เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 573 นายน้อย มันไม่ใช่นกขอรับ
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เยว่หงเซียง”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความดีใจ “ไม่เจอกันนานเลยนะ ไหนขอกอดหน่อยสิ”
เขาแกล้งพูดออกไปตามประสาคนที่ชอบพูดจาเหลวไหล
แต่ใครจะไปคิดเลยว่าเยว่หงเซียงกลับเดินเข้ามาอ้าแขนโอบกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่นเสียอย่างนั้น
กลิ่นกายของเด็กสาวโชยขึ้นมาเตะจมูก
ให้ตายสิ
หอมจังเลย
หลินเป่ยเฉินสูดดมกลิ่นกายเยว่หงเซียงเข้าไปเต็มปอด
เยว่หงเซียงเดินทางไปเรียนต่อในเมืองหลวงและอยู่ดีๆ ก็เดินทางกลับมาไม่บอกไม่กล่าว
“พวกเจ้าคิดถึงกันแค่สองคนหรือไร ข้าก็มาด้วยนะ หรือว่าเจ้ามองไม่เห็น?”
น้ำเสียงหยอกเย้าดังขึ้นข้างกาย
หลินเป่ยเฉินชะงักไปอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ฮัน?”
เขาหันหน้าไปมองด้วยความเหลือเชื่อ
จึงได้เห็นว่าฮันปู้ฟู่กำลังถอดหน้ากากออกและยืนส่งยิ้มมาให้ด้วยความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
เขาวิ่งเข้าไปใช้กำปั้นต่อยหน้าอกฮันปู้ฟู่เบาๆ ก่อนจะโอบกอดแนบแน่น
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าเป็นทหารที่ถือกำเนิดเกิดจากเมืองหยุนเมิ่ง ก็ต้องกลับมาช่วยเหลือบ้านเกิดยามลำบากสิ”
ฮันปู้ฟู่ตอบกลับมา
“หลานรัก ขอบใจเจ้ามากที่อุตส่าห์มาช่วยเหลือพวกเรา”
แล้วก็มีเสียงที่คุ้นหูอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมอง
ทันได้เห็นว่าเหลียวหวังซูกำลังปลดผ้าคลุมออกจากศีรษะ เปิดเผยใบหน้าแก่ชราที่ยังดูหล่อเหลา บนใบหน้าประดับรอยยิ้มใจดีมีเมตตา ราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ไม่ได้พบหน้าหลานรักมานานหลายปี เมื่อผู้คนพบเห็นรอยยิ้มชนิดนี้ ก็จะเกิดความรู้สึกเชื่อใจโดยไม่รู้ตัว
“ท่าน… ชื่อว่าอะไรนะ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไป
เหลียวหวังซูชะงักไปเล็กน้อยและรีบพูด “หลานรักลืมท่านลุงผู้นี้ได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ไม่นาน เราก็เคยพบเจอกันมาแล้ว”
“ไม่ต้องทำเป็นพูดดี”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่เคยมีลุงเช่นท่าน”
รอยยิ้มบนใบหน้าเหลียวหวังซูสลายหายไปทันที
ปฏิกิริยาตอบรับของเด็กหนุ่มแตกต่างจากที่ชายชราคิดเอาไว้มากทีเดียว
เหลียวหวังซูรู้ว่าหลินเป่ยเฉินยังคงจดจำตนเองได้ดี
แต่เป็นเพราะในยามที่สถานศึกษากระบี่ที่สามมีปัญหา เหลียวหวังซูไม่เคยออกหน้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย เขากลับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หรือว่าหลินเป่ยเฉินจะเกลียดชังเขาเพราะเหตุผลนี้?
เป็นไปได้ว่าเด็กหนุ่มยังไม่รู้ถึงเรื่องราวฉากหลังที่ดำเนินไปตลอดเวลา
“น้องชายรักษามารยาทด้วย”
หลู่หลิงโจวไม่ทราบมาก่อนว่าเคยเกิดอะไรขึ้น บัดนี้ นางกำลังโล่งอกที่การซุ่มโจมตีผ่านพ้นไปแล้ว จึงกล่าวว่า “ใต้เท้าเหลียวหวังซูผู้นี้เป็นถึงเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑล สำหรับกับชาวเมืองหยุนเมิ่ง การที่บุคคลระดับสูงถึงเพียงนี้ยอมลดตัวลงมาช่วยเหลือพวกเรา ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากมายแล้ว…”
“หึหึ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคออย่างเหยียดหยาม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร แต่จะมาบอกว่าข้าไม่รักษามารยาทไม่ได้ เพราะผู้เฒ่าคนนี้ไม่ใช่ตัวดี”
“สามหาว”
ยังคงมีองครักษ์ของขบวนกำลังเสริมที่รอดชีวิตออกจากเส้นทางกระบี่ผ่าขุนเขาจำนวนหนึ่งยืนอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา “เจ้าอย่าได้ทำตัวบังอาจกับใต้เท้าเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปจ้องมองกลุ่มองครักษ์เหล่านั้น
กลุ่มองครักษ์รู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่างกาย คล้ายกับกำลังถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจ้องมอง
หลู่หลิงโจวกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นซ้ำซ้อน จึงรีบพูด “น้องชาย ก่อนที่เจ้าจะพูดอะไร ต้องอย่าลืมว่าพวกเขาเป็นนายทหารของจักรวรรดิ พวกเขามีเจตนามาที่นี่เพื่อเสี่ยงชีวิตช่วยชาวเมือง เจ้าไม่สมควร…”
หลินเป่ยเฉินอดขึ้นเสียงตอบกลับไปไม่ได้ว่า
“พี่สะใภ้ ท่านไม่เข้าใจความหมายของข้าหรืออย่างไร?”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มบอกชัดถึงความเหน็ดเหนื่อยหัวใจ “สำหรับท่านแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มสมองเสื่อมที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดีใครเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ?”
หลู่หลิงโจวพูดอะไรไม่ออก
นางไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
แต่ก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามีชาวทะเลและมนุษย์จำนวนมากมายแค่ไหนที่ต้องตายด้วยน้ำมือหลินเป่ยเฉิน
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นถึงอดีตนักโทษประหาร…ที่องค์จักรพรรดิให้อภัยโทษ
ย่อมไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขาอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโดดเดี่ยว
ผู้คนมักมองเขาเป็นบุคคลสติไม่สมประกอบ หลินเป่ยเฉินมักจะถูกหัวเราะเยาะ และหลายคนก็ไม่เชื่อในความคิดความอ่านของเขา
ทำไมโลกนี้ถึงได้รังแกคนดีอย่างเขาจังเลยนะ
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “ช่างมันเถิด ข้ากลับไปติดตามผลการทำคลอดก่อนดีกว่า บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าไม่ได้เป็นเพราะอาฮัวกำลังคลอดลูก ข้าไม่มีทางมาอยู่ที่นี่เด็ดขาด…”
แต่พูดออกไปแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบกล่าวเสริม “ฮ่าฮ่าฮ่า แต่โชคดีที่ข้าตัดสินใจมาที่นี่ เพราะมันทำให้ข้าได้พบกับศิษย์น้องเยว่และศิษย์พี่ฮันอีกครั้ง เอาเป็นว่าเมื่อกลับเข้าเมืองกันแล้ว ขอเชิญท่านทั้งสองไปร่วมดื่มกินฉลองการคลอดลูกของอาฮัวที่ตำหนักไม้ไผ่กันดีกว่า”
สีหน้าของเยว่หงเซียงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยและอดถามออกมาไม่ได้ว่า “พี่หลินเจ้าคะ อาฮัวเป็นใครหรือ….”
“อ๋อ มันเป็นหมาป่าน้ำแข็ง สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของข้าเอง” หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าคงจำได้ ตอนที่แข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ข้าใช้ยาปลุกกำหนัดแรงมากไปหน่อย ส่งผลให้เจ้าหมาป่าต้องตั้งครรภ์โดยไม่เต็มใจ… และบัดนี้ มันก็กำลังจะคลอดลูกในท้องออกมาแล้ว”
บรรดาองครักษ์จากเมืองหลวงที่ยืนอยู่โดยรอบ เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ก็ต้องพากันจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง
ใช้ยาปลุกกำหนัดแรงเกินไป?
จนหมาป่าน้ำแข็งตั้งครรภ์โดยไม่เต็มใจ?
สมแล้วที่เป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพลในตำนาน
แต่เมื่อได้รับฟังคำตอบ ความตึงเครียดบนสีหน้าเยว่หงเซียงพลันมลายหายวับ “มันกำลังจะคลอดลูกแล้วหรือเจ้าคะ? ประเสริฐ งั้นพวกเรารีบกลับกันดีกว่า ข้าอยากเห็นลูกของมันแล้ว”
“อะแฮ่ม…”
เหลียวหวังซูส่งเสียงกระแอมไอ
“อ้อ จริงด้วยสิ พอพวกเราเข้าถึงตัวเมืองแล้ว จำเป็นต้องเข้าประชุมโดยเร็วที่สุด”
ดูเหมือนเยว่หงเซียงจะนึกอะไรขึ้นมาได้
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองเหลียวหวังซู และพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ไอขนาดนี้ไม่ทราบว่าส้นเท้าติดคอหรืออย่างไร อยากหายไอไหม เดี๋ยวข้าจะใช้ส้นเท้าของข้าล้วงคอให้ท่านเอง”
เหลียวหวังซูพูดอะไรไม่ออก
บรรดาองครักษ์ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินใช้สายตาจ้องมองเหลียวหวังซูอย่างคุกคาม “บัดนี้ อาจารย์ของข้ามีสถานะเป็นถึงเจ้าเมืองคนใหม่ และชาวเมืองก็เอ็นดูข้าราวกับเป็นบุตรชายของพวกเขา บรรดายอดฝีมือในเมืองก็ชื่นชมข้าเป็นวีรบุรุษประจำใจ… เฮ้อ พูดง่ายๆ ก็คือ หากท่านคิดจะอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ท่านก็ต้องทำตามคำสั่งของข้า มิฉะนั้นแล้ว… เหอเหอเหอ”
เหลียวหวังซูหัวใจกระตุกวูบด้วยความหวาดหวั่น
ทุกอย่างผิดไปจากที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง
เขารู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มยอดฝีมือ แต่การได้เห็นหลินเป่ยเฉินสังหารนักรบชาวทะเลกลุ่มใหญ่ในเวลาอันรวดเร็วบนเส้นทางกระบี่ผ่าขุนเขาเมื่อสักครู่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เหลียวหวังซูอดตกใจไม่ได้จริงๆ
ดังนั้น ชายชราจึงเลือกที่จะหุบปาก
“ท่านเข้าใจแล้วหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “สำหรับตัวชั่วร้ายเช่นท่าน ข้าไม่จำเป็นต้องไว้หน้าให้เสียเวลา”
ทุกคนล้วนพูดอะไรไม่ออก
ฮันปู้ฟู่ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ
“พวกเราไปกันเถิด”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัด
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ในที่สุด พวกเขาก็กลับมาถึงตำหนักไม้ไผ่
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งผ่านรั้วบ้านเข้าไปด้วยความร้อนใจ “พี่หยาง สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? หมาป่าคลอดลูกออกมาแล้วหรือยัง?”
หวังจงเป็นคนที่เดินออกมาจากด้านในตัวบ้านพักและรายงานว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับนายน้อย แม่และลูกปลอดภัยดีทั้งคู่”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
“แล้วหมาป่าน้อยอยู่ไหน เอามาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้…” เขาสั่ง น้ำเสียงตื่นเต้น
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เห็นอากวงอุ้มนกน้อยตัวหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนเดินออกมาจากในบ้านพัก เมื่อมันมองเห็นหลินเป่ยเฉิน เจ้าหนูก็ยิ้มแย้มออกมาและยกนกน้อยในอ้อมแขนขึ้นอวดราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินสะบัดมือตบหัวอากวงอย่างแรง
“ข้าใช้ให้เจ้าเฝ้าภูเขาเสี่ยวซี เจ้าจะกลับมาที่นี่ทำไม? กลับมาเฉยๆ ไม่ว่า แต่นี่เจ้ากลับขโมยลูกนกที่ไหนมาอุ้มอีก รู้หรือไม่ว่าหมาป่าน้ำแข็งมันคลอดลูกแล้ว? เจ้าอุตส่าห์สอนหนังสือมันทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ในวันที่สำคัญที่สุดของมัน เจ้ากลับเอาลูกนกมาอุ้มเล่นได้อย่างไร้ยางอาย… ยังไม่รีบนำลูกนกตัวนี้ไปปล่อยอีก…”
อากวงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
จังหวะนั้น เฉียนเหมยกับเฉียนเจินรีบวิ่งเข้ามาอธิบายว่า “นายท่านเจ้าคะ สิ่งที่อากวงกำลังอุ้มอยู่นั่นแหละ คือลูกของหมาป่าน้ำแข็ง”
หา?
หลินเป่ยเฉินนึกว่าตนเองหูฝาด
เขามองสองสาวรับใช้ด้วยความไม่เข้าใจ
พวกนางจ้องตอบกลับมาด้วยแววตาหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสับสนไปหมดแล้ว
นี่มันอะไรกันเนี่ย
พ่อของมันเป็นเสือ แม่ของมันเป็นหมาป่า แล้วทำไมลูกถึงออกมาเป็นนก?
ต่อให้นี่จะเป็นโลกแห่งวรยุทธ์ แต่ก็เป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ทันใดนั้น หวังจงขยับเข้ามาพูดข้างกายว่า “นายน้อย มันไม่ใช่นกนะขอรับ นายน้อยลองดูดีๆ ก่อน”