เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 557 ไปเอาความอวดดีมาจากไหน
เฉียนจงมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก
รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อมันโจมตี ทั่วเวทีประลองก็จะเต็มไปด้วยประกายสีเงินระยิบระยับ ไม่สามารถแยกแยะออกได้เลยว่าร่างกายที่แท้จริงของนักรบหนอนทะเลอยู่ตรงจุดใด และการโจมตีคู่ต่อสู้ในสภาวะมึนงงเช่นนี้เองก็เป็นอาวุธเด็ดของมัน
นอกจากนั้น กระบวนท่าการโจมตีของเฉียนจงยังมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
อาวุธที่มันใช้เป็นสิ่งที่หายาก
ผิดคาดที่ไม่ใช่กระบี่ตามข้อมูลเบื้องต้น
แต่เป็นสายเส้นไหมที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ถูกเรียกขานว่าเป็นเส้นไหมพันรัก
นี่คือเส้นใหม่ที่มีแต่หนอนทะเลสีเงินเท่านั้นถึงจะสามารถผลิตออกมาได้
ทั้งชีวิตของหนอนทะเลสีเงินจะสามารถผลิตเส้นไหมพันรักได้ตัวละประมาณ 7 ชุ่น
สำหรับชาวทะเลสิ่งที่เป็นของมหัศจรรย์และหายากที่สุดชนิดหนึ่งก็คือเส้นไหมพันรัก เส้นไหมชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่ในหมวดของหายากลำดับที่ 47 และเนื่องจากมันเป็นสิ่งของที่ถือว่ามีความล้ำค่ามาก จึงถูกนำมาดัดแปลงใช้เป็นอาวุธประจำตัวนักรบได้เพียงไม่กี่ตน ซึ่งเส้นไหมเหล่านี้มีจุดเด่นอยู่ที่ความคมกริบ ความเหนียวแน่น ความทนทานและความทรงพลัง
เมื่อประกอบเข้ากับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเฉียนจง ก็ไม่มีสิ่งใดที่เส้นไหมพันรักจะไม่สามารถตัดขาดได้ และในขณะนี้ นักรบหนอนทะเลก็กำลังสะบัดเส้นไหมแผ่ปกคลุมทั่วเวทีประลอง
หลิงไท่ซวียังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
พลังลมปราณสีชมพูแผ่ออกมาจากร่างกาย
เดี๋ยวก่อนนะ
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ทำไมพลังลมปราณของอาจารย์ใหญ่ถึงกลายเป็นสีชมพูได้ล่ะ?
หลิงไท่ซวีมีพลังปราณธาตุชนิดใดกันแน่?
สีสันออกจะน่ารักเกินไป
หลินเป่ยเฉินอดคิดไม่ได้
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ใหญ่ถึงไม่ค่อยแสดงฝีมือ ก็เพราะว่าสีสันของพลังลมปราณนั้นไม่ค่อยน่าเกรงขามสักเท่าไหร่นั่นเอง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าระดับพลังลมปราณของอาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีมีความแข็งแกร่งไม่น้อย
พลังลมปราณที่แผ่ออกมานั้นบอกชัดว่าอาจารย์ใหญ่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 3
ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าหลิงไท่ซวียังปิดบังระดับพลังอยู่อีกเท่าไหร่?
ในหัวใจของหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหลิงไท่ซวีต้องมีระดับพลังสูงส่งมากกว่านี้
บนเวทีประลอง
เส้นไหมพันรักถักทอแผ่ครอบคลุมทั่วบริเวณ
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเฉียนจงทำให้ตัวมันเองกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่ง เมื่อรวมเข้ากับการแผ่ขยายของเส้นไหมพิฆาตศัตรู หลิงไท่ซวีจึงไม่ต่างไปจากผู้คนที่กำลังตกอยู่ท่ามกลางกับดักใยแมงมุม พื้นที่กว่า 90 ส่วนของเวทีประลองถูกปกคลุมด้วยเส้นไหมสีเงินยวง และมันก็กำลังตีวงแคบเคลื่อนเข้ามาหาหลิงไท่ซวีมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉียนจงเลือกที่จะเข้ามาโจมตีอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้อย่างเช่นนักรบฉลามหัวค้อน
เพราะมันเป็นนักล่าผู้อดทน มันเป็นนักล่าผู้ชื่นชอบการวางกับดัก
เหยื่อทุกตัวที่ตกอยู่ในกับดักของมันไม่เคยรอดชีวิต
กำลังจะถึงเวลาปลิดชีพศัตรูในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
สถานการณ์ของหลิงไท่ซวีย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่รับชมการต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ต่างก็ต้องกลั้นหายใจด้วยความตึงเครียด ไม่กล้าส่งเสียงออกมาดังมากเกินไป
ในขณะที่ชาวทะเลมีสีหน้าผ่อนคลาย
นี่คือการต่อสู้ที่พวกมันรู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่แรก
ผลลัพธ์ไม่มีทางผิดพลาด
ต่อให้หลิงไท่ซวีจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าชายชราทั่วไป แต่ก็ไม่มีทางต่อสู้กับนักรบหนอนทะเลเฉียนจงได้เลย
หลินเป่ยเฉินก็วิตกกังวลไม่น้อยเช่นกัน
จนใจที่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
อาจารย์ใหญ่นะอาจารย์ใหญ่ อยู่เฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องหาเรื่องกระโดดเข้าไปหากับดักของฝ่ายตรงข้ามด้วย… นึกเสียใจตอนนี้ก็คงสายเกินไปแล้วกระมัง?
“อาจารย์ใหญ่ขอรับ เอานิ้วจิ้มตามันเลย…”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกนออกไปด้วยความร้อนใจ
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดานักรบชาวทะเลก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสบายอารมณ์
หลินเป่ยเฉินร้อนรนถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
แสดงว่าหลิงไท่ซวีคงไม่ได้มีฝีมือน่ากลัวอะไรเลย
แม่ทัพฉลามอู๋หยานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ รอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง
บนเก้าอี้ที่นั่งข้างเคียง
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์จากจักรวรรดิจี้กวงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนพูดว่า “พี่ชาย ท่านตะโกนออกมาสุดเสียงเช่นนี้ ระวังจะเจ็บคอเอาได้…”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปถลึงตาจ้องมองเด็กสาวผมทองและคำรามด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เด็กสาวอัปลักษณ์เช่นเจ้า ไสหัวกลับจักรวรรดิจี้กวงของเจ้าไปซะ”
เพียงคำพูดประโยคนี้ประโยคเดียว ก็สามารถทำให้บรรดาองครักษ์ที่อยู่รอบกายส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความไม่พอใจออกมาทันที
มีเพียงแต่เจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เดียวเท่านั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการต่อสู้บนเวทีต่อไป
เพราะเขารู้จักหลิงไท่ซวี
ในอดีต บุคคลผู้นี้เคยได้รับการขนานนามให้เป็นเทพเจ้าแห่งการสังหารของกองทัพจักรวรรดิเป่ยไห่
ในอดีต ไม่เคยมีใครสามารถเอาชนะหลิงไท่ซวียามอยู่บนสนามรบได้สำเร็จ กองกำลังที่เขาควบคุมมีความแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทุกเมืองที่เขาและกองพลเคลื่อนขบวนผ่านไปจะกลายเป็นแม่น้ำแห่งสายเลือดในชั่วข้ามคืน เจ้าชายอวี้ชินหวังไม่รู้เลยว่าต้องมีนายทหารของจักรวรรดิจี้กวงเสียชีวิตไปด้วยน้ำมือของชายชราผู้นี้กี่หมื่นคนแล้ว
ปัจจุบัน นายทหารของกองทัพจักรวรรดิจี้กวงจำนวนมาก ก็ยังคงหวาดกลัวฝีมือที่ร้ายกาจของหลิงไท่ซวี
โชคดีที่เจ้าชายอวี้ชินหวังไม่เคยต่อสู้กับชายชราคนนี้มาก่อน
เขาจึงไม่มีความหลังฝังใจจนกลายเป็นความหวาดกลัวฝังลึกเหมือนนายทหารคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กองทัพจักรวรรดิจี้กวงได้ศึกษากลยุทธ์ของหลิงไท่ซวีและผลิตนายทหารรุ่นใหม่ขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละคนก็ถือว่าเป็นนายทหารที่มีพรสวรรค์ทั้งสิ้น
นายทหารของจักรวรรดิจี้กวงจึงรับทราบถึงพิษสงของชายชราผู้นี้เป็นอย่างดี
จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยความจริงแต่อย่างใด หากจะบอกว่าชื่อเสียงของหลิงไท่ซวีในจักรวรรดิจี้กวงนั้น มีความโด่งดังและน่าเกรงขามมากกว่าชื่อเสียงในจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างเทียบกันไม่ได้
นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด
ชาวจี้กวงจำนวนมากไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจักรวรรดิเป่ยไห่ถึงได้กระทำต่ออดีตนักรบนามกระเดื่องแห่งแผ่นดินเหมือนเป็นบุคคลไร้ค่าเช่นนี้
ปัจจุบัน อดีตเทพเจ้าแห่งการสังหาร ผู้บัญชาการนายทหารนับพันนับหมื่นคนกวาดล้างสมรภูมิรบมาจำนวนนับไม่ถ้วน กลับต้องแสดงตัวออกหน้าเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองหยุนเมิ่งให้รอดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงของชาวทะเล โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเบื้องบนแม้แต่นิดเดียว
ต้องบอกว่านี่คือเรื่องที่น่าเศร้า
เทพเจ้าแห่งการสังหารผู้น่าสงสาร
บนเวทีประลอง
การเคลื่อนที่ของเฉียนจงกล่าวได้ว่าเกือบสมบูรณ์แบบ
มันถักทอเส้นไหมเป็นตาข่ายปกคลุมล้อมรอบบริเวณซ้ายขวาหน้าหลังบนล่างของชายชรา
การเคลื่อนไหวของเฉียนจงเป็นลำแสงสีเงิน การถักทอเส้นไหมพันรักก็เป็นลำแสงสีเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยประกายสีเงิน ราวกับว่านี่คือสัญลักษณ์การมาถึงของเทพเจ้าแห่งความตาย
นี่คือภาพที่สวยงาม
ร่างกายของเฉียนจงเคลื่อนไหวตลอดเวลา
ฉากที่สวยงามบนเวทีประลองนี้คือลมหายใจสุดท้ายก่อนที่ความตายจะเบ่งบาน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก?”
เฉียนจงพูดออกมาเป็นครั้งแรกนับจากขึ้นมาอยู่บนเวที
“สิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกก็คือความตาย… มนุษย์ผู้ต่ำต้อย เจ้าจงรอรับความตายที่กำลังจะเบ่งบานด้วยความสวยงามเสียเถิด” เสียงพูดของนักรบหนอนทะเลมีความแหลมสูงฟังดูน่าตลก
เป็นเสียงพูดที่เหมือนใครสักคนกำลังผิวปาก
รัศมีสีทองและสีเงินเป็นประกายรอบดวงตาที่แปลกประหลาดของเฉียนจง ทันใดนั้น เส้นไหมพันรักที่ครอบคลุมอยู่ทั่วเวทีก็มีเปลวไฟสว่างไสวโชติช่วง
เปลวไฟลุกโชนขึ้นบนตาข่ายเส้นไหม
สวยงามราวเป็นเพียงภาพลวงตา
ไม่ว่าใครได้จ้องมองก็ต้องลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์
บัดนี้ เหล่านักสู้ผู้เป็นตัวแทนของชาวเมืองหยุนเมิ่งพร้อมใจกันส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความมหัศจรรย์ใจ ดวงตาเป็นประกายแวววาว เห็นได้ชัดว่าทุกคนตกตะลึงไปกับภาพที่สวยงามบนเวทีประลอง
เหมือนถูกสะกดจิต
“มันสร้างภาพมายาได้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ แม้แต่ตัวเขาเองก็เกือบจะคล้อยตามไปกับความสวยงามที่เฉียนจงสร้างขึ้นมา
ภาพที่กำลังปรากฏบนเวทีประลองในขณะนี้ก็คือเส้นไหมวิญญาณที่ถูกถักทอไปทั่วเวทีกำลังมีเปลวไฟลุกโชน เส้นไหมเหล่านั้นได้รับการถักทอกลายเป็นตัวอักษรไฟที่อ่านได้ความว่า ‘เส้นไหมพันรัก’
แย่แล้วสิ!
อาจารย์ใหญ่ไม่มีทางรอดแหงๆ
หลินเป่ยเฉินกำลังจะอ้าปากตะโกนเรียกสติหลิงไท่ซวี…
แต่ในจังหวะนั้น…
วูบ!
คมกระบี่ได้สาดประกายเจิดจ้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้านุ่มนวลไม่ต่างจากสายลมในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
หลิงไท่ซวียังคงยืนอยู่ที่เดิม
เมื่อสักครู่นี้ กระบี่ในมือของเขาตวัดฟันขึ้นสูง
แต่บัดนี้ ชายชราได้รั้งกระบี่กลับคืนแล้ว
การโจมตีของเขาเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
ภาพลวงตาที่สวยงามบนเวทีกระจายหายไป
รอยยิ้มเหยียดหยามที่อยู่บนใบหน้าของเฉียนจงก็สลายหายไป
เพียงจู่โจมด้วยกระบวนท่าเดียว เส้นไหมพันรักที่ถักทออยู่ทั่วเวทีประลองก็ขาดกระจายและกลายเป็นเศษฝุ่นผงสีดำโปรยปรายลงมาจากกลางอากาศ ไม่ต่างจากกลีบดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาหมดอายุขัย…
เปลวไฟที่เคยเผาไหม้ก็ดับสิ้น
“โฮะโฮะโฮะโฮะ…”
เฉียนจงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงพูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจความหมาย
มันไม่รู้เลยว่าตนเองพ่ายแพ้ได้อย่างไร
แต่สายตาของมันเริ่มพร่าเลือนแล้ว
“ไม่ทราบว่าเจ้าไปเอาความอวดดีมาจากไหน?”
หลิงไท่ซวีลดกระบี่ลง พูดด้วยสีหน้าเยาะหยัน “ตกลงเจ้าจะขึ้นมาต่อสู้หรือขึ้นมาเล่นจำอวดกันแน่? ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก”
ร่างที่ผอมบางสูงยาวของเฉียนจงค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้นเวที
ลมหายใจสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะของมันจะดับวูบลง นักรบหนอนทะเลมองเห็นเพียงท้องฟ้ากำลังหมุนวน หูได้ยินเสียงโห่ร้องของผู้คนผสมกับเสียงอุทานและเสียงสบถดังขึ้นรอบกาย
“ที่แท้รสชาติของความตายก็เป็นเช่นนี้เอง”
“ที่แท้ความรู้สึกของความตาย ก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เราเคยเข้าใจ”
คงมีเพียงคนตายเท่านั้นที่รู้
เฉียนจงรู้
เพราะบัดนี้มันตายแล้ว