เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 496 ข้าเข้าใจแล้ว
ตอนที่ 496 ข้าเข้าใจแล้ว
ลึกเข้าไปด้านในวิหาร
“ท่านพี่จะเอาจริงหรือ?”
น้ำเสียงที่บอกชัดถึงความเอียงอายดังขึ้น
“เอาจริงสิ รีบถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกมาเร็วๆ เข้าเถอะ”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นด้วยความรำคาญใจ
“แต่ว่า…”
เสียงของเด็กหนุ่มคนแรกสั่นเครือเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ นี่คือครั้งแรกของข้า ข้ากลัวจังเลย…”
“ตกลงจะถอดหรือไม่ถอด?”
เสียงของหลินเป่ยเฉินบอกชัดถึงความโมโห
ในที่สุด เซียวปิงก็ต้องสอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมายืนส่งให้แก่หลินเป่ยเฉินพร้อมพูดว่า “ท่านพี่รู้วิชาปลอมตัวด้วยหรือขอรับ? ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อน? นักพรตหญิงชินกับคนของเผ่าทะเลที่อยู่ข้างนอกนั่นจะไม่รู้แน่หรือขอรับ?”
“ไม่ต้องห่วง ฝีมือการแปลงโฉมของข้า เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในปฐพี รับรองว่าไม่มีใครดูออกแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เซียวปิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หลินเป่ยเฉินจะพูดกำชับด้วยน้ำเสียงอำมหิต “แต่ถ้าเจ้าเป็นคนทำความลับแตก ข้าจะสั่งให้เจ้าอดอาหารสิบวัน”
ใบหน้าของเซียวปิงแสดงออกถึงความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือขอรับท่านพี่?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ไม่พูดอะไรอีก แต่สั่งให้เด็กหนุ่มร่างอ้วนยืนอยู่นิ่งๆ ก่อนที่เขาจะเอามือไปนวดคลึงใบหน้าของเซียวปิง เสแสร้งแกล้งทำเป็นกำลังใช้วิชาปลอมแปลงใบหน้าระดับสูง
เซียวปิงส่งเสียงครางในลำคอ
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้หยิบโทรศัพท์ออกมา กดใช้งานแอปเมจิก คาเมร่า และจัดการสลับใบหน้าของตนเองกับใบหน้าของเซียวปิง เมื่อจ่ายค่าดำเนินการเสร็จสิ้น ใบหน้าของเซียวปิงก็มาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาในวินาทีต่อมา
เรียบร้อย
“จำไว้นะว่าเวลาเจ้าออกไปข้างนอก เวลาใครถามก็บอกว่าข้าคือเพื่อนของเจ้า ไม่ต้องพูดอะไรนอกจากนี้ทั้งนั้น ถ้ามีใครถามอะไรที่เจ้าไม่อยากตอบ ก็ให้แกล้งทำเป็นกำลังสนใจการถ่ายทอดสดบนท้องฟ้า และไม่ได้ยินคำถามเหล่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินไม่ลืมกำชับต่อไปว่า “ตราบใดที่เจ้าแกล้งทำตัวโง่เขลา รับรองไม่มีผู้ใดดูออกว่าเจ้าเป็นตัวปลอมเด็ดขาด”
ทันใดนั้น เซียวปิงก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว “แต่ท่านพี่ขอรับ ถ้าเกิดว่าการประลองจบลงและคนของฝ่ายวิหารทั้งหกถูกฆ่าตายทั้งหมด การโจมตีวิหารก็จะเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าควรจะทำอย่างไรดี?”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ให้คำตอบว่า “ถ้าเรื่องบานปลายไปถึงขั้นนั้นจริงๆ… น้องรัก พวกเราคงได้เจอกันใหม่อีกทีชาติหน้าแล้วล่ะ”
เซียวปิงเบิกตาโต “ท่านพี่ แต่ข้ายังไม่อยากตาย…”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าก็ไม่อยากตายเหมือนกัน แต่สวรรค์ได้ผูกเส้นด้ายแห่งโชคชะตาของพวกเราเข้าไว้ด้วยกันแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้น ข้าหนีเจ้าไม่พ้น ถ้าวันนี้วิหารเมืองหยุนเมิ่งต้องถึงคราวล่มสลาย ไม่ว่าข้าจะตายหรือไม่ แต่รับรองได้เลยว่าเว่ยหมิงเฉินคงไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตเด็ดขาด”
ยิ่งได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเซียวปิงกลับยิ่งซีดขาวมากกว่าเดิม
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนรู้สึกได้ถึงภารกิจอันใหญ่หลวงที่ตนเองต้องกระทำ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผู้คนอายุเท่าเขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยเลย
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดหลังจากสวมเสื้อคลุมและดึงหมวกคลุมศีรษะขึ้นมาอำพรางใบหน้า ข้าวของทั้งหมดนี้เขาได้จัดเตรียมและซุกซ่อนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
เซียวปิงอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจ สุดท้าย เขาก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน
“ท่านพี่ขอรับ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”
หลินเป่ยเฉินถามว่า “เจ้าไม่เข้าใจเรื่องอันใด? ได้โปรดว่ามา”
“ทำไมท่านพี่ต้องมายอมตายเพื่อผู้คนบนวิหารแห่งนี้ด้วยขอรับ?”
เซียวปิงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาจริงจัง “นี่ไม่ใช่นิสัยของท่านเลย ปกติแล้วยามท่านพบเห็นอันตราย ท่านจะรีบหลบหนีก่อนเป็นคนแรกไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ ท่านไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวมาก่อน ถ้ามันไม่เกี่ยวพันกับตนเอง”
นี่คือคำถามที่กระแทกตรงเข้าไปถึงแก่นกลางหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
นั่นสินะ
ทำไมครั้งนี้เขาถึงไม่หลบหนีไป?
ถ้าเขามาตายอยู่ที่นี่ พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนฝูงในโลกใบเก่า ก็คงไม่ได้พบเจอเขาอีกตลอดกาล
โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า
ตลอดชีวิตหลังจากนี้ พวกท่านคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุตรชายของตนเองหายไปไหน
ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
พวกท่านคงคิดว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะถูกแก๊งค้ามนุษย์จับตัวไปแยกชิ้นส่วนและค้าขายอวัยวะ จนเสียชีวิต และไม่สามารถกลับไปทดแทนบุญคุณบิดามารดาได้อีก
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง
จากนั้น เขาก็ยิ้มด้วยความเศร้า
“ชีวิตคนเรามันก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งก็มีสถานการณ์ที่เจ้าไม่สามารถหลบหนีได้ เพราะมีผู้คนที่เจ้าอยากปกป้อง กำลังรอคอยความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่ มิฉะนั้นแล้ว ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะหลบหนี เจ้าอาจจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้”
เซียวปิงพยักหน้า ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ
เมื่อทั้งสองหนุ่มสลับเสื้อผ้ากันเรียบร้อย พวกเขาก็พากันเดินออกมาจากด้านในตัววิหาร
เมื่อเดินมาถึงประตู หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลอยข้ามผ่านผืนฟ้าออกมาจากเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่หก
“ฮ่าๆๆๆ หลินเป่ยเฉิน เจ้าคือไพ่ตายใบสุดท้ายของวิหารแห่งนี้ รีบไสหัวออกมาได้แล้ว รู้ไว้เถิดว่าหลบซ่อนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเจ้ายังหลงเหลือความกล้าหาญอย่างบิดาอยู่บ้าง ก็จงออกมาต่อสู้กัน”
ทุกคนที่อยู่ภายในเมืองหยุนเมิ่งต่างได้ยินคำท้าทายประโยคนี้ชัดเจนเต็มสองรูหู
หลินเป่ยเฉินถูกท้าทายให้ออกไปต่อสู้เป็นคนสุดท้าย
กลุ่มนักบวชสาวที่ยืนอยู่ด้านนอกมีสีหน้าตึงเครียด
เฒ่าทะเลและองค์หญิงแห่งท้องทะเลได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหน้ามามองอย่างแช่มช้า แล้วพวกเขาก็เห็นเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาหาตนเอง ดวงตาของทั้งคู่จ้องมองไปยัง ‘หลินเป่ยเฉินที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวปลอม’ ก่อนจะหันมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินเป็นลำดับต่อมา
ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินมีตัวตนเป็นวีรบุรุษหน้ากากแดง
เขาคือบุคคลที่เคยก่อวีรกรรมโด่งดัง ทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องกล่าวขวัญถึงนานเป็นสัปดาห์
ในที่สุด วีรบุรุษคนนี้ก็ปรากฏตัวแล้ว
เขาเป็นใครกันแน่?
เขามีสถานะใดกัน?
“ท่านเป็นผู้ที่สังหารบัณฑิตมัจจุราชและนางเซียนหมอกเขียวใช่หรือไม่?”
เฒ่าทะเลถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินเดินลงจากยอดเขาไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
เขาตอบคำถามโดยไม่เหลียวหน้ากลับไปมอง “ไม่สำคัญหรอกว่าข้าคือใคร แต่หน่วยข่าวกรองของท่านทำงานได้ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าท่านจะรับทราบความเคลื่อนไหวทุกอย่างในเมืองหยุนเมิ่งเป็นอย่างดีเลยสินะ”
เฒ่าทะเลพลันแค่นหัวเราะในลำคอและไม่พูดอะไรอีก
หลินเป่ยเฉินสะกิดปลายเท้าลงบนขั้นบันไดหิน ก่อนที่ร่างกายของเขาจะพุ่งขึ้นไปในอากาศ
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พุ่งข้ามความว่างเปล่าไปเป็นระยะทางหลายร้อยวา สุดท้าย เขาก็ทิ้งตัวลงไปในค่ายอาคมซึ่งเป็นสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่หก ที่อยู่ไม่ห่างไปนัก
เมื่อเท้าของเด็กหนุ่มสัมผัสพื้นดิน มวลอากาศรอบกายก็เกิดความปั่นป่วน ทำให้ผ้าคลุมศีรษะหลุดออก เปิดเผยโฉมหน้าของเขาบนจอถ่ายทอดสด
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมใส่หน้ากากรูปทรงสามเหลี่ยมคว่ำสีแดงแปลกประหลาดดังเดิม
สายลมกระโชกแรง
พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินด้วยความมั่นใจ
เขารู้สึกได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
แต่แล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง
เด็กหนุ่มพบว่าตนเองยืนอยู่ใจกลางสนามรบพอดิบพอดี
สนามรบศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมเป็นเกาะที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ มีพื้นที่ปกคลุมเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ บนเกาะแห่งนี้ไม่มีพืชผักหรือต้นไม้เลยสักต้น มองไปรอบกายจะเห็นเพียงหาดทรายสีขาวกับก้อนหินสีดำยาวไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศมีแต่ความเงียบ เสมือนเป็นเกาะผีสิงอย่างไรอย่างนั้น
นี่คือภาพมายาที่เกิดขึ้นจากค่ายอาคมของฝ่ายตรงข้ามอย่างนั้นหรือ?
ไม่เห็นจะสวยงามตรงไหนเลย
ในระหว่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ หลินเป่ยเฉินก็เริ่มโคจรพลังปราณธาตุไฟของตนเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
พลัน เปลวไฟสีเงินยวงลุกโชนขึ้นทั่วร่างกายของหลินเป่ยเฉินด้วยความร้อนแรง…
คู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามยังคงสวมใส่เสื้อคลุมสีดำ บนใบหน้ามีหน้ากากทองเหลืองปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริง หน้ากากใบนี้ถูกแกะสลักเป็นลวดลายหน้ามนุษย์ที่เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องไห้ เหมือนกับจะหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ มองดูแล้วเหมือนสีหน้าของคนที่กำลังเหยียดหยามการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไรชอบกล
“เป็นเจ้าได้อย่างไร…”
บุรุษหน้ากากทองเหลืองพูดด้วยความประหลาดใจ
เสื้อผ้าที่หลินเป่ยเฉินสวมใส่อยู่นั้นเริ่มเผาไหม้หายไปแล้ว
เสื้อผ้าของเขากลายเป็นเถ้าถ่านบนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินยืนเปลือยกายล่อนจ้อนในเวลาอันรวดเร็ว
ไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย… รวมถึงร่างกายกำยำล่ำสันที่ได้สัดส่วนราวกับเป็นรูปแกะสลักจากศิลปินยุคกลางของโลกมนุษย์ และวีรบุรุษหน้ากากแดงก็ยิ่งดูสูงส่งมากขึ้นด้วยเปลวไฟสีเงินที่ลุกโชนขึ้นมาตามแขนตามขาและตามอวัยวะส่วนต่างๆ ทั้งร่างกาย
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากรู้ว่าใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากสามเหลี่ยมคว่ำนั้นเป็นผู้ใดกันแน่
“แน่นอนว่าต้องเป็นข้าอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินแกล้งดัดเสียงให้แหบกว่าปกติ ซึ่งเขาฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี พร้อมกับยิ้มเหมือนคนเสียสติ
เด็กหนุ่มตั้งใจสร้างให้บุคลิกของวีรบุรุษหน้ากากแดงเป็นบุคคลเสียสติ
เสียงที่ฟังดูแสลงหูเช่นนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ว่าแต่เจ้าเถิดเตรียมตัวตายแล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา “อยากสั่งเสียหรือไม่ว่าจะให้เอาเถ้ากระดูกของเจ้าไปโปรยทิ้งที่ใด?”