เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 479 ปล่อยเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
ตอนที่ 479 ปล่อยเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
“เอ่อ…”
องค์หญิงถึงกับจะต้องหมดตัวเลยหรือ?
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยและประสานมือคำนับเฒ่าทะเล “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับอาจารย์ ดีใจที่ท่านยังแข็งแรงดั่งมังกรคึกม้าศึกคะนองไม่เปลี่ยนแปลง”
เฒ่าทะเลได้ยินดังนั้นก็พ่นลมผ่านทางจมูกเหมือนไม่สบอารมณ์ “ถือว่าข้าก็ยังไม่ตายแล้วกัน”
อ้าว?
เฒ่าทะเลไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือน เหตุไฉนถึงมีท่าทีแข็งกระด้างต่อหลินเป่ยเฉินไปเสียแล้ว
เพราะอะไรกันนะ?
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าติงซานฉือที่ยังอยู่ในอ้อมแขนขององค์หญิงแห่งท้องทะเลอย่างครุ่นคิด
เหตุการณ์ยิ่งมายิ่งแปลกประหลาด
เหล่ามือกระบี่ผู้เป็นคนดูโดยรอบ เริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
การประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพันของมือกระบี่อาวุโสทั้งสองท่านจบสิ้นลงแล้ว
ผลการประลองออกมาเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทุกคนคาดคิด
จูปี้ฉีเจ้าของฉายากระบี่สุราโลหิต นอกจากจะพ่ายแพ้ให้แก่ติงซานฉือแล้ว ยังเสียชีวิต ศพจมหายลงไปใต้ท้องทะเลอีกด้วย แม้แต่กระบี่ชื่อดังประจำตัว ก็ยังตกมาอยู่ในมือของลูกศิษย์ติงซานฉือ กลายเป็นของรางวัลให้แก่ฝ่ายตรงข้ามไปเสียอย่างนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้…
ไม่มีใครคิดเลยว่าผลการประลองจะออกมาในรูปแบบนี้
เว่ยหมิงเฉินพร้อมด้วยมือกระบี่ซึ่งเป็นองครักษ์ทั้ง 4 คน สร้างชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วจักรวรรดิ ไม่มีใครสามารถต่อกรกับพวกเขาได้ แต่ในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น สองในสี่องครักษ์ของเขาต้องเสียชีวิตลง ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส บัดนี้ มือกระบี่คู่กายของเว่ยหมิงเฉินจึงหลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวแล้ว
มือกระบี่เหล่านั้นต่างก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์
แต่ทุกคนกลับต้องมาตายเพราะหาเรื่องหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มจอมเสเพลประจำเมืองหยุนเมิ่งนับว่าเป็นดาวมรณะจริงๆ
ใครมีเรื่องกับเขาต้องตาย
เรือลำเล็กและเรือลำใหญ่เริ่มถอนสมอล่าถอยกลับไป
มีเพียงเรือลำใหญ่ของคุณชายเหลียนซานลำเดียวเท่านั้นที่ยังจอดลอยลำอยู่ที่เดิม
“กระบี่สายฟ้าพิโรธเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของนายท่าน ได้โปรดส่งคืนกลับมาด้วย”
คุณชายเหลียนซานยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เสียงของเขาดังลอยมาตามสายลม
“อาจารย์หญิงขอรับ บุคคลผู้นี้แหละที่แอบลอบโจมตีอาจารย์ติงเมื่อสักครู่”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดัง
“ข้าเห็นแล้ว” องค์หญิงแห่งท้องทะเลหันหน้ามองไปที่เรือของคุณชายเหลียนซาน “บุคคลที่ทำให้ติงซานฉือตกอยู่ในอันตราย…ต้องตายไปซะ!”
หลินเป่ยเฉินไม่เห็นนางขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
แต่แล้วลำแสงสีฟ้าก็ระเบิดเจิดจ้าเบื้องหน้าเขา เสาน้ำทะเลที่ยกตัวสูงในอากาศพลันแตกตัวออกกลับกลายเป็นหนวดปลาหมึกที่ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของผิวน้ำ เมื่อมองดูแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงนึกถึงน้ำพุกลีบบัวขนาดยักษ์ เรือลำใหญ่ของคุณชายเหลียนซานถูกดูดเข้ามาในใจกลางน้ำพุกลีบบัวนี้…
ในเวลาเดียวกันนั้น
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง
เสาน้ำอีกต้นหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากก้นทะเล แล้วมันก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ยักษ์ที่เงื้อสูงขึ้นไปในอากาศ หมายจะฟาดลงมาใส่เรือลำใหญ่ของคุณชายเหลียนซาน
หลินเป่ยเฉินได้แต่เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
แข็งแกร่งและรุนแรงเหลือเกิน
นี่ไม่ใช่การใช้พลังลมปราณอีกแล้ว
หรือนี่จะเป็นการใช้เวทมนตร์?
อาจารย์หญิงมีความแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ
ในทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดที่อยากจะเกาะติดองค์หญิงแห่งท้องทะเลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เผ่าทะเลโสโครก คิดแย่งชิงกระบี่สายฟ้าพิโรธของนายท่าน แล้วพวกเจ้าจะต้องเสียใจ”
คุณชายเหลียนซานโบกสะบัดไม้เท้าในมือ
บังเกิดแสงสว่างพุ่งตัวออกมาจากยอดไม้เท้า
ในพริบตานั้น ได้เกิดเป็นประตูมิติปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคุณชายเหลียนซานและบริวาร แล้วในลมหายใจต่อมา ร่างของพวกเขาก็หายวับไปในอากาศ
ครืน!
เรือลำใหญ่ของพวกเขาถูกกลืนหายเข้าไปในคลื่นทะเล ค้อนวารีขนาดใหญ่ยักษ์กระหน่ำฟาดลงมา ทำให้ท้องทะเลเกิดความปั่นป่วนวิปโยค คลื่นพลังงานจำนวนมหาศาลแผ่ขยายไปรอบบริเวณ
น่าเสียดายจริงๆ
เรือลำนี้ถ้าเอาไปขายน่าจะได้ราคาดีไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินแอบคิดด้วยความเศร้า
แต่หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ส่งเสียงปรบมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม “อาจารย์หญิงสุดยอดเลยขอรับ อาจารย์หญิงแข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุด…”
เฒ่าทะเลและนักพรตหญิงชินที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมใจกันขมวดคิ้วนิ่วหน้า
แต่พวกเขาก็คุ้นเคยกับนิสัยเช่นนี้ของหลินเป่ยเฉินดีแล้ว
หลินเป่ยเฉินก็เป็นเช่นนี้แหละ
ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล
“น่าเสียดายที่มันผู้นั้นชำนาญการใช้ค่ายอาคม จึงสามารถสร้างอาคมเคลื่อนย้ายวัตถุนำพาตนเองหลบหนีไปได้สำเร็จ” ลำแสงสีฟ้าในดวงตาขององค์หญิงแห่งท้องทะเลจางหายไป น้ำพุกลีบบัวที่เป็นเหมือนหนวดปลาหมึก รวมไปถึงค้อนวารีขนาดใหญ่ยักษ์ก็สลายหายลงไปใต้มหาสมุทรดังเดิมในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
แต่บาดแผลหลายแห่งบนร่างกายของติงซานฉือยังคงอยู่
นับว่าอาจารย์ของหลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วจริงๆ
“อาจารย์หญิงรีบพาอาจารย์ของข้าเข้าไปรักษาที่ตัวเมืองเถิดขอรับ บัดนี้การรักษาเขาให้ทันเวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด”
หลินเป่ยเฉินให้คำแนะนำ
องค์หญิงแห่งท้องทะเลพยักหน้าเล็กน้อย
สีหน้าของเฒ่าทะเลแปรเปลี่ยนไปทันทีขณะพูดว่า “องค์หญิงขอรับ…”
องค์หญิงกลับยกมือขึ้นโบกสะบัด ตอบว่า “ข้ารู้น่าว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่”
ได้ยินดังนั้น เฒ่าทะเลก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
…
ครึ่งวันต่อมา
พายุฝนยังคงอยู่
สายฝนยังตกกระหน่ำไม่มีสัญญาณว่าจะขาดเม็ด
เมืองหยุนเมิ่งจำเป็นต้องปิดประตูเมืองอย่างไม่มีทางเลี่ยง
เช่นเดียวกับท่าเรือที่ต้องปิดตัวลงเช่นกัน
ท้องถนนในตัวเมืองเริ่มมีน้ำขังระดับหน้าแข้ง มองดูคล้ายกับเป็นแม่น้ำสายเล็ก
ณ วิหารเทพกระบี่ประจำเมือง
หลินเป่ยเฉินกำลังแอบแนบหูลงบนบานประตูหน้าห้องพักห้องหนึ่ง
ในห้องพักที่เงียบสงบนั้น ติงซานฉือผู้ได้รับการรักษาจากนักบวชประจำวิหารได้สติฟื้นคืนมาแล้ว องค์หญิงแห่งท้องทะเลก็อยู่ในห้องนั้นด้วย ชายชราไม่รู้ว่าตนเองสมควรพูดคำใดออกมาดีหรือไม่ เรื่องราวทุกอย่างมันผ่านมานานเกินไป หลินเป่ยเฉินผู้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องรับรู้ได้ว่าบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบนานสองนาน เขาจึงทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ต้องแนบหูลงบนบานประตู เพื่อแอบฟังว่าอาจารย์ของตนเองพูดอะไรบ้างหรือไม่
แต่ยังไม่ทันได้ยินคำใด นักพรตหญิงชินก็ลากแขนเขาเดินออกมาเสียก่อน
กาลเวลาหมุนผ่าน
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สายฝนยังคงโหมกระหน่ำ
หยุนเมิ่งกลายเป็นเมืองแห่งสายน้ำอย่างแท้จริง
ทางหน่วยงานราชการพยายามเยียวยาชาวเมืองอย่างเต็มที่ หอการค้าและสำนักฝากทรัพย์จำนวนมากบริจาคเงินสร้างที่พักชั่วคราวให้แก่ชาวเมืองผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม
แต่ละชั่วยามที่ผ่านไป มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในตัวเมือง
เนื่องจากมีอากวงคอยทำหน้าที่คาบข่าวมาบอกเขาตลอดเวลา หลินเป่ยเฉินจึงรู้สถานการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มถึงกับประหลาดใจในความยอดเยี่ยมทางด้านการจัดการขั้นพื้นฐานต่อเหตุอุทกภัยของจักรวรรดิเป่ยไห่
เมื่อมีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เป็นจำนวนมาก ทางวังหลวงก็ยื่นมือให้ความช่วยเหลือโดยทันที นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แม้จะมีฝนตกหนักเป็นระยะเวลาหลายวัน แต่ก็ยังไม่มีผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว นี่คือความยอดเยี่ยมที่ควรค่าต่อการชื่นชมอย่างแท้จริง
…ความมีเมตตาของบรรดามหาเศรษฐีประจำเมือง ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องพยักหน้าชื่นชม
แม้แต่พ่อค้าวาณิชอย่างเจาโจวหยานกับบุตรชายที่เป็นพวกหน้าเลือดยิ่งกว่าอะไรดี ก็ยังช่วยสมทบทุนกับหอการค้าต่างๆ ร่วมบริจาคเงินก้อนโตให้ชาวบ้านได้คลายทุกข์ด้วยเช่นกัน
ทางด้านโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งก็ไม่น้อยหน้า ในทุกๆ วัน พวกเขาจะแจกข้าวต้มให้ชาวเมืองได้รับประทานโดยไม่คิดเงิน ทำให้หลินเป่ยเฉินยิ่งเคารพเลื่อมใสโรงเตี๊ยมแห่งนี้มากกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่ามันคงดีกว่านี้ ถ้าเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมจะนำชื่อเขาออกจากการเป็น ‘แขกต้องห้าม’ สักทีน่ะนะ
สถานศึกษาทุกแห่งปิดการเรียนการสอน
เหล่าลูกศิษย์จึงไม่มีอะไรทำ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ร่างกายแข็งแรงมากกว่าคนธรรมดา บางคนจึงช่วยงานเจ้าหน้าที่ของทางการ ซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนให้แก่ผู้คน
ส่วนพวกของฉู่เหินเดินทางขึ้นเขามาเยี่ยมติงซานฉืออยู่หลายครั้ง
เซียวปิง ไป๋ชินหยุน เฉียนเหมย เฉียนเจิน ฮันปู้ฮวย หวังจงและคนอื่นๆ ก็เดินทางมาเยี่ยมเช่นกัน เช่นเดียวกับหลินเป่ยเฉินและอากวง
ในขณะนี้ วิหารเทพกระบี่กำลังตกเป็นศูนย์กลางความสนใจ
เมื่อได้เดินเข้าสู่ภูเขาลูกนี้แล้ว ก็หมายความว่าพวกเขาจะได้รับการจับตามองโดยเว่ยหมิงเฉิน
ใครจะรู้บ้างว่ามีอันตรายใดซุกซ่อนอยู่
ยังคงเหลือเวลาอีก 2 วันกว่าจะถึงการตรวจสอบวิหาร
เมืองหยุนเมิ่งอยู่ภายใต้บรรยากาศแห่งความกดดัน
มือกระบี่จากทั่วดินแดนต่างก็แอบเข้าเมืองมาโดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน พวกเขาล้วนจ้องมองวิหารเทพกระบี่บนยอดเขาในเมืองหยุนเมิ่งด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
และก็ยังมีบรรดามือกระบี่ผู้ไม่กลัวความตาย แอบขึ้นเขาไปยามวิกาล แต่ทุกคนก็ต้องเสียชีวิตเพราะเหยียบกับระเบิดของอากวง ทำให้หลังจากนั้น ก็ไม่เคยมีใครกล้าแอบลักลอบขึ้นภูเขามาอีกเลย
อาการบาดเจ็บของติงซานฉือฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงแห่งท้องทะเลช่วยดูแลติงซานฉือไม่ห่างกาย พวกเขาทะนุถนอมกันและกันราวกับเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน หลินเป่ยเฉินถึงไม่อยากเชื่อสายตาแต่เขาก็ต้องเชื่อแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 2 วัน หลินเป่ยเฉินพยายามแอบเงี่ยหูฟังผ่านกำแพงอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลใดๆ มาตอบข้อสงสัย และเมื่อเขาลองถามอาจารย์ติงด้วยตัวเอง อาจารย์กลับไม่ยอมตอบว่าแท้ที่จริงแล้วเรื่องราวในอดีตระหว่างตัวท่านเองกับองค์หญิงแห่งท้องทะเลเกิดอะไรขึ้นกันแน่
โดยเฉพาะเฒ่าทะเลที่มาปรากฏตัวบนยอดเขาทุกวัน แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่จ้องมองวิหารเทพกระบี่ด้วยสายตาแข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องเลิกถามคำถามด้วยความจนใจ
เขากลับมาฝึกวิชาของตนเอง
การโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์คืบหน้ามาได้พอสมควร
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีพลังอยู่ในขั้นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับต่ำแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามไม่รู้เลยว่านางมัวทำอะไรอยู่ จึงไม่เคยอ่านข้อความในแอปวีแชทของเขาแม้แต่ครั้งเดียว
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่านางคงถูกเทพเจ้าที่เป็นศัตรูไล่ล่าเอาอีกแล้ว
วันนี้ สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเบาบางมากขึ้น
อากวงวิ่งนำจดหมายมาส่งให้หลินเป่ยเฉินจากเชิงเขา
เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือ
จากอู๋เฟิ่งกู บนภูเขาเสี่ยวซี
เมื่ออ่านข้อความในจดหมายจบลง ใบหน้าที่หล่อเหลาของหลินเป่ยเฉินก็บิดเบี้ยวราวกับคนที่ถูกลูกหนี้เชิดเงินจำนวน 100,000 เหรียญทองคำหลบหนีไปหน้าตาเฉย ดวงตาของเขาเป็นประกายดุร้ายขึ้นมาทันที
“เชี่ยแม่ง กล้าดียังไงบุกยึดเหมืองแร่หินของเราวะ…”
“หยิงอู๋จี ไอ้หมอนี่สงสัยคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้ซะแล้ว”
“ฉันรอโอกาสเล่นงานแกมานานแล้ว”
หลินเป่ยเฉินไม่เสียเวลาร่ำลานักพรตหญิงชิน เขาหิ้วอากวงอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่สายฟ้าพิโรธ เดินลงภูเขามาโดยไม่มีใครพบเห็น