เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 650 กลุ่มคุณชาย
ตอนที่ 650 กลุ่มคุณชาย
มันเป็นคฤหาสน์หลังเล็กที่สวยงามหลังหนึ่ง
มีชื่อเรียกขานว่าตำหนักล่องเมฆา
ที่นี่มีอาณาเขตไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่รายล้อมด้วยทิวทัศน์ฤดูหนาวสวยงามดึงดูดใจ
บริเวณหน้าประตูทางเข้ามีทหารยามในชุดเกราะเหล็กยืนรักษาการ
คฤหาสน์หลังนี้ได้รับการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา
ชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายเหมือนคนธรรมดาเดินแบกถุงสีดำใบใหญ่มาจากเส้นทางไกลตา พวกเขาเดินตรงมายังคฤหาสน์หลังนี้ และนายทหารยามก็รีบเปิดประตูให้ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนเดินเข้ามาโดยที่ไม่มีใครต้องส่งสัญญาณบอก
ครืด!
แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้ง
รอบๆ คฤหาสน์มีเวรยามเดินลาดตระเวนตลอดเวลา
คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ในย่านของผู้ร่ำรวยในเขตเมืองชั้นสาม
มีชาวบ้านธรรมดาอยู่เพียงน้อยนิด
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนเดินข้ามสนามหญ้าด้านในและตรงเข้าไปยังตัวคฤหาสน์
ในห้องรับแขกของคฤหาสน์ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ขณะนี้กำลังมีกลิ่นของน้ำชาลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
มีผู้คนนั่งดื่มน้ำชารอชายฉกรรจ์กลุ่มนี้อยู่ประมาณห้าถึงหกคน
“เจ้านำตัวผู้คนมาได้สำเร็จหรือไม่?”
ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเหลืองวางถ้วยน้ำชาในมือลงและส่งเสียงถามอย่างร้อนใจ
“กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยได้นำตัวผู้คนมาแล้ว” หนึ่งในสี่ชายฉกรรจ์รีบก้มหน้าตอบด้วยความอ่อนน้อม
ชายฉกรรจ์อีกสามคนที่เหลือรีบช่วยกันแก้มัดถุงดำออก
เด็กสาวสองคนกอดกันกลมกลิ้งขลุกๆ ออกมาจากด้านในถุงดำ
คนหนึ่งเป็นเด็กหญิงผูกผมเปียสองข้าง ดวงตากลมโต สดใสน่ารัก
อีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาวร่างกายผอมสูง ใบหน้ากลมเกลี้ยงจิ้มลิ้ม
พวกนางกลิ้งไปบนพื้นราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
“เหตุใดถึงจับตัวมาสองคน?”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเหลืองขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำชาทั้งห้าคนของเขาต่างก็หันมองหน้ากันด้วยความพิศวง
“ตอนที่เราลงมือจับตัวเป้าหมาย ปรากฏว่าเด็กสาวนางนี้ไม่ยอมปล่อยตัวเด็กหญิงเลยขอรับ พวกข้าน้อยเกรงว่านางอาจจะทำให้ผู้คนโดยรอบผิดสังเกต จึงต้องจับตัวมาด้วยกันทั้งคู่”
หัวหน้าชายฉกรรจ์รายงานด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองขมวดคิ้วนิ่วหน้า แต่ก็ยกมือโบกสะบัด บอกว่า “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
“ขอบพระคุณคุณชาย”
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ ถอยกลับออกไปจากห้องรับแขก
“พวกเจ้าเป็นใคร…?”
เด็กสาวร่างสูงแม้กายจะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่นางก็โอบกอดเด็กหญิงในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย พร้อมกันนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “กล้าจับตัวผู้อื่นกลางวันแสกๆ… รู้หรือไม่ว่ามันผิดกฎหมาย”
รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณชายเสื้อคลุมเหลือง เขาหันไปมองหน้าสหายที่นั่งอยู่รอบโต๊ะน้ำชา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ผิดกฎหมายอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเรานี่แหละคือกฎหมาย”
แล้วห้องรับแขกก็กังวานด้วยเสียงหัวเราะ
ชายหนุ่มเหล่านี้หัวเราะออกมาเหมือนเพิ่งได้รับฟังเรื่องตลกที่สุดในโลก
“พวกเจ้าหัวเราะอันใดไม่ทราบ? รู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าลักพาตัวใครมา?”
หลิวเฉิงเหนียนเด็กสาวร่างสูงใบหน้ากลมเกลี้ยงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นในขณะที่พยายามขวางเด็กหญิงผมเปียจากกลุ่มชายหนุ่ม “นางเป็นถึงบุตรสาวของใต้เท้าหลู่เหวินหยวน ผู้กว้างขวางแห่งกองทัพนครเจาฮุยเชียวนะ พวกเจ้ากล้าลักพาตัวบุตรสาวของเขา ไม่ทราบว่าไม่กลัวตายกันหรืออย่างไร?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“กลัวสิ พวกเรากลัวจะตายแล้วเนี่ย”
เหล่าชายหนุ่มในห้องรับแขกต่างก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
บุรุษหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองหัวเราะในลำคอ ก่อนพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นบุตรชายของใคร?”
หลิวเฉิงเหนียนลุกขึ้นยืนปกป้องหลู่หลิงซินและคำรามด้วยความเดือดดาล “เจ้าเป็นใครก็จงบอกมา”
“ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ? ข้าแซ่เหลียง มีนามว่าเหลียงซือเฉิน”
บุรุษหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวต่อ “บิดาของข้ามีนามว่าเหลียงหยวนเตา ต่อให้เจ้าไม่รู้จักข้า แต่เจ้าก็ต้องเคยได้ยินชื่อบิดาข้ามาบ้างกระมัง?”
ใบหน้าจิ้มลิ้มของหลิวเฉิงเหนียนกลายเป็นสีขาวซีดในพริบตา
เหลียงหยวนเตา!
นั่นคือชื่อของท่านผู้ว่าการประจำมณฑล
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือบุรุษหนุ่มผู้ยืนอยู่เบื้องหน้านางในขณะนี้ ก็คือเหลียงซือเฉิน ซึ่งมีตำแหน่งพิเศษเป็นผู้ปกครองเมืองชั้นใน
“เจ้า…”
หลิวเฉิงเหนียนกัดฟันกรอด “เจ้า… เพราะอะไรกัน…”
เหลียงซือเฉินผายมือไปยังชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะน้ำชา หลังจากนั้นก็พูดว่า “อย่าเพิ่งรีบตื่นเต้นสิ เหอเหอเหอ ให้ข้าได้แนะนำตัวทุกคนก่อน บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นหลานชายของรองเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำพื้นที่เขตสาม ส่วนบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าสำนักมือปราบประจำเมือง ส่วนคนนี้เป็นน้องชายของพ่อบ้านประจำจวนผู้ว่าการมณฑลซุนซูซู… ฮ่าฮ่าฮ่า สาวน้อย ไม่ทราบว่าเจ้าจดจำพวกเราทุกคนได้แล้วหรือไม่?”
ในห้องรับแขกของตำหนักล่องเมฆาขณะนี้ ล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มคุณชายผู้สูงส่ง
หัวใจของหลิวเฉิงเหนียนกระตุกวูบ
นางไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว
“พี่เฉิงเหนียน” หลู่หลิงซินมองตาบอกให้เด็กสาวใจเย็นๆ ก่อนที่ตัวนางเองจะหันกลับไปมองหน้าพวกของเหลียงซือเฉินและกล่าวว่า “คุณชายเหลียง เรื่องที่ท่านลักพาตัวข้ามานี้ บิดาของท่านคงไม่รู้กระมัง?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียงซือเฉินหายวับไปทันที
หลู่หลิงซินพูดต่ออีกครั้ง “หากข้าเข้าใจไม่ผิด เหตุผลที่ท่านจับตัวข้ามาในครั้งนี้ ก็เพราะอยากได้คัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ ที่พี่เขยของข้าครอบครองอยู่ใช่หรือไม่?”
“หืม?”
เหลียงซือเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “เจ้าฉลาดใช้ได้เหมือนกันนี่นา ถูกต้องแล้ว ตราบใดที่หยางเฉินโจวส่งมอบคัมภีร์เล่มนั้นมาแต่โดยดี พวกเราก็จะส่งตัวเจ้ากลับไปโดยสวัสดิภาพ”
หลู่หลิงซินขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย และพูดออกมา “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็ต้องให้คนส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ก่อน และผู้ที่ส่งจดหมายก็สมควรเป็นท่านพี่เฉิงเหนียน เพราะว่าบิดาและพี่เขยของข้าจะต้องเชื่อสิ่งที่นางพูดอย่างแน่นอน”
“ไม่นะ ข้าไม่ไป”
ต่อให้ในขณะนี้หลิวเฉิงเหนียนกำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่นางก็ยังคำรามออกมาเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเจ้า”
แล้วหลู่หลิงซินยังจะสามารถพูดอะไรได้อีก…
พวกของเหลียงซือเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
“เด็กหญิงผู้นี้ฉลาดเป็นกรดเลยแฮะ แต่ศิษย์พี่ของเจ้าเห็นหน้าพวกเราทั้งหมดแล้ว คิดว่าพวกเราจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้หรือไร?”
ชายหนุ่มผู้มีนามว่าเฉียนอวี่หยงลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉีกยิ้มชั่วร้าย
“ถูกต้องแล้ว พวกเราจะปล่อยให้นางรอดออกไปได้อย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซุนเหรินหยงจ้องมองหลิวเฉิงเหนียนกับหลู่หลิงซินด้วยแววตากระหายราคะ
รูปลักษณ์ที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยของหลู่หลิงซินคือสิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาของบรรดาชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว
และถึงแม้ว่าหลิวเฉิงเหนียนจะมีร่างสูงเกินไปหน่อย แต่นางก็มีช่วงขาเรียวยาวและเอวคอดกิ่ว ร่างกายก็เจริญเติบโตแล้ว ถึงใบหน้าจะไม่ได้สวยงามหยาดเยิ้ม แต่ก็เรียกได้ว่าดูดีมีเสน่ห์
เด็กสาวทั้งสองคนนี้เป็นเสมือนเหยื่อล่อให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาไม่มีแผนปล่อยตัวประกันกลับไปอย่างที่มีชีวิตอยู่แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะได้คัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้ามาครอบครองก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเด็กสาวคู่นี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยพวกนางให้หลุดมือไปเด็ดขาด
“พวกเจ้า…”
หลู่หลิงซินซึ่งรักษาท่าทีเยือกเย็นมาตลอด ถึงกับแสดงอาการตื่นตระหนกออกมาแล้ว
ไม่ว่านางจะมีความฉลาดเฉลียวสักเท่าไหร่ แต่สุดท้าย เด็กหญิงก็เพิ่งมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าถ้าลองฉีกเสื้อผ้าของเจ้าออกมาซักส่วนหนึ่ง และส่งไปให้พี่เขยของเจ้าดู เขาจะเชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจับตัวเจ้ามาแล้ว?”
เหลียงซือเฉินแลบลิ้นเลียริมฝีปากและใช้สายตาตำรวจมองหลู่หลิงซินด้วยความชั่วช้า
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวาดผวา ชายหนุ่มก็ยิ่งยิ้มด้วยความตื่นเต้น “ข้ามั่นใจว่าชุดของเจ้าต้องสั่งตัดเย็บเป็นอย่างดี ในเมืองนี้คงมีผู้คนใส่อยู่ไม่มาก ไม่ทราบว่าข้าเดาถูกหรือไม่?”
“อย่าเข้ามานะ”
หลิวเฉิงเหนียนคำรามด้วยความโกรธแค้น และขยับออกมายืนขวางหน้าศิษย์น้องผู้เป็นเพื่อนรักของตนเอง “พวกเจ้า… ถ้าขยับเข้ามาอีกก้าวเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เก่งจังเลยนะ”
“แบบนี้ข้าชอบ”
กลุ่มชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
เด็กสาวทั้งสองคนถอยหลังไปเรื่อยๆ
ดวงตาของพวกนางแสดงออกถึงความหมดหวัง
แต่ในทันใดนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกหน้าตาเฉย
เขาวางมือไว้บนหัวไหล่ของเด็กสาวทั้งสอง
ฝ่ามือของเขามีความอบอุ่นและทำให้เด็กสาวทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยอย่างแปลกประหลาด
“หืม?”
เหลียงซือเฉินชะงักกึก ถามว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มชุดขาวมีหน้าตาหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เขากระตุกยิ้มเหมือนปีศาจร้าย ดวงตาปรากฏความเย็นชายิ่งกว่าทะเลสาบพันปี “รู้ตัวไหมว่าเจ้าทำให้ข้าเสียสมาธิ ข้ากำลังใช้ความคิดอยู่ว่าควรจะตัดร่างกายของเจ้าส่วนไหนก่อนดี เจ้าก็เอาแต่โวยวายอยู่ร่ำไป หรือว่าเจ้าเสียใจที่ได้มีชีวิตเกิดมาบนโลกใบนี้?”