เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 569 มาให้อากอดหน่อย
ปรากฏว่าขบวนกำลังเสริมสามชุดแรกที่เดินทางมาถึงนั้น ต้องพบกับชะตากรรมสุดแสนอนาถใจ
ยังไม่ทันได้ลงมือทำภารกิจ ก็ถูกกำจัดทิ้งเสียก่อน
เกรงว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มกองกำลังใต้ดินคงไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำกันได้ง่ายๆ
แต่เรื่องนี้หลินเป่ยเฉินไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็ได้มีแขกคนสำคัญแวะเวียนมาที่ตำหนักไม้ไผ่ไม่ขาดสาย
แม้แต่ไต้จือฉุนกับภรรยาก็ยังมาเยี่ยมหลินเป่ยเฉินพร้อมด้วยลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา
“เข้ามาก่อนสิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเดินออกไปรับแขกในห้องนั่งเล่นที่ชั้นล่างของบ้านพัก
“ข้าน้อยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมคุณชายหลิน หวังว่าคุณชายคงไม่ปฏิเสธน้ำใจของพวกเรา”
ไต้จือฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อม ในมือประคองไหสุราสีดำขนาดเล็ก ก้มศีรษะยื่นส่งมาข้างหน้า
“พี่ไต้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เชิญนั่งลงก่อน”
หลินเป่ยเฉินให้การต้อนรับอย่างเป็นมิตร
เพราะเขาค่อนข้างประทับใจในตัวไต้จือฉุน
เนื่องจากบุคคลผู้นี้เป็นตัวแทนของคนที่รักในความยุติธรรมอย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินเป็นคนเห็นแก่ตัว
ถ้าเขาเป็นไต้จือฉุน รับรองว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางเสนอตัวออกมาเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมการต่อสู้เด็ดขาด
ครอบครัวของไต้จือฉุนใช้ชีวิตอย่างราบเรียบธรรมดาในเมืองหยุนเมิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นี้เป็นยอดฝีมือ ไต้จือฉุนจึงไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่เขาจะเสนอตัวออกมา
อีกอย่าง เขามีภรรยาและบุตรสาวให้ดูแล
ไม่ใช่ไต้จือฉุนจะไม่รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้อันตรายขนาดไหน หากเขาตายไป ก็เท่ากับเป็นการทิ้งให้ภรรยาและบุตรสาวต้องอยู่เผชิญโลกแห่งความวุ่นวายโกลาหลเพียงลำพัง ไต้จือฉุนจะสามารถปกป้องภรรยาและบุตรสาวได้อย่างแน่นอนก็ต่อเมื่อเขานำตัวพวกนางไปหลบซ่อนอยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้น
แต่ชายหนุ่มก็ยังเลือกที่จะเสนอตัวเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมการต่อสู้อยู่ดี
แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นไปแสดงฝีมือบนเวที แต่เพียงเท่านี้ หลินเป่ยเฉินก็ยอมรับและชื่นชมในความกล้าหาญของบัณฑิตหนุ่มมากแล้ว
ไต้จือฉุนเหมาะสมที่จะเป็นวีรบุรุษของชาวเมืองยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก
ไต้จือฉุนไม่ได้มีหน้าที่รับใช้ประเทศชาติ แต่เขาก็ยังทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้
นี่คือบุคคลในแบบฉบับที่หลินเป่ยเฉินอยากจะเป็นให้ได้
แต่เด็กหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถเป็นอย่างไต้จือฉุนได้เด็ดขาด
หากสลับตัวเขากับไต้จือฉุน หลินเป่ยเฉินก็คงจะต้องพาลูกเมียของตนเองหลบหนีไปให้ได้เร็วที่สุด
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งชื่นชมในตัวของไต้จือฉุนมากเท่านั้น
“นี่คือโจวจิง ภรรยาของข้าน้อยขอรับ”
ไต้จือฉุนแนะนำตัวหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนพูดต่อ “ส่วนนี่คือติงติง บุตรสาวของพวกเรา”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะและกางแขนออกกว้าง พร้อมกับพูดว่า “แหม น่ารักจริงนะตัวแค่นี้ มาให้อากอดหน่อยสิ มามะๆๆ…”
หลังจากพูดออกไปแล้ว หลินเป่ยเฉินถึงได้หยุดชะงักไปเล็กน้อย
เฮ้อ
ทำไมคำพูดมันถึงฟังดูพิกลแบบนั้นวะ
อย่างกับไอ้พวกคนโรคจิตที่คิดหลอกล่อเด็กน้อยไปทำมิดีมิร้ายอย่างไรก็ไม่รู้…
แต่ก็เปลี่ยนคำพูดไม่ทันซะแล้ว
สุดท้าย ใครจะไปคิดเลยว่าเด็กน้อยกลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดของหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า
“พี่ชายช่างมีหน้าตาหล่อเหลาเหลือเกิน โตขึ้นติงติงจะแต่งงานกับท่าน…”
หืม?
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจกับลักษณะร่าเริงของเด็กหญิงไม่ใช่น้อย จึงรีบกลบเกลื่อนความกระดากอายของตนเองเมื่อสักครู่นี้ด้วยการพูดว่า “น่ารักจังเลย ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าชื่อติงติงใช่ไหม? คงหมายถึงเสียงกระบี่ที่ปะทะกันสินะ?”
พรืด
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินหลุดหัวเราะออกมาโดยทันที
นายท่านช่างเป็นคนมีอารมณ์ขันอะไรเช่นนี้
ไต้จือฉุนและภรรยาก็อดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
ติงติงของพวกเขามาจากเสียงกระดิ่งสั่นไหวต่างหาก
พวกเขาสองสามีภรรยาได้ยินมานานแล้วว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกชอบพูดจาเหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อได้มาประสบพบเจอกับตนเองเช่นวันนี้… ไต้จือฉุนและภรรยาก็ได้รู้แล้วว่า หลินเป่ยเฉินมีความแปลกประหลาดสมคำเล่าลือจริงๆ
แต่ดูจากสีหน้ากระตือรือร้นของเด็กหนุ่ม เขาคงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตนเองพูดอะไรออกมา
ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะรับแขก
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน
และเนื่องจากนางมีอายุเพียงสองสามขวบเท่านั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาสั่งให้เฉียนเหมยนำขนมมาให้เด็กน้อยรับประทาน ในระหว่างที่หยอกล้ออยู่กับติงติงนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถามออกมาว่า “เกรงว่าท่านพี่ไต้มาหาข้าน้อยในยามนี้ คงมีเรื่องอะไรบางอย่างคิดบอกข้าน้อยกระมัง?”
ไต้จือฉุนต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้ว
ที่ผ่านมา มีคนมากมายพูดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มสมองเสื่อม ไม่มีความคิดและวิธีการสำหรับดำเนินเรื่องราวต่างๆ และดูเหมือนว่าความสำเร็จทั้งหลายแหล่ที่เขาทำได้นั้น ก็เป็นเพราะโชคช่วยวาสนานำพาเสียส่วนใหญ่ ดังนั้น ไต้จือฉุนจึงคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถอ่านความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกเห็น
“ที่ข้าน้อยมาหาในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องบางอย่าง อยากจะสารภาพกับคุณชายหลิน”
ไต้จือฉุนมีท่าทีลังเลอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ฝืนยิ้ม พูดออกมา “ความจริงแล้ว ข้าน้อยไต้จือฉุนเป็นคนบาปไม่ใช่ตัวดี ต่อให้ภายนอกมีภาพลักษณ์เป็นบัณฑิตผู้รักในความยุติธรรม แต่ตัวตนที่แท้จริง ไต้จือฉุนกลับเป็นเพียงผู้ร้ายที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วก็ยังหลบหนี…”
“ข้าน้อยขอเดานะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นขัดจังหวะเล็กน้อย “พี่ไต้กำลังจะบอกว่าตนเองเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดีใช่หรือไม่?”
ไต้จือฉุนพยักหน้าตอบรับด้วยความเศร้าใจ “คุณชายเข้าใจถูกแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาในพริบตา ไต้จือฉุนก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกขับไล่ออกไปจากตำหนักไม้ไผ่โดยทันที
ภรรยาสาวผู้นั่งอยู่ข้างกายต้องกุมมือสามีเอาไว้ด้วยความวิตกกังวล
แต่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็จะอยู่ข้างกายเขาเสมอ
โดยที่ไม่มีวันเสียใจ
หลินเป่ยเฉินยกมือข้างหนึ่งนวดขมับตนเองพร้อมกับพูดว่า “พี่ไต้มาหาข้าน้อยในคืนนี้ เพราะอยากให้ข้าน้อยยื่นมือเข้าไปช่วยคลี่คลายมลทินให้กับท่านใช่หรือไม่?”
ไต้จือฉุนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มฝืดฝืน
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “เป็นเรื่องน่าอายนักที่ต้องยอมรับว่า การที่ข้าน้อยยังสามารถมาพบหน้าคุณชายหลินได้อยู่นี้ ก็ถือเป็นสิ่งที่โชคช่วยมากแล้ว เดิมทีข้าน้อยมีความคิดที่จะขึ้นไปตายบนเวทีประลอง และมอบรางวัลทั้งหมดให้แก่ลูกเมียของตนเอง ข้าน้อยไม่อยากทนเห็นทุกคนใช้ชีวิตอยู่ใต้ความหวาดกลัวอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายหลินกลับสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจดงดงาม ท่านทำให้ข้าน้อยไม่มีโอกาสได้ชำระบาปของตนเอง ข้าน้อยจึงอยากจะมาบอกแก่คุณชายหลินว่า… เฮ้อ…”
สุดท้าย บัณฑิตหนุ่มผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 4 ก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ดูเหมือนข้าจะคาดเดาได้ถูกต้องแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “พี่ไต้เป็นคนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนเองถึงขนาดนี้ แต่กลับนำของฝากมาเยี่ยมเยือนผู้อื่น ย่อมแสดงว่ามีเรื่องบางอย่างอยากรบกวนขอความช่วยเหลือ”
ดวงตาของเด็กหนุ่มกำลังจ้องมองไหสุราสีดำใบเล็ก ซึ่งไต้จือฉุนนำมาฝาก และบัดนี้ มันกำลังตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขกเบื้องหน้าพวกเขา
“แต่พี่ไต้คิดว่าไหสุราเพียงใบเดียวจะสามารถซื้อใจข้าได้แล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าใส่คู่สามีภรรยาด้วยความไม่พอใจ “ก่อนมาที่นี่ ท่านคิดดีแล้วใช่ไหม?”
ไต้จือฉุนและภรรยามีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที
“กราบเรียนคุณชายหลิน ความจริง เหตุผลที่สามีของข้าต้องทำผิดกฎหมายก็เพราะว่า…”
ภรรยาของบัณฑิตหนุ่มผู้มีใบหน้าขาวซีดพยายามอธิบาย
แต่แล้วไต้จือฉุนกลับยกมือห้ามปราม
เขาลุกขึ้นยืนประสานมือทำความเคารพและกล่าวด้วยน้ำเสียงละอายใจ “ข้าน้อยรู้ดีว่าคำขอร้องของตนเองคงเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ถึงคุณชายหลินจะรังเกียจข้าน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเคารพที่ข้าน้อยมีต่อตัวคุณชายหลินได้เลย พวกเราจะไม่มีทางลืมเลือนว่าคุณชายหลินเป็นคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อชาวเมืองทุกคน… ข้าน้อยต้องขออภัยที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชาย พวกเราพ่อแม่ลูกคงต้องขอตัวกลับแล้ว”
พูดจบ ไต้จือฉุนก็กำลังจะเอื้อมมือเข้ามาอุ้มติงติงกลับไป
แต่หลินเป่ยเฉินกลับกอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแนบแน่น บอกชัดว่าไม่มีเจตนาส่งคืนพ่อแม่ และในทันใดนั้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีทางที่ท่านจะดูไม่ออก ถูกต้องแล้ว ข้ามันเป็นปีศาจสุรา ต่อให้สุราเพียงไหเดียวก็สามารถซื้อใจข้าได้สำเร็จ แล้วพวกท่านจะรีบกลับไปไหน…”
ไต้จือฉุนและโจวจิงผู้เป็นภรรยาหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปสั่งงานว่า “เฉียนเจิน นำสุราหยกพันปีที่มีมูลค่าหมื่นเหรียญทองคำออกมา วันนี้ข้าจะดื่มกับพี่ไต้สักหน่อย”
“คุณชายหลิน ท่าน…”
ไต้จือฉุนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินอุ้มเด็กหญิงวางลงข้างตัว ก่อนลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับไต้จือฉุน “เมื่อสักครู่นี้ ต้องขออภัยด้วยที่ข้าน้อยเล่นตลกไม่ดูเวลา ความจริงนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเลย ข้าขอถามพี่ไต้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า ความผิดทางกฎหมายที่ท่านได้กระทำลงไป เป็นเพราะท่านรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือไม่?”
ไต้จือฉุนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ย่อมไม่ใช่แน่นอน ข้าเกลียดชังผู้ที่รังแกคนอ่อนแอเป็นที่สุด…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง โบกสะบัดมือและถามต่อ “หรือเป็นเพราะท่านสังหารคนบริสุทธิ์ หรือว่าท่านเป็นโจรราคะ?”
ไต้จือฉุนรีบตอบกลับโดยเร็ว “ย่อมไม่ใช่”
“หรือว่าท่านวางเพลิงปล้นทรัพย์ หักหลังสหายของตนเอง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
ไต้จือฉุนยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ “ย่อมไม่ใช่”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสบายใจ “ในเมื่อไม่ใช่ความผิดเหล่านี้ แล้วท่านจะเป็นกังวลไปทำไม? พี่ไต้ สำหรับในสายตาของท่านแล้ว หลินเป่ยเฉินคนนี้เป็นผู้ที่ไม่ควรค่าจะให้ท่านเชื่อใจหรืออย่างไร?”
ไต้จือฉุนถึงกับต้องเบิกตาโตแล้ว
ภรรยาสาวที่อยู่ข้างกายเขาก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา
พวกเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและจับมือไต้จือฉุนกระชับแน่น “พี่ไต้ไม่ต้องเป็นกังวล ตราบใดที่ท่านยังเป็นท่านคนเดิม ไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะทำอะไรผิดมา เดี๋ยวข้าจะคอยแก้ปัญหาให้เอง และไม่สำคัญว่าพวกมันจะยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่ถ้าพวกมันอยากจะได้ตัวท่านไป ก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
พูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองต้องได้คะแนนความเชื่อใจเต็ม 100 แต้มอย่างแน่นอน
เป็นไงล่ะ?
นี่มันทักษะการพูดจาระดับราชากล่อมขุนพลเชียวนะ
ชีวิตนี้ก็คือการแสดงละคร ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดจะสามารถแสดงละครได้สมจริงมากกว่ากัน
เขาอุตส่าห์พูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ไต้จือฉุนจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจบ้างเลยสักนิดก็ให้มันรู้ไปสิ…