เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 509 กระต่ายผู้ตื่นกลัว
ตอนที่ 509 กระต่ายผู้ตื่นกลัว
เมื่อคิดว่าหลินเป่ยเฉินตัวจริงจะทำเช่นไร เซียวปิงก็ตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย
เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่าพี่ใหญ่จะคิดเช่นไร แต่ถ้าเขาเลือกที่จะหลบหนีไปตอนนี้ ภาพลักษณ์ของพี่ใหญ่ก็คงต้องเสียหายไปตลอดกาล
แต่เซียวปิงก็เริ่มลังเลขึ้นมาอีกครั้ง
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะอยู่จัดงานศพตนเอง
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ การหลบหนีเอาตัวรอดให้ได้ก่อนคือสิ่งสำคัญที่สุด
ทว่า ถึงหัวใจของเขาจะคิดเช่นนั้น แต่สองเท้าของเด็กหนุ่มกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง ร่างกายของเซียวปิงไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
เขายืนอยู่บนขั้นบันได
ห่างออกไปไม่ไกลเป็นเฒ่าทะเลและองค์หญิงแห่งท้องทะเล
ถัดจากนั้นก็เป็นนักบวชสาว 46 คนยืนเรียงแถวอยู่หน้ารูปปั้นเทพีกระบี่
“หลินเป่ยเฉิน?”
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันพร้อมด้วยลูกสมุนกระโดดขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าบันไดขั้นบนสุดมีเด็กหนุ่มยืนขวางทาง พวกเขาก็ต้องหยุดชะงักโดยทันที
หลินเป่ยเฉิน ชื่อนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก?
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะจัดการตัดแขนเจียงจี้หลิว และสังหารฉู่ฉู่เซียว ซ้ำยังเปิดเผยให้เห็นวิทยายุทธ์แปลกประหลาดพิสดาร สามารถยิงลำแสงออกจากฝ่ามือข้างเดียว
พวกเขารีบร้อนบุกขึ้นมาที่นี่ จนลืมไปเลยว่ามีเด็กหนุ่มคอยคุ้มกันอยู่ทั้งคน
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ
สวีหวั่นหลัว บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา ต้องตายด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มคนนี้
วันนี้แหละ เขาจะได้แก้แค้นแล้ว
ชายชรายกมือโบกสะบัด
“พวกเรา… ฆ่ามันให้ได้!!”
องครักษ์ในชุดเทาที่ยืนอยู่ด้านหลังชักกระบี่แล้วรีบวิ่งออกมาข้างหน้าโดยทันที
เซียวปิงเหลียวหน้ากลับไปมองเฒ่าทะเลและองค์หญิงแห่งท้องทะเลที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
เขาไม่ได้พูดอะไร
เพียงแต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความขอร้องอ้อนวอน
เหมือนขอทานคนหนึ่งกำลังร้องขอเศษอาหาร
แต่อนิจจา…
“ไม่ต้องมองมาทางนี้ ข้ากับองค์หญิงไม่สามารถแทรกแซงเรื่องราวนี้ได้ เจ้ามีแต่ต้องพึ่งพาตนเองแล้วเท่านั้น”
เฒ่าทะเลปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
องค์หญิงแห่งท้องทะเลยืนนิ่งเงียบ สีหน้าเรียบเฉย บอกชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเฒ่าทะเลทุกคำ
เซียวปิงได้แต่ลอบด่าผู้อาวุโสทั้งสองท่านนั้นอยู่ในใจ
พี่ใหญ่นะพี่ใหญ่ ทำไมถึงพึ่งพาไม่ได้เช่นนี้
ไหนท่านว่าสนิทกับคนพวกนี้นักหนาไงเล่า?
เมื่อเซียวปิงหันหน้ากลับมาและพบว่ากลุ่มองครักษ์ชุดเทาถือกระบี่วิ่งเข้ามาใกล้ถึงตัวเขาทุกทีแล้ว เด็กหนุ่มก็ตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก เพราะนี่คือเหตุผลที่ทำให้เซียวปิงปฏิเสธการเข้ารับใช้กองทัพเป็นชายชาติทหาร แม้จะได้รับคำเชิญก็ตาม
เซียวปิงกลัวตายเป็นที่สุด
แต่เขาก็ไม่คิดหลบหนีอีกแล้ว
เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นในลักษณะแปลกประหลาด
บรรดาองครักษ์ชุดเทาที่กำลังวิ่งขึ้นมาเหล่านั้น ต่างก็ถอยร่นกลับไปด้วยความแตกตื่น
เพราะเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจะยิงลำแสงออกมา
นั่นเป็นเพราะว่าเซียวปิงเลียนแบบกิริยาของหลินเป่ยเฉินตอนที่ถือปืนอินทรีหิมะไว้ทุกกระเบียดนิ้ว!
เดิมที บุคคลอื่นไม่สามารถมองเห็นปืนเวทมนตร์ได้อยู่แล้ว พวกเขาจึงเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินตั้งท่าขึ้นมาเพื่อบริกรรมคาถา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้เวทมนต์เป็นตัวช่วยในการต่อสู้
ดังนั้น เซียวปิงจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่เข้าใจเช่นนั้นเหมือนกัน และเขาก็เลียนแบบท่าทางของหลินเป่ยเฉินได้เหมือนตัวจริง
กลุ่มองครักษ์ชุดเทายังไม่มีฝีมือสูงส่งมากพอที่จะต้านทานลำแสงจากหลินเป่ยเฉินได้
พวกเขาเป็นเพียงมือกระบี่ที่อยู่ในขั้นปรมาจารย์ จะสามารถต้านทานการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?
เซียวปิงหันมือชี้ไปที่ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อัน
ทันใดนั้น ท่านอ๋องสีหน้าแปรเปลี่ยนไป รีบถอยหลังไปหลบอยู่ด้านไกลสุดอย่างไม่คิดชีวิต
“พวกเราคุ้มครองท่านอ๋อง…”
หัวหน้ากลุ่มองครักษ์ชุดเทาร้องคำราม
แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำตามคำสั่ง
กลุ่มองครักษ์เกือบร้อยนายแตกกระจายแยกย้ายหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
สิ่งที่เกิดขึ้นบนวิหารในขณะนี้จึงแปลกประหลาดมาก
เซียวปิงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน ส่วนเดียวที่ขยับได้คือมือของเขา และไม่ว่ามือข้างนั้นจะชี้ไปยังทางไหน กลุ่มคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามในบริเวณนั้น ก็จะหลบหนีไปหาที่กำบังด้วยความตื่นกลัวสุดชีวิต
เซียวปิงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ
เจ้าพวกโง่
เขาชูนิ้วกลางของมืออีกข้างหนึ่งให้แก่พวกท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อัน
เซียวปิงก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่าอะไร แต่เขาเคยเห็นหลินเป่ยเฉินทำเมื่ออยากเย้ยหยันศัตรู
พร้อมด้วยสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจ
กิริยาของเขาไม่แตกต่างไปจากหลินเป่ยเฉินตัวจริงแม้แต่นิดเดียว
เพราะถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ มีหวังได้ความแตกแน่ๆ
“พวกเราฆ่ามัน ฆ่ามันให้ได้…”
“ใครก็ตามที่ฆ่าหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ข้าจะมอบเงินรางวัล 100,000 เหรียญทองคำ พร้อมด้วยศิลาบูชาอีก 50 ก้อน…”
“แล้วก็จะเลื่อนตำแหน่งให้พวกเจ้าด้วย…”
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
เมื่อมีรางวัลใหญ่โตเช่นนี้รออยู่ ก็ต้องมีคนใจกล้าออกไปลองเสี่ยงดวงดูบ้างแล้ว
ในที่สุด องครักษ์ชุดเทาจำนวนสี่นายก็ทนความเย้ายวนใจของเงินรางวัลไม่ไหว พวกเขาโอบกระนาบซ้ายขวา ตำแหน่งท่าร่างไม่แน่นอน บุกเข้าประชิดตัว ‘หลินเป่ยเฉิน’ ด้วยความรวดเร็ว
เซียวปิงร้อนรนใจเป็นอย่างยิ่ง
บัดซบที่สุด
พวกเจ้าควรจะหวาดกลัวไม่ใช่หรือ ทำไมถึงใจกล้าบุกเข้ามาหาเขาแล้วล่ะ?
จะทำอย่างไรดีนะ?
เด็กหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวเหมือนปัสสาวะจะราดรด
ไม่มีทาง
เขาต้องหนี
การมีชีวิตรอดสำคัญที่สุด
เขายังมีมารดาให้เลี้ยงดู
ถ้าเขาตายไป แล้วมารดาจะทำอย่างไร?
เซียวปิงพยายามหาเหตุผลให้ตนเองหลบหนีได้โดยไม่รู้สึกผิด
แต่สองเท้าของเขากลับพุ่งเข้าไปหาองครักษ์ชุดเทาทั้งสี่คนนั้นอย่างบ้าคลั่ง
การต่อสู้บังเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าในร่างกายของเซียวปิงจะมีพลังบางอย่างที่ผลักดันให้เขาออกไปสังหารศัตรูให้ได้
“เจ้าจงตายไปซะ”
บุรุษชุดเทาคนหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศ
กระบี่ทิ่มแทงลงมาหาเซียวปิง
ไม่ว่าผู้ใดเห็น ต่างก็ต้องอุทานว่าตายแน่
เซียวปิงก็กำลังอุทานเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน
อีกฝ่ายมีพลังสูงส่งเกินไป
เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควร
แต่ในขณะที่เซียวปิงกำลังรู้สึกหมดหวังอยู่นั้นเอง ร่างกายของเขาก็ตอบสนองกลับไปโดยไม่รู้ตัว กระบี่ถูกทิ่มแทงลงมา แต่เซียวปิงสามารถโยกตัวหลบได้ทันเวลา มิหนำซ้ำ เด็กหนุ่มยังกระแทกหมัดสวนกลับไปได้อีกด้วย
การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก
หมัดนี้กระแทกเข้าใส่ชายโครงของบุรุษชุดเทา
ผลั่ก!
ไม่ต่างจากแตงโมถูกค้อนทุบ
ของเหลวสีแดงสาดกระจาย
บุรุษชุดเทาที่ถูกต่อยลอยกระเด็นออกไปเหมือนตุ๊กตากระดาษ
“นี่มันอะไรกัน?”
เซียวปิงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
หมัดของเขา… มีอานุภาพขนาดนี้เชียวหรือ?
เด็กหนุ่มตกตะลึง
วูบ!
คมกระบี่สาดประกายขึ้นอีกครั้ง
ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ในชุดเทาอีกสามคนบุกโจมตีเข้ามาพร้อมกัน แต่ละคนมีวิชากระบี่เฉพาะตัว เงากระบี่สอดประสานปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าคู่ต่อสู้ รอยกระบี่ปรากฏขึ้นบนขั้นบันไดหินขั้นแล้วขั้นเล่า…
พวกเขามีพลังเพียงขั้นปรมาจารย์ระดับ 6 ก็จริง
แต่ก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 1
ทว่า เซียวปิงในขณะนี้ไม่ต่างจากพยัคฆ์ร้ายที่อยู่กลางฝูงนกนางนวล เขาเพียงขยับเท้าโยกหลบ คมกระบี่ก็พลาดเป้าหมาย เปิดช่องว่างให้สามารถสาวกำปั้นโต้ตอบกลับไปได้อย่างง่ายดาย
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
เขากระโดดหลบสามครั้ง และต่อยสวนกลับไปสามหมัด
และสามหมัดที่ต่อยสวนกลับไปเหล่านั้น ก็กระแทกเข้าเป้าหมายด้วยความแม่นยำ ชายฉกรรจ์ทั้งสามลอยกระเด็นล้มกลิ้งตกขั้นบันไดลงไปด้วยความสูงหลายร้อยขั้น
กระดูกแตกหักไม่เหลือชิ้นดี
โลหิตไหลทะลัก
พลัน บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและกลุ่มลูกสมุนเห็นดังนั้น ก็อดที่จะหันมองหน้ากันด้วยความขนหัวลุกไม่ได้
หลินเป่ยเฉินผู้นี้มีความอำมหิตสมคำเล่าลือจริงๆ
ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าลงมืออย่างผลีผลามอีกแล้ว
เซียวปิงก้มมองกำปั้นของตนเองด้วยความแปลกใจ
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้?
ต่อยคู่ต่อสู้ระดับปรมาจารย์ลอยกระเด็นไปได้ด้วยหมัดเดียว
แบบนี้มันไม่ปกติ
ตลอดเวลาทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างฝึกซ้อมวิชาหมัดอยู่ที่ตำหนักไม้ไผ่ ส่วนใหญ่เซียวปิงจะเป็นฝ่ายถูกทุบตี ถ้าไม่ใช่จากหลินเป่ยเฉิน ก็ต้องเป็นจากเจ้าหนูอากวง เขาแทบไม่เคยมีโอกาสได้โต้ตอบกลับไปบ้างเลย สิ่งดีๆ เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นก็คือ การฝึกซ้อมเหล่านั้นทำให้เขาสามารถเลื่อนระดับขึ้นมามีร่างกายอยู่ในขั้นกระดูกทองแดงได้สำเร็จ
เมื่อสักครู่ เขาเพิ่งใช้งานออกไปได้แค่ไม่กี่หมัด… แล้วหลังจากนี้เล่า?
หรือว่าเขาจะเก่งขึ้นโดยไม่รู้ตัวกันนะ?
เซียวปิงคิดด้วยความตื่นเต้น
ที่ขั้นบันไดหินด้านล่าง
“พวกเราไม่มีเวลาแล้ว รีบขึ้นไปจัดการมันซะ…”
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องตะโกนออกคำสั่งเสียงดังว่า “คนที่เป็นเป้าหมายของพวกเราปรากฏตัวขึ้นอยู่เบื้องหน้าแล้ว… อย่าลืมสิว่าถ้าพวกเจ้ามัวแต่เชื่องช้าอยู่เช่นนี้ ก็คงทำภารกิจไม่สำเร็จกันพอดี อย่าว่าแต่จะไม่ได้เงินรางวัล แม้แต่ชีวิตของเจ้าก็ไม่มีทางอยู่รอดหากคุณชายเว่ยโกรธแค้นที่พวกเจ้าทำภารกิจไม่สำเร็จ”
“ฆ่าหลินเป่ยเฉินซะ”
“แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นเศรษฐี”
“ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษในวิหาร หรือว่านักบวชขาวเหล่านี้…พวกเจ้าถูกใจคนไหนก็จับตัวไปได้เลย”
“ใครที่ยังไม่อยากตาย รีบขึ้นไปโจมตีหลินเป่ยเฉินเดี๋ยวนี้”
กลุ่มองครักษ์เริ่มโคจรพลังด้วยความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
จิตสังหารปรากฏขึ้นในหัวใจ กระบี่ถูกชักออกจากฝัก สองเท้าก้าวขึ้นบันไดไปข้างหน้า
ฟ้าว!
ลูกธนูพุ่งออกมา
ปรากฏว่าในกลุ่มองครักษ์มีมือธนูซ่อนตัวอยู่
พวกเขาเล็งธนูตรงไปที่เซียวปิง
ในเวลาเดียวกันนั้น ชายฉกรรจ์ชุดเทาและนายทหารเกือบ 100 คนก็พร้อมใจกันวิ่งขึ้นบันไดไปด้วยความบ้าคลั่ง
บางคนก็เป็นมือกระบี่ฝีมือดีที่เว่ยหมิงเฉินแอบส่งตัวเข้ามา
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าจงตายซะเถิด!”
ใครบางคนร้องตะโกน
เซียวปิงหวาดกลัวจนตัวสั่น
แต่บางทีความหวาดกลัวคงกลับกลายเป็นความตื่นเต้นและความบ้าคลั่ง
เพราะในลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มก็ส่งเสียงคำรามออกมาจากลำคอ ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาจะคำรามทำไม แต่ลักษณะของ ‘หลินเป่ยเฉิน’ บัดนี้เหมือนกระต่ายผู้ตื่นกลัว ดวงตาแดงก่ำ และกระโดดเข้าไปหาลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย