เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 608 บทสนทนาระหว่างสหาย
ตอนที่ 608 บทสนทนาระหว่างสหาย
ฮันปู้ฟู่เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ทำได้เพียงยิ้มฝืดฝืนให้กับคำตอบของหลินเป่ยเฉินเท่านั้น
แต่แล้วเด็กหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตัวเขาเองมีดีอะไรถึงได้คิดจะไปช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน?
ผู้ที่จะสามารถคลายปมในหัวใจของหลินเป่ยเฉินได้นั้น เห็นทีคงจะมีแต่เทพเจ้าที่ทำได้
ทันใดนั้น ฮันปู้ฟู่ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
คนเราเมื่อต้องการปกป้องชาติและแผ่นดินเกิด ก็มีแต่ต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้น
หากยังแข็งแกร่งไม่มากพอ ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นให้ได้
จะไปฝากความหวังไว้ที่ผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด
อย่างเช่น ที่เขาอยากเชิญหลินเป่ยเฉินเข้าร่วมกองทัพ ก็เพราะอยากให้กองทัพมีความแข็งแกร่งมากขึ้น แล้วเหตุไฉนฮันปู้ฟู่ถึงไม่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพด้วยตัวของเขาเองเล่า?
“แต่เจ้าจงเตรียมใจให้ดีเถิด”
ฮันปู้ฟู่หันมาพูดกับหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอีกครั้ง “ต่อให้เจ้าอยากอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่เมื่อไปถึงนครเจาฮุย ชีวิตของเจ้าก็คงวุ่นวายไม่ต่างไปจากตอนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง นครหลวงแห่งนั้นมีประชากรอยู่มากกว่า 10 ล้านคน มีสถานศึกษาหลายพันแห่ง มีสถาบันกระบี่หลายร้อยแห่ง มีสำนักยุทธ์อีกมากมายนับไม่ถ้วน รวมไปถึงมีวิหารของเทพีกระบี่อีกหลายร้อยสาขา…”
“ไม่มีใครรู้เลยว่าเมืองหลวงที่ใหญ่โตแห่งนี้กำลังซ่อนเร้นอะไรอยู่บ้าง หากหยุนเมิ่งเปรียบเสมือนบ่อน้ำที่อบอุ่นใสสะอาด นครเจาฮุยก็ไม่ต่างไปจากทะเลสาบดำมืดที่มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ด้านล่างจำนวนมาก หลายครั้งภายในเมืองหลวงก็เกิดคลื่นใต้น้ำโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว ถึงเจ้าไม่อยากมีเรื่องกับผู้ใด แต่ความเดือดร้อนก็จะต้องหาทางเข้าถึงตัวเจ้าจนได้ ที่นั่นเต็มไปด้วยมือกระบี่เสือสิงห์กระทิงแรด แต่ละคนเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมเชื่อถือไม่ได้ วันนี้พวกเขาอาจจะดีต่อเจ้า แต่วันถัดไป พวกเขานั่นแหละที่พร้อมจะชักกระบี่ออกมาแทงเจ้าได้ทุกเมื่อ”
หลินเป่ยเฉินที่กำลังดื่มสุราแทบจะสำลักออกมาแล้ว “ข้าไม่เห็นด้วยกับที่ท่านพูด”
“หืม?”
ฮันปู้ฟู่เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม “ท่านคิดว่าข้าเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาหรืออย่างไร เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ข้าก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้ใครมามีเรื่องกับข้าเลยก็แล้วกัน มิฉะนั้น…”
พูดถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นดีดนิ้ว
ก้นบุหรี่ในมือของเขาลอยละลิ่วไปตกลงในถังขยะที่ตั้งอยู่มุมห้องอย่างสวยงาม
“เพราะข้าเป็นคนวิกลจริต สติไม่สมประกอบ จึงอาจทำอะไรที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เป็นได้”
ระหว่างที่เด็กหนุ่มพูดประโยคนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายแวววาวขึ้นมา
“แต่ว่า…”
ฮันปู้ฟู่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ศิษย์พี่ฮัน”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดขัดจังหวะพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าอาศัยอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งมานาน ข้ารู้ดีว่าการโดนดูถูกมันเป็นเช่นไร ขอแค่พวกเขาอย่ามารังแกข้าให้มากเกินไป ข้าก็คงสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้สบายมาก เว้นแต่ว่าพวกมันจะมาหาเรื่องรังควานข้าไม่หยุดไม่หย่อนนั่นแหละ ข้าถึงจะอัญเชิญเทพีกระบี่มาสั่งสอนให้พวกมันรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของข้าเอง”
ฮันปู้ฟู่แทบจะพูดอะไรไม่ออก
“แล้วชาวเมืองที่อพยพมาพร้อมกับเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
ฮันปู้ฟู่พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าจะให้พวกเขาไปอยู่ที่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “เรื่องนั้นต้องเป็นหน้าที่ของพวกขุนนางคนใหญ่คนโตรับผิดชอบไม่ใช่หรือ? พวกเขาเป็นประชาชนของจักรวรรดิเป่ยไห่ ต้องอพยพออกมาจากถิ่นฐานบ้านเกิด ทางเบื้องบนก็น่าจะส่งคนลงมาดูแลบ้างสิ”
ฮันปู้ฟู่กลับมามีสีหน้าร้อนใจขึ้นโดยทันที “เรื่องมันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น คนที่เจ้าพามาด้วยโดยรวมเป็นคนแก่ เด็ก สตรี คนป่วย คนพิการ จากมุมมองของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง การรับชาวเมืองเหล่านี้กว่าหมื่นคนมาดูแล คือการเพิ่มภาระโดยไม่จำเป็น…”
“หรือว่าพวกเขาจะปฏิเสธชาวเมืองเหล่านี้?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
ฮันปู้ฟู่อธิบายด้วยความลำบากใจ “แต่มีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อทุกคนอพยพไปถึงเมืองเจาฮุยแล้ว พวกเขาอาจจะต้องพบกับความยากลำบากมากกว่าในเมืองหยุนเมิ่งเสียอีก อย่างน้อยก็จนกว่าจะลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง และนั่นคงกินเวลาพอสมควร”
“ไม่สำคัญหรอกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบ “ถ้าปัญหามันหนักหน่วงจริงๆ เดี๋ยวข้าจะอัญเชิญเทพีกระบี่มาแสดงอำนาจช่วยเหลือทุกคนเอง…”
ฮันปู้ฟู่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้แล้ว
นี่หลินเป่ยเฉินคิดว่าเทพีกระบี่เป็นมารดาของตนเองหรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าเทพีกระบี่จะยอมช่วยเหลือเขาทุกครั้ง?
“อีกอย่างนะขอรับ ข้าค่อนข้างมีสายสัมพันธ์ที่ดีงามกับท่านนักพรตใหญ่อยู่ไม่น้อย”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะในขณะที่หยิบบุหรี่ออกมาอีกมวน “ถ้าติดต่อเทพีกระบี่ไม่ได้ ข้าก็จะขอให้ท่านนักพรตใหญ่ออกหน้าช่วยเหลือเอง…”
ฮันปู้ฟู่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าประหลาดพิกลขึ้นมาแล้ว
หลังจากนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเด็กหนุ่มรุ่นพี่ก็กล่าวว่า “เจ้ายังไม่รู้ใช่ไหม? นักพรตใหญ่ผู้มีนามว่าท่านนักพรตหลงเยว่ของเจ้านั้น ได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้วเมื่อสองเดือนก่อน ด้วยความผิดโทษฐานสร้างความเสื่อมเสียให้แก่เทพีกระบี่ บัดนี้ นางมีสถานะเป็นนักบวชที่ต่ำต้อยมากที่สุด นอกจากต้องทำหน้าที่เฝ้าวิหาร ก็ยังต้องคอยทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูบริเวณรอบๆ วิหารหลวงอีกด้วย…”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักกึก
ความเกียจคร้านบนสีหน้าของเขาสลายหายไปทันทีและถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง
“สร้างความเสื่อมเสียให้แก่เทพีกระบี่? ไม่ทราบว่าท่านนักพรตใหญ่ไปทำอะไรให้ผู้คนไม่พอใจหรือขอรับ?”
ฮันปู้ฟู่ส่ายหน้าตอบว่า “เรื่องนั้นทางวิหารหลวงเก็บเป็นความลับ แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดเหมือนกัน”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกหัวใจร้อนรนขึ้นมาทันที
เขาหวังที่จะตั้งหลักใหม่ในนครเจาฮุย
แต่ดูเหมือนแผนการจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเสียแล้ว
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใจดีมีเมตตาของท่านนักพรตใหญ่หลงเยว่ผุดขึ้นมาในจิตใจของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าโศกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ท่านป้านักพรตใหญ่ทำดีกับเขาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
หากไม่ใช่เป็นเพราะกระบี่จันทราพิฆาตที่นางให้เอาไว้ ป่านนี้เขาคงตกตายภายใต้เงื้อมมือของหานเฉิงและศิษย์น้องไท้ของมันผู้นั้นไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินตั้งใจว่าจะต้องหาทางตอบแทนบุญคุณท่านป้านักพรตใหญ่ให้จงได้
เด็กหนุ่มรีบส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นามเพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เทพีกระบี่หิมะไร้นามหลังจากรับรากชงโหลวทั้งสองต้นนั้นไปเรียบร้อย นางก็หายตัวไปเลย
มีความเป็นไปได้สูงว่าคงกำลังกักตัวฝึกวิชา
“ช่างมันเถิด บัดนี้พวกเราอย่ามาพูดคุยเรื่องหนักสมองเช่นนี้เลย”
หลินเป่ยเฉินตัดบทขึ้นมาดื้อๆ “มาคุยเรื่องชีวิตของศิษย์พี่ในกองทัพบ้างดีกว่า ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่พวกเราแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ละคนมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง”
เยว่หงเซียงส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความปลอดโปร่งใจ
ในห้องโดยสารแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดจะมีความคิดเหมือนเด็กน้อยมากไปกว่าหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว