เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 646 เจ้านั่นแหละที่เป็นเศษสวะชั้นต่ำ!
ตอนที่ 646 เจ้านั่นแหละที่เป็นเศษสวะชั้นต่ำ!
ทำไมหวังจงถึงถูกโยนออกมา?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
ตีหมาก็เท่ากับดูหมิ่นเจ้าของ
นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างไม่เกรงใจ
กงกงรีบเดินเข้าไปช่วยประคองหวังจงลุกขึ้นยืน พร้อมกับสอบถามว่า “พี่ใหญ่เป็นอะไรหรือไม่?”
ชายชราผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มสายสืบลุกขึ้นยืนพลางนวดบั้นท้ายของตนเอง แต่เมื่อเหลือบเห็นหน้าผู้เป็นเจ้านาย พ่อบ้านหวังจงก็รีบวิ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินทันที “นายน้อยขอรับ พอดีมีอุปสรรคติดขัดนิดหน่อย แต่นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล หวังจงจะต้องหาวิธีให้ได้… รบกวนนายน้อย กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ก็ได้ยินเสียงคำรามดังออกมาจากด้านในตึกว่า “ฝันไปเถอะ คิดจะมาทำเรื่องก่อตั้งสถานศึกษาอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้ามีเงินนักหรือไง? ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตนเองเสียบ้าง น้ำหน้าอย่างพวกเจ้ามีปัญญาเปิดสถานศึกษาได้อย่างไร?”
เสียงนี้มีความคุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง
ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่มหัวหน้าเจ้าหน้าที่เศษสวะที่กินเลี้ยงอยู่ในโรงเตี๊ยมซิงซิงเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง
สีหน้าของหวังจงเปลี่ยนแปลงไป ชายชราแกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล ในเมื่อใช้เงินยัดใต้โต๊ะไม่ได้ผล หวังจงก็จะลองดูวิธีอื่น ไม่ต้องเดือดร้อนให้นายน้อยออกหน้าเองหรอกขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับและพูดเสียงแข็งกร้าว “ไม่ได้… เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“นายน้อยขอรับ อย่าเลยขอรับ…”
หวังจงใช้มือกอดเอวเด็กหนุ่มเอาไว้ เพราะเมื่อเห็นสีหน้าของนายน้อยในขณะนี้ ชายชราก็รู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจะอาละวาดอีกแล้ว เขาจึงต้องรีบห้ามปรามเอาไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลายโดยไม่จำเป็น
ที่นี่ไม่ใช่เมืองหยุนเมิ่ง
หลินเป่ยเฉินจะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้
แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ยังเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสำนักงานฝ่ายบริหารประจำเมืองพร้อมกับสบถว่า “เมื่อสักครู่สุนัขตัวไหนส่งเสียงเห่าหอน รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เดิมทีห้องโถงใหญ่มีบรรยากาศคึกคักแจ่มใส เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะเฮฮา
แต่แล้วความเงียบก็แผ่ปกคลุมอย่างกะทันหัน
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาพ่อค้าหรือเศรษฐีใหญ่ที่มาทำเรื่องติดต่อธุรกิจ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของสำนักงานบริหารผู้นั่งอยู่หลังคอกเสมียน ต่างก็จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียว
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองจนพบเจ้าหน้าที่หนุ่มเศษสวะในที่สุด
เจ้าหน้าที่หนุ่มผู้นั้นจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาถึงกับต้องยกมือดึงใบหูของตนเองด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าตนเองอาจจะหูฝาดไป
มีคนกล้าบุกเข้ามาก่อเรื่องถึงที่นี่ได้อย่างไร?
มิหนำซ้ำ ยังมาขึ้นเสียงคำรามใส่เขาอีก?
“ใช่ ข้ากำลังหมายถึงเจ้านั่นแหละ รีบออกมาจากหลังคอกเสมียนเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นชี้หน้าเจ้าหน้าที่หนุ่มผู้เป็นเป้าหมาย
“ข้า?” ใบหน้าของเจ้าหน้าที่หนุ่มปรากฏความเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ก่อนที่รอยยิ้มเหยียดหยามจะปรากฏขึ้นบนมุมปาก “เหอเหอเหอ เมื่อสักครู่ข้าได้ยินไม่ชัดเจน รบกวนเจ้าช่วยพูดออกมาอีกครั้งได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาพลางพูดว่า “งั้นข้าจะขอพูดอีกครั้ง เจ้าจงอธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมต้องทำร้ายคนของข้าด้วย?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเห็นหวังจงยืนหลบอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉินเพียงเท่านั้นก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง จึงส่งเสียงหัวเราะในลำคอและพูดว่า “นึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ไหน ที่แท้ก็เป็นตาแก่ผู้นี้นี่เอง เจ้าคงเป็นเจ้านายของมันสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ที่พวกเจ้าเคยอยู่ คิดจะใช้เงินเปิดสถานศึกษาอย่างนั้นหรือ? นี่เจ้าเห็นว่านครเจาฮุยของพวกเราเป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร?”
เกิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขันดังขึ้นรอบตัว
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่กลับมาคึกคักแจ่มใสอีกครั้ง
ผู้คนล้วนรับชมเหตุการณ์นี้ไม่ต่างจากกำลังรับชมละครสัตว์
หวังจงรีบกล่าวว่า “พูดเช่นนั้นก็เกินไปหน่อยนะขอรับ พวกเราแค่มาทำเรื่องให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกอย่างที่ต้องทำตามกฎระเบียบก็ได้ทำแล้ว…”
เจ้าหน้าที่หนุ่มจอมโอหังระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “ทำตามกฎระเบียบ? ก็ถ้าข้าไม่อนุญาต มันก็หมายความว่าพวกเจ้าเปิดไม่ได้ไงล่ะ เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรือไง? หืม ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
บรรดาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ผู้ทำงานอยู่หลังคอกเสมียนพร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความรื่นเริง
หลินเป่ยเฉินกราดสายตามองหน้าทุกคน
“พวกเจ้าไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปยกเท้าขึ้นเหยียบบนคอกเสมียนที่ทำจากแผ่นไม้ผสมเหล็กกล้า นอกจากนั้น มันยังได้ลงค่ายอาคมเสริมความแข็งแกร่งเอาไว้อีกด้วย
โครม!
แต่ค่ายอาคมเหล่านั้นระเบิดออก
คอกเสมียนแตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผงปลิวว่อนในอากาศ
“เจ้า…”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเศษสวะผู้มีนามว่าเฉียนซานเซิ่งใบหน้ากระตุก ระเบิดเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาอาละวาดในที่แห่งนี้ เจ้าจะต้อง…”
พูดยังไม่ทันจบ
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินก็สะบัดฝ่ามือฟาดเข้าใส่ใบหน้าของเฉียนซานเซิ่งเต็มแรง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่หนุ่มหมุนคว้าง 360 องศาก่อนที่จะล้มฟุบลงไป
บนใบหน้าปรากฏรอยนิ้วมือสีชมพูห้านิ้วเห็นเด่นชัด
ในห้องโถงใหญ่เกิดเสียงอุทานฮือฮา
เจ้าหน้าที่คุ้มกันในชุดเกราะถลันกายเข้ามาพร้อมกับชักกระบี่ออกจากฝัก
“ถอยไปซะ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาระเบิดเสียงคำราม
เสียงของเขากึกก้องกังวานปานเสียงฟ้าผ่า
มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน
เจ้าหน้าที่คุ้มกันทั้งสี่คนนั้นรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาสัมผัสได้ถึงมวลพลังที่มองไม่เห็นกระแทกเข้ามาราวกับเป็นพายุหมุน รู้ตัวอีกที ตนเองก็ลอยกระเด็นออกมาตกกระแทกพื้นในลานด้านหน้าตึกที่ทำการแล้ว
“เหวออออ…”
เฉียนซานเซิ่งร้องอุทานด้วยความหวาดกลัว เมื่อพบว่าตนเองมีเลือดไหลออกมาจากปาก
และฟันของเขาก็หลุดออกมาถึงสี่ซี่
ชายหนุ่มยกมือปิดปาก สีหน้าตกตะลึงสุดขีด “จะ… เจ้าคนเถื่อน? เจ้ากล้าดีอย่างไร… ทำร้ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง… หรือว่าเจ้าอยากตาย?”
เมื่อสูญเสียฟันหน้าไปแล้ว
การพูดของเฉียนซานเซิ่งก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นสะบัดฝ่ามืออีกครั้ง
เพี๊ยะ!
เฉียนซานเซิ่งหมุนคว้าง 360 องศาอีกรอบ
“พรวด…”
เจ้าหน้าที่หนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ใบหน้าของเขาบวมยิ่งกว่าหัวหมูไหว้เจ้า
หลินเป่ยเฉินยังคงลงมือต่อเนื่องไม่ลังเล
เพี๊ยะ!
“เจ้าคิดว่าตนเองประเสริฐเลิศล้ำกว่านายทหารแดนใต้มากนักหรือไง?”
เพี๊ยะ!
“สามารถเอาชนะชาวทะเลได้ในกระบวนท่าเดียว?”
เพี๊ยะ!
“นายทหารที่ประจำการอยู่บนกำแพงเป็นแค่พวกเศษเดนมนุษย์อย่างนั้นหรือ?”
เพี๊ยะ!
“ท่านเจ้าเมืองฉุยสมควรถูกฆ่าตายเป็นร้อยครั้งพันครั้ง?”
เพี๊ยะ!
“เจ้านั่นแหละที่เป็นเศษสวะชั้นต่ำ”
เพี๊ยะ!
“ไม่เคยมีใครตักเตือนเจ้าเลยหรือไง?”
เพี๊ยะ!
“เจ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่มาจากไหน?”
เพี๊ยะ!
“น้ำหน้าอย่างเจ้าเนี่ยนะจะนำทัพไปชนะใครได้?”
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินตบรัวๆ ไม่หยุดมือ
พูดจบหนึ่งประโยคจะเป็นการตบหนึ่งครั้ง
เพี๊ยะ!
“ใครสั่งสอนให้เจ้าปากดีถึงขนาดนี้?”
หลินเป่ยเฉินสะบัดฝ่ามือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความปลอดโปร่งสบายใจ