เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 565 ชัยชนะที่งดงาม
“เจ้านี่เป็นฉลามที่ขี้สงสัยเหลือเกินนะ”
หลินเป่ยเฉินลองขยับแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ “แต่เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว ต่อให้ตอบออกไป สติปัญญาโง่เง่าอย่างเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก เจ้าเอาเวลามาคิดดีกว่าว่าหลังจากนี้ไป ตนเองจะตายในท่วงท่าไหนดี”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็โยนกระบี่ที่แตกหักทิ้งลงไปข้างตัว
เขากลับกลายเป็นคนมือเปล่า
แต่เป็นคนมือเปล่าที่มีท่วงท่าแปลกประหลาด
ดูเหมือนว่าการโคจรพลังลมปราณเมื่อสักครู่นี้ จะทำให้หลินเป่ยเฉินฟื้นฟูขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บได้พอสมควร
แม่ทัพฉลามอู๋หยาเห็นดังนั้นก็ยิ้มเหยียดหยามด้วยความเยือกเย็น “พูดจริงหรือ? เหอเหอเหอ เกรงว่าเจ้าคงมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไปเสียแล้ว ต่อให้ข้าจะแขนขาดไปหนึ่งข้าง แต่ข้าก็ยังเหลือแขนอีกข้างที่สามารถปล่อยหมัดใส่เจ้าได้ ส่วนตัวเจ้านั้นเล่า แขนขวาได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนั้น ยังจะสามารถใช้กระบี่ได้อีกหรือ? บัดนี้ ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลยว่า…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค…
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังขึ้นบนร่างกายของแม่ทัพฉลามอู๋หยา
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เวทีต้องยกมือขึ้นปิดหูโดยไม่รู้ตัว
หัวใจของเจ้าชายอวี้ชินหวังกระตุกวูบ
ในเวลาเดียวกันนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ต้องเบิกตาโตขึ้นมาแล้ว
นี่คือเสียงที่สองพ่อลูกเคยได้ยินมาก่อน
มันเป็นเสียงระเบิดกระชากวิญญาณ
พวกเขาเคยได้ยินมาแล้วถึงสองครั้ง
ทุกครั้งที่เสียงระเบิดชนิดนี้ดังขึ้น ก็จะต้องมียอดฝีมือจบชีวิตลง
แล้วครั้งนี้ใครจะเป็นคนที่ต้องจบชีวิตลงไปอีก?
บนเวทีประลอง
ในจังหวะที่เสียงระเบิดดังขึ้น ร่างกายของแม่ทัพฉลามอู๋หยาก็กระตุกเฮือก
ความรู้สึกร้อนวูบวิ่งขึ้นมาจากช่วงท้อง
มันยืนงง ได้แต่ก้มหน้ามองลงไป
ฉลามหนุ่มสามารถมองทะลุช่องท้องของตนเอง จนเห็นพื้นเวทีที่อยู่ด้านหลังได้อย่างน่าพิศวง
ช่องท้องของมันกลายเป็นรูโหว่ขนาดเท่ากับชามข้าว
รูโหว่ที่ทะลุหน้าหลังอย่างหมดจด
“เจ้ายังจะมีปัญญาต่อยหมัดได้อีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มกว้าง ตัวของเขาถอยออกมาอยู่ห่างจากบริเวณเดิมถึงสิบวา
แน่นอนว่าเป็นเพราะแรงถีบ
จังหวะที่เขาโยนกระบี่จันทราพิฆาตทิ้งไปนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ปิดการเชื่อมสัญญาณไวไฟและนำปืน 98k กลับมาใช้งานโดยที่ไม่มีผู้ใดพบเห็น และเนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ เซียวปิงได้ยิงปืนแบบท่ามาตรฐานไปแล้ว หลินเป่ยเฉินไม่สามารถใช้งานด้วยการยิงท่าเดิมได้อีก เพราะเดี๋ยวจะตกเป็นจุดสนใจมากเกินไป ดังนั้น เขาจึงต้องถือปืนไรเฟิลด้วยมือข้างเดียวและเล็งยิงจากข้างล่างขึ้นข้างบน
เมื่อเขาเหนี่ยวไกยิง
กระสุนถูกเป้าหมาย
เพราะเป้าหมายยืนอยู่ในระยะใกล้มาก
เพียงแต่ว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องการจะยิงใส่ ก็คือหัวของแม่ทัพฉลามผู้ยิ่งใหญ่
แต่เนื่องจากไม่ได้ถือปืนให้ถูกวิธี วิถีกระสุนจึงเข้าเป้าผิดตำแหน่งไปสักหน่อย
กระสุนปืนพุ่งทะลวงช่องท้อง
แต่ครั้งนี้ เนื่องจากเด็กหนุ่มเลื่อนระดับพลังขึ้นมาจนร่างกายอยู่ในขั้นกระดูกทองคำ ประกอบกับเตรียมตัวรับแรงถีบล่วงหน้า หลินเป่ยเฉินจึงถ่ายเทแรงดีดสะท้อนของปืน 98k ลงสู่พื้นดิน ทำให้เขาไม่ต้องลอยกระเด็นออกมาไกลอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนเมื่อครั้งก่อน
“เจ้า…”
สีหน้าของแม่ทัพฉลามอู๋หยาปรากฏความวิตกกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่มันก็ไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้อีกแล้ว โลหิตสีดำไหลทะลักออกมาจากปาก ร่างกายที่ใหญ่โตเริ่มยืนโงนเงนหนักมากกว่าเดิม พลังลมปราณเหือดหาย ไม่ต่างไปจากลูกโป่งที่ถูกเจาะลม
“ยอมแพ้แล้ว พวกเรายอมแพ้แล้ว…”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากฝั่งของนักรบชาวทะเล
แม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นผู้บังคับบัญชาที่พวกมันเชื่อใจมากที่สุด ก่อนที่แม่ทัพใหญ่จะล้มลงไปกับพื้นเวที บรรดานักรบฉลามที่เป็นผู้ติดตามก็รีบกระโดดเข้ามารับร่างของมันเอาไว้ พร้อมกับสอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “ท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้างขอรับ? รีบกลับไปรักษาบาดแผลก่อนดีกว่า มิฉะนั้นแล้ว…”
นักรบชาวทะเลหลายสิบตัวห้อมล้อมเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“พวกเราคุ้มกันท่านแม่ทัพ…”
“พอได้แล้ว พวกเราขอยอมแพ้”
บรรดานายทหารจากหน่วยรบคลื่นทมิฬยืนเรียงแถวหน้ากระดานคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่ผู้เป็นแม่ทัพของพวกมัน
“บัดซบ…”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาระเบิดเสียงคำราม ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ลงมือผลักผู้ติดตามลอยกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า
มันเงยหน้ามองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาวาวโรจน์ “เข้ามาฆ่าข้าเสียเถิด เจ้าสมควรได้รับชัยชนะที่งดงาม”
แม่ทัพฉลามหนุ่มพยายามทรงตัวยืนหยัด ไม่ให้ตนเองล้มลงไปอย่างยากลำบากเต็มที
หลินเป่ยเฉินนำกระบี่สายฟ้ามาถือในมืออีกครั้ง
เขาก้าวเดินไปข้างหน้า
ปลายกระบี่ยกชี้ไปยังสมาชิกของหน่วยรบคลื่นทมิฬ
เจตนาชัดเจน
ใครขัดขวางต้องตาย
มือของแม่ทัพฉลามอู๋หยาเปื้อนเลือดชาวเมืองหยุนเมิ่งมากเกินไป
ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้ง ก็ยังไม่สาสมกับโทษทัณฑ์ที่ได้เคยกระทำเอาไว้
การต่อสู้บนเวทีประลองได้ผลแพ้ชนะแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีจิตใจอ่อนโยนเฉกเช่นสตรี เขาไม่มีความยินดีที่จะโยนทิ้งความเกลียดชัง และปล่อยให้ผู้เป็นอันตรายแก่มวลมนุษย์ได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป
“เจ้าได้โปรดไว้ชีวิตท่านแม่ทัพ แล้วเอาชีวิตของข้าไปแทน”
นายทหารระดับสูงของหน่วยรบคลื่นทมิฬตัวหนึ่งเดินออกมายืนขวางหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า
มันดูพร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองแล้วจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนี้ นายทหารชาวทะเลผู้เป็นบริวารของแม่ทัพฉลามก็ชักกระบี่ออกมาจากข้างเอว และส่งเสียงตะโกนพร้อมกันว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้าเป็นฝ่ายชนะแล้ว พวกเรายินดีมอบชีวิตของตนเองให้กับเจ้า ขอแค่เจ้าไว้ชีวิตท่านแม่ทัพเท่านั้นก็พอ…”
“เพียงเท่านี้ท่านแม่ทัพก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว คงไม่สามารถฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาเหมือนเดิมได้อีก พวกเราขอความเห็นใจจากเจ้า ได้โปรดไว้ชีวิตท่านแม่ทัพด้วย”
“ได้โปรดไว้ชีวิตท่านแม่ทัพด้วยเถิด…”
ขุนพลฉลามศึกเหล่านั้นขอร้องอ้อนวอนด้วยความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินถึงกับรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาแล้ว
ต่อให้แม่ทัพฉลามอู๋หยาจะโหดร้ายใจดำกับหมู่มวลมนุษย์ แต่สำหรับกับนายทหารเผ่าพันธุ์เดียวกัน มันได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง
นี่คือสิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกไม่ถึงมาก่อน
แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ควรไว้ชีวิตอยู่ดี
หลินเป่ยเฉินยังคงถือกระบี่เดินตรงเข้าไปหา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้องแล้ว ข้าเป็นฝ่ายแพ้ ข้าทำให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลต้องเสื่อมเสียเกียรติ ข้าไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป…”
ดูเหมือนว่าแม่ทัพฉลามอู๋หยาจะกลับมามีสติอีกครั้ง สีหน้าของมันจึงเศร้าสลดมากกว่าเดิมในขณะที่ระเบิดเสียงหัวเราะไปด้วย พร้อมกับกระอักเลือดไปด้วยในเวลาเดียวกัน