล้วไหนจะองครักษ์คนอื่นๆ อย่างเช่นจูปี้ฉีหรือฉู่ฉู่เซียวอีก …พวกเขาต่างก็เป็นมือกระบี่ระดับยอดฝีมือทั้งสิ้น!
แต่ทุกคนก็ต้องตกตะลึงไปกับฝีมือที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน
เขามีความแข็งแกร่งมากเกินไป
“เพียงกระบี่เดียวของหลินเป่ยเฉิน ก็มีอานุภาพรุนแรงถึงขนาดนี้แล้วหรือ”
“โจมตีเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถสังหารผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ได้แล้วเนี่ยนะ?”
“ในโลกนี้จะมีใครไม่อยากแข็งแกร่งเหมือนหลินเป่ยเฉินบ้าง?”
“ดูอย่างศิษย์พี่เจียงของพวกเราสิ มีพลังถึงขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 4 แต่กลับไม่สามารถตั้งรับการโจมตีของหลินเป่ยเฉินได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว”
“อย่าว่าแต่ศิษย์พี่เจียงเลย แม้แต่กระบี่พเนจรฉู่ฉู่เซียวที่มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 6 ก็ยังไม่รอดแล้ว”
“แต่ตอนนั้นเป็นเพราะว่ามีม่านพลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองร่างกายหลินเป่ยเฉินต่างหาก ทำให้กระบี่พเนจรที่กำลังตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ทันระวังตัว หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้ลอบโจมตีอย่างหน้าไม่อาย แล้วพวกเราจะนับเขาเป็นยอดฝีมือได้อย่างไร…”
“แต่กระบี่พเนจรเป็นคนลอบโจมตีหลินเป่ยเฉินก่อนนะ”
“ใช่แล้ว หลินเป่ยเฉินมีหน้าตาที่หล่อเหลาจังเลย ข้าว่าข้าตกหลุมรักเขาแล้วล่ะ”
“ยิ่งตอนที่เขาเอาเลือดย้อมหัวตัวเองด้วยนะ ดูดีที่สุดเลย”
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าเมืองบ้านนอกอย่างหยุนเมิ่ง จะมียอดอัจฉริยะเช่นนี้อยู่เหมือนกัน”
“เห็นทีพวกเราคงประมาทเมืองบ้านนอกไม่ได้เสียแล้ว…”
ในขณะที่ศิษย์ทุกคนยังคงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เยว่หงเซียงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า
หลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว
แข็งแกร่งจนนางทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังของเขาต่อไป
เยว่หงเซียงรู้สึกยินดีกับเด็กหนุ่มมากจริงๆ
แต่ก็อดรู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้
เพราะนี่หมายความว่าถ้านางอยากจะเป็นสตรีที่สามารถยืนหยัดอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินได้อย่างภาคภูมิใจ
เยว่หงเซียงก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้มากกว่านี้
เด็กสาวกำลังคิดด้วยความเศร้าระหว่างที่เดินออกจากห้องโถงใหญ่ แต่ในทันใดนั้น กลับมีร่างของใครคนหนึ่งเดินมายืนขวางทาง
ผู้ที่มายืนขวางทางเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีฟ้าประดับเลื่อมพรายเป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้ามีรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ พูดว่า “ศิษย์น้องเยว่ สำนักเก็บดาราของเรากำลังอยากได้สมาชิกใหม่ ข้านำใบสมัครมาให้เจ้ากรอก ได้ข่าวว่าเจ้าอยากเข้าสำนักนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ?”
ขณะพูด กระดาษที่เขียนลวดลายค่ายอาคมเบื้องต้นก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
สำนักเก็บดารา เป็นชื่อของกลุ่มคนที่โด่งดังในสาขาผู้ใช้ค่ายอาคม โดยเฉพาะสำหรับศิษย์ชั้นปีที่ 1 ในสำนักศึกษากระบี่ระดับสามัญที่หกแห่งนี้
ในเมืองเจาฮุยมีสำนักสำหรับผู้ใช้ค่ายอาคมอยู่ทั้งหมด 100 แห่ง และสำนักเก็บดาราก็มีตำแหน่งอยู่ในลำดับที่ 67
และยังได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ในสำนักศึกษากระบี่ระดับสามัญที่หกอีกด้วย
แต่ละปีพวกเขาจะเปิดรับสมาชิกใหม่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ผู้สมัครจำนวนหลายร้อยคน จะต้องแสดงความสามารถออกมาให้โดดเด่นที่สุด ถึงจะมีโอกาสได้กรอกใบสมัครที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเยว่หงเซียงในขณะนี้
เด็กสาวอยากเข้าเป็นสมาชิกสำนักเก็บดาราเสมอมา ยิ่งนางได้พูดคุยกับเหล่าคณะอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็ยิ่งมีความมั่นใจว่าตนเองจะต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกสำนักนี้ให้ได้ อาจารย์หลายท่านถึงกับยินดีฝึกสอนพิเศษเพื่อให้นางผ่านการคัดเลือกประจำปี และหากเยว่หงเซียงสามารถทำได้สำเร็จ เด็กสาวก็มั่นใจว่านี่จะเป็นหนทางสู่การพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งได้มากขึ้นแน่นอน
นางตั้งใจแล้วว่าในอนาคตข้างหน้า จะต้องเป็นผู้ใช้ค่ายอาคมระดับอาชีพให้ได้
เพราะเด็กสาวได้ค้นพบว่าผู้ใช้ค่ายอาคมที่เก่งกาจมีจำนวนน้อยมาก
เมื่อมีจำนวนน้อย ผู้คนก็สามารถโดดเด่นได้ไม่ยาก
และผู้ใช้ค่ายอาคมที่โดดเด่น ก็จะได้รับคำเชิญให้ทำงานร่วมกับทางการในฐานะขุนนางหลวง
เยว่หงเซียงจ้องมองเด็กหนุ่มที่มายืนอยู่ตรงหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าอยากได้ใบสมัครด้วยความสามารถที่แท้จริงของตนเองมากกว่า ต้องขอบคุณท่านมากสำหรับความเมตตาในครั้งนี้ แต่ได้โปรดศิษย์พี่นาหลานอย่าสร้างความลำบากใจให้แก่ข้าอีกเลย… ”
พูดจบ เยว่หงเซียงก็เดินอ้อมเด็กหนุ่มรุ่นพี่ไปยังประตูทางออกโดยไม่ชะลอฝีเท้าแม้แต่น้อย
ศิษย์พี่นาหลานตกตะลึง
บรรดาศิษย์คนอื่นๆ เริ่มยืนจับกลุ่มซุบซิบพร้อมกับจ้องมองมาที่เขา
ศิษย์พี่นาหลานเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ในสาขาค่ายอาคมแห่งนี้
นอกจากเขาจะเป็นผู้ใช้ค่ายอาคมที่มีพรสวรรค์แล้ว เด็กหนุ่มยังมีหน้าตาหล่อเหลา เป็นหนุ่มในฝันของเด็กสาวร่วมสถาบันจำนวนมาก ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ไหน ก็มักจะมีเด็กสาวหน้าตาดีมาห้อมล้อมอยู่เสมอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เด็กสาวหน้าตาจืดชืดธรรมดาคนหนึ่ง กลับเมินเฉยใส่เขาเสมือนเป็นวิญญาณไร้ตัวตน
“ฮ่าฮ่า น่าสนใจดีนี่นา…”
ศิษย์พี่นาหลานจ้องมองแผ่นหลังของเยว่หงเซียงที่เดินลับสายตาไป รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาด้วยความพึงพอใจ
นับเป็นสตรีที่หาได้ยากนัก
…
ตำหนักไม้ไผ่
เย็นย่ำค่ำแล้ว
ปลายฤดูใบไม้ร่วง
อากาศหนาวเย็นมากขึ้น
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าบุคคลที่มีลักษณะภายนอกดูดีและสูงส่งอย่างเจียงจี้หลิว กลับกระทำการชั่วร้าย จับตัวคนไปเพื่อบีบบังคับให้หลินเป่ยเฉินลงนามในสัญญาส่งมอบความตาย นับว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานจริงๆ”
ฉุยหมิงโหลวพูดออกมาแล้วก็อดสบถก่นด่าไม่ได้
“เขาคงอิจฉาที่พี่เป่ยเฉินหล่อกว่าเขานั่นแหละเจ้าค่ะ”
ฮันปู้ฮวยว่า
“ถ้าอย่างนั้น…”
เถียนเถียนพลันปิดสมุดบันทึกของตนเองลงอย่างกะทันหัน และเงยหน้าถามขึ้นมาว่า “ข้าเพิ่งคิดออกได้เรื่องหนึ่ง พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็มีโอกาสถูกเจียงจี้หลิวจับตัวไป เพื่อบังคับให้หลินเป่ยเฉินลงนามในสัญญาความตายฉบับนั้นได้เหมือนกันสินะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ไป๋ชินหยุนตอบกลับมาทันที “ประการแรก ท่านไม่ใช่สหายของหลินเป่ยเฉิน และประการที่สอง ต่อให้ท่านตาย หลินเป่ยเฉินก็คงไม่ใส่ใจ เรียกว่าเขาคงไม่เหลือบตามองศพของท่านให้เสียเวลาด้วยซ้ำ”
เถียนเถียนพูดอะไรไม่ออก
แต่ความอับอายคือหนทางสู่ความสำเร็จ
อาจารย์หนุ่มปลอบใจตัวเองด้วยการเปิดสมุดบันทึก อ่านข้อความบนหน้ากระดาษแผ่นแรก และไม่พูดอะไรกับไป๋ชินหยุนอีก
“ดูเหมือนจะมีเรื่องที่เราไม่รู้อยู่อีกมากนัก”
หัวใจของฉู่เหินกระตุกวูบด้วยความสงสัย เขาหันไปถามกับหวังจงว่า “พ่อบ้านหวัง เจ้าคงพอจะมีเบาะแสอะไรบ้างกระมัง?”
หวังจงมีสีหน้าสดใสเพราะโอกาสพูดสำหรับเขามาถึงแล้ว “แน่นอนขอรับ คำว่าจงในชื่อหวังจงมาจากคำว่าจงรักภักดี ซึ่งหมายความว่าหวังจงเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์กับนายน้อยมากที่สุดแล้ว หวังจงได้รู้ข้อมูลมาว่านายน้อยมีเพื่อนอยู่ในตัวเมือง และเพื่อนของนายน้อยคนนั้นก็คือกงกง กงกงและครอบครัวของเขาถูกลักพาตัวไปขอรับ พวกมันตัดมือกงกงส่งมาให้นายน้อยพร้อมกับขู่ว่า ถ้านายน้อยไม่ยอมลงนามในสัญญาส่งมอบความตายฉบับนั้น มืออีกข้างของกงกงก็จะถูกตัดส่งมาให้ในอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง…”
“กงกง?”
หลิวฉีไห่ชะงักไปเล็กน้อย “ใช่ครอบครัวตระกูลกง ที่มีคนไปช่วยเหลือมาจากกระท่อมร้างหรือเปล่า?”
พานเว่ยหมินได้ยินดังนั้นก็นึกออกทันที “เห็นว่าคนที่เข้าไปช่วยก็คือวีรบุรุษหน้ากากแดงใช่ไหม?”
ฉู่เหินกล่าวเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าหลินเป่ยเฉินรู้จักวีรบุรุษหน้ากากแดงน่ะสิ?”
คำตอบของปริศนาเริ่มปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคนแล้ว
พวกเขาจ้องมองไปที่หวังจงเป็นตาเดียว
หวังจงไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี
แย่แล้วสิ
ดูเหมือนเขาจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว
“เอ่อ… ดูเหมือนเขาจะเป็นสหายของนายน้อยจริงๆ นั่นแหละขอรับ”
แต่อย่างไรก็ตาม หวังจงรีบพูดต่อทันที “เพื่อหาทางช่วยเหลือครอบครัวของกงกง นายน้อยจึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากสหายสนิท เห็นว่านายน้อยมีสหายอยู่มากมายซ่อนอยู่ภายในตัวเมือง และวีรบุรุษหน้ากากแดงก็คงจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอนขอรับ”
เฮ้อ
นายน้อยตื่นมาจะฆ่าเขาไหมเนี่ย?
หวังจงได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
“อ๋อ…”
ฉู่เหินพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมายและไม่ซักถามต่อ
“ทำไมข้าถึงไม่รู้ล่ะว่าหลินเป่ยเฉินมีสหายที่เก่งกาจขนาดนี้อยู่ด้วย?” ไป๋ชินหยุนกลับกลายเป็นคนที่ยกมือกอดอกและโพล่งถามออกมาด้วยความสงสัย “วีรบุรุษหน้ากากแดงคนนั้น มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เชียวนะ”
“คนเรามีความลับกันทั้งนั้นแหละ”
หลิวฉีไห่ตัดบทข้อสงสัยของไป๋ชินหยุน
ตัวเขาเอง ฉู่เหิน และพานเว่ยหมิน สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าในขณะนี้ต่างฝ่ายต่างคิดอะไรอยู่
ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าหลินเป่ยเฉินไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา
ต้องไม่ลืมว่าบิดาของเขาเคยเป็นถึงขุนนางนักรบแห่งสวรรค์
ด้วยบุคคลที่มีตำแหน่งสูงส่งเช่นนั้น ยามที่หายตัวไปและทิ้งให้บุตรชายสุดที่รักเผชิญความยากลำบากอยู่เพียงลำพัง บิดาของหลินเป่ยเฉินก็คงจะต้องหลงเหลือกำลังคนยอดฝีมือเอาไว้ เพื่อคอยดูแลบุตรชายบ้างไม่มากก็น้อย
นี่คือเรื่องราวที่ไม่สามารถสอบถามรายละเอียดได้เด็ดขาด
หากถามมากเกินไป ก็จะเป็นผลเสียต่อตัวของหลินเป่ยเฉินเอง
“มาตัดบทแบบนี้กันได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
ไป๋ชินหยุนพูดด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหยิบบัตรเงินสดสีดำทมิฬขึ้นมาปาใส่หน้าหวังจง “ช่างมันเถอะ เจ้ารีบไปที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง แล้วซื้อหาอาหารที่ดีที่สุดมาอย่างละ 2 ชุด วันนี้ข้าจะเลี้ยงฉลองพวกเรา เนื่องในโอกาสที่หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี เจ้าจงใช้เงินในบัตรใบนี้ได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจนะ อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า”
“รับทราบแล้วขอรับ”
หวังจงประคองบัตรด้วยสองมืออย่างนอบน้อม “คุณหนูไป๋ไม่ต้องเป็นกังวล คำว่าจงในชื่อหวังจงมาจากจงรักภักดี เรื่องการใช้จ่ายเงินมือเติบ ไม่มีใครจะเก่งกาจมากไปกว่าหวังจงอีกแล้ว หวังจงจะไม่ทำให้คุณหนูต้องผิดหวัง…”
“รีบๆ ไปได้แล้วน่า”
ไป๋ชินหยุนออกคำสั่ง
หลังจากนั้น หวังจงก็รีบออกไปจากตำหนักไม้ไผ่โดยเร็ว
เพียงไม่นาน กลิ่นหอมของอาหารและเครื่องดื่มก็ตลบอบอวลไปทั่วตำหนักไม้ไผ่
“ว่าแต่ว่าเจ้าคุณชายเหลียนซานอะไรนั่น เป็นใครมาจากไหนกันเจ้าคะ ท่าทางสถานะของเขาคงสูงส่งไม่ใช่น้อย”
ไป๋ชินหยุนดื่มสุราจนเมามาย นางถามออกมาในขณะที่สุราไหลหยดลงไปตามคอเสื้อจนเปียกชุ่ม
เมื่อเด็กสาวถามประโยคนี้ออกมา ติงซานฉือ ฉู่เหิน พานเว่ยหมินและหลิวฉีไห่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที
ติงซานฉือตอบว่า “คุณชายเหลียนซานน่าจะเป็นหนึ่งในสามผู้ใช้ค่ายอาคมที่โด่งดังที่สุดในมณฑลเฟิงอวี่ มีข่าวลือว่านอกจากเขาจะมีความชำนาญเรื่องการสร้างค่ายอาคมทั่วไปแล้ว เขายังมีความชำนาญเรื่องการสร้างค่ายอาคมในทุกรูปแบบ เห็นว่าทางจักรวรรดิจี้กวงอยากจะได้ตัวเขาไปเป็นคนของตัวเองด้วยซ้ำ แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาได้เข้าร่วมกับสำนักผู้ตรวจการประจำเมืองเจาฮุย และมีสถานะเป็นขุนนางกินเงินหลวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
“นั่นไงล่ะ คิดเอาไว้ไม่ผิด”
ไป๋ชินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ออกทรงนี้เขาก็คงเป็นกุนซือ หรือไม่ก็ผู้ช่วยคนสนิทของเว่ยหมิงเฉินแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมจูปี้ฉีถึงกับต้องยอมก้มหัวให้เจ้าคุณชายนั่น แต่คิดไม่ถึงเลยนะว่าจูปี้ฉีที่มีระดับพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย กลับสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองได้ลงคอ”
ฉู่เหินยกจอกสุราขึ้นจิบดับความกระหาย ก่อนจะกัดเนื้อย่างคำหนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “การปรากฏตัวของคุณชายเหลียนซานน่ะ เราไม่ต้องเป็นกังวลหรอก สิ่งที่เราควรเป็นห่วงก็คือการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 7 วันหลังจากนี้ต่างหาก นั่นแหละปัญหาที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว”
“ถูกต้อง แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยนะว่าการตรวจสอบเช่นนี้ จะมาเกิดขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งของพวกเราซะได้”
พานเว่ยหมินถอนหายใจออกมาหนักหน่วง “ความจริง คนจากเมืองอื่นไม่ควรก้าวก่ายวิหารที่อยู่นอกเหนืออำนาจการบริหารของตนเอง แต่ในเมื่อคุณชายเหลียนซานกล้าประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชน อีกทั้งเป็นการประกาศในขณะที่ยังมีการถ่ายทอดสด นั่นก็หมายความว่านี่เป็นการตรวจสอบที่ผ่านการอนุมัติจากวิหารหลวงมาเรียบร้อยแล้ว… ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
ไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฮวยหันมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
“อาจารย์เจ้าคะ การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้ามันคืออะไรหรือเจ้าคะ?”
ฮันปู้ฮวยถามออกมาด้วยความสงสัย
ไป๋ชินหยุนรีบพูดสนับสนุนว่า “นั่นสิ ข้าเห็นพวกท่านเอาแต่ถอนหายใจ ไม่เห็นมีใครสนใจอธิบายให้พวกเราฟังเลย”
หลิวฉีไห่จึงรับหน้าที่อธิบายเรื่องราวทั้งหมดว่า “การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า เป็นประเพณีการตรวจสอบที่ดำเนินมาตั้งแต่ครั้งโบราณ แรกเริ่มมันเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อกำจัดผู้แอบอ้างในตัวเทพีกระบี่ นี่จึงหมายความว่าคุณชายเหลียนซานกำลังกล่าวหาว่าวิหารเทพประจำเมืองหยุนเมิ่งเป็นสถานที่จอมปลอม และถ้านักบวชในวิหารไม่สามารถอัญเชิญเทพีกระบี่ลงมาได้สำเร็จ นั่นก็หมายความว่าวิหารแห่งนี้จะถูกปรับสถานะลงมาเป็นผู้แอบอ้าง และนักบวชทุกคนต้องถูกฆ่าทิ้งโดยทันที”
ว่าไงนะ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
เรื่องราวเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
หลายคนถึงกับตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว