เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 662 เมื่อสักครู่ข้ายังไม่รู้ข้อมูลเบื้องต้น
ว่าไงนะ?
จะบอกว่าเขาเนี่ยนะไม่ใช่คู่ต่อสู้?
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
สิ่งที่เด็กหนุ่มหวาดกลัวมากที่สุดก็คือการที่นักพรตใหญ่หลงเยว่บอกว่าเขาทำไม่ได้นี่แหละ
นางเป็นหญิงชราที่มีอายุนับร้อยปี ย่อมไม่ได้พูดออกมาโดยไม่มีเหตุผล
แต่จะอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
“จริงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินพูดสวนกลับไปเสียงแหลมสูงเหมือนกระต่ายถูกเหยียบหาง “แต่ท่านป้าต้องเข้าใจก่อนว่า ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิมอีกแล้ว บัดนี้นอกจากมีร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ข้ายังมีอาวุธลับอีกหลายชนิดไว้ใช้จัดการคู่ต่อสู้…”
นักพรตใหญ่หลงเยว่มองเขาด้วยสายตาที่ใช้มองเด็กน้อยใสซื่อผู้หนึ่ง
หลินเป่ยเฉินยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าสามารถพูดได้เลยว่าไม่ว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งสักแค่ไหน ไม่ว่ามีความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างไร แต่ข้าต้องรับมือได้แน่นอน…”
ยิ่งพูดเด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ เขาเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “เหอเหอเหอ ข้าไม่ได้คุยโวโอ้อวดนะขอรับ แต่สำหรับในสายตาของข้าแล้ว หัวหน้านักบวชผู้นี้ไม่ต่างจากเด็กอมมือเลยสักนิด”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พูดอะไรไม่ออก
หวังจงพูดอะไรไม่ออก
เด็กสาวทั้งสี่ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
นี่หรือไม่ใช่การคุยโว?
นักพรตใหญ่หลงเยว่จ้องมองหลินเป่ยเฉินในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างแช่มช้า กล่าวว่า “มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้า หัวหน้านักบวชคนปัจจุบันของวิหารประจำเมืองเจาฮุยมีนามว่าโจวติงป๋อ เขาเป็นนักบวชที่ถูกย้ายมาจากเมืองเฉียนเกา ได้รับฉายาว่าเป็นมือซ้ายเทพเจ้า ระดับพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย อีกเพียงนิดเดียวก็สามารถขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในห้านักบวชที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ขณะนี้”
หลินเป่ยเฉินตะลึงลานวูบ
สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด ก่อนพูดว่า “มีฝีมือสูงส่งแล้วจะเป็นอย่างไรขอรับ? ดื่มสุรายังคงมึนเมา ถูกกระบี่แทงก็ตายได้เหมือนกัน”
นักพรตใหญ่หลงเยว่นิ่งเงียบไม่ตอบคำใดอยู่พักใหญ่
แล้วนางก็อธิบายอย่างเยือกเย็น “นอกจากมีระดับพลังสูงส่งแล้ว โจวติงป๋อยังถือเป็นผู้สร้างค่ายอาคมในวิหารหลวงกว่า 60 ส่วน เขาผนวกค่ายอาคมของตนเองเข้ากับค่ายอาคมเก่าในวิหารที่มีอยู่นับร้อยปี ต่อให้เป็นผู้มีพลังที่อยู่ในขั้นเซียน เมื่อตกอยู่ในค่ายอาคมของเขาแล้ว ก็จะถูกขังตายอยู่ในนั้นตลอดไป ไม่มีทางกลับออกมาได้อีก”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปอีกครั้ง
เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนขี่หลังเสือโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไรขอรับ พวกเราหลายคนช่วยกันคิดหาทางออก จะอย่างไรก็ต้องได้แผนการที่สมบูรณ์แบบออกมาแน่นอน…”
หลินเป่ยเฉินพูด เสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อย
หลังจากนั้น นักพรตใหญ่หลงเยว่จึงได้กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “นอกจากนี้ โจวติงป๋อยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับยอดปรมาจารย์ 6 คน ระดับปรมาจารย์ 17 คน และระดับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปอีก 400 คน กลุ่มคนเหล่านี้ประจำการอยู่ทั่ววิหารประจำเมือง แต่ถ้านั่นยังทำให้เจ้าไม่รู้ว่าเขามีอำนาจมากพอ เจ้าก็ต้องไม่ลืมว่าที่นี่ยังมีนักบวชอีก 2,000 คน และแต่ละคนก็ระดับพลังไม่ต่ำต้อย…”
หลินเป่ยเฉินตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
ลำคอของเขาแห้งผาก
ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยแฮะ
ถ้าเป็นในเกมออนไลน์ ตอนนี้เขาเพิ่งจะออกมาจากหมู่บ้านเริ่มต้น นครเจาฮุยสมควรเป็นแค่เมืองขนาดกลางในแผนที่ แล้วทำไมถึงได้มีตัวบอสที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วย?
ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
จะให้พระเอกอย่างเขาลำบากตั้งแต่ต้นเลยหรือไง?
เทพีกระบี่หิมะไร้นามจัดให้เขามาเจอกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเข้าเสียแล้ว
หรือนางอยากจะยืมดาบฆ่าคน ใช้เขาเป็นเครื่องมือกำจัดโจวติงป๋อ?
หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
“ท่านป้าขอรับ ข้ารู้แล้วว่าท่านพูดถูก”
พลัน เด็กหนุ่มกลับมาทำตัวน่ารักน่าชังอีกครั้ง
เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “เมื่อสักครู่นี้ ข้ายังไม่รับทราบข้อมูลเบื้องต้น ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันนะขอรับ”
ทุกคนได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “บัดนี้ข้าเชื่อทุกสิ่งที่ท่านพูดออกมาแล้ว ถูกต้องเลยขอรับ ความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ มีแต่ตัวโง่งมเท่านั้นที่จะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาตลอดเวลา ข้าเชื่อมั่นในตัวของเทพีกระบี่ การก่อเหตุนองเลือดขึ้นที่นี่ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีหากผู้ศรัทธาต้องมาเห็นภาพแห่งความรุนแรงเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราสมควรแอบหนีลงไปจากภูเขา และช่วยกันวางแผนดีกว่าขอรับ…”
หวังจงพูดอะไรไม่ออก
นายน้อยยังคงเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงความคิดได้รวดเร็วเสมอจริงๆ
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินล้วนคิดว่านายน้อยของพวกนางช่างมีอารมณ์ขันนัก
หลู่หลิงซินคิดว่าพี่ชายท่านนี้น่าสนใจดีทีเดียว
หลิวเฉิงเหนียนก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิมว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกบุรุษหนุ่มจอมกะล่อนอย่างที่นางคาดคิด
นักพรตใหญ่หลงเยว่พยักหน้าด้วยความพอใจ พูดว่า “มิผิด เจ้าต้องควรรู้ว่าเวลาใดสมควรงอ เวลาใดสมควรแตกหัก เมื่อเจ้าสามารถแยกแยะได้ ถึงจะทำงานใหญ่ได้สำเร็จ… ประเสริฐ เจ้ารีบพาทุกคนหลบหนีลงไปจากภูเขาก่อน เรื่องราวต่อจากนี้ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูง ทำตาโต “เรื่องราวต่อจากนี้? ท่านป้าจะล้อเล่นหรืออย่างไรขอรับ ทำไมไม่หนีมาพร้อมกับพวกเราเล่า?”
สีหน้าของนักพรตใหญ่หลงเยว่ยิ่งปรากฏความเมตตามากกว่าเดิม
นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง
“ข้าจะอยู่ที่นี่ พวกเจ้าจะได้หลบหนีไปอย่างปลอดภัย”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พูดก่อนยิ้มกว้าง
ก่อนหน้านี้ สิ่งที่หญิงชราหวาดกลัวก็คือ เฉินจินและนักบวชฮัวห่วยจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ และแจ้งเตือนให้ผู้คนบนภูเขาเปิดการใช้งานค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้บุคคลทั้งสองได้ขอความช่วยเหลือ ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นก็ถูกฝังดินลงไปสู่ปรภพด้วยกันทั้งคู่
มิหนำซ้ำ เขายังสามารถปลดตรวนคนบาปได้อย่างง่ายดาย
ทำให้สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เมื่อนักพรตใหญ่หลงเยว่มีพลังฟื้นคืนกลับมาแล้ว อาศัยความคุ้นเคยกับพื้นที่ทุกซอกทุกมุม นางจึงสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กลบเกลื่อนร่องรอยของสิ่งที่เกิดขึ้น และสามารถซื้อเวลาให้พวกของหลินเป่ยเฉินหลบหนีได้อย่างสบายๆ
“ไม่ได้ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือท่าน ถ้าท่านไม่ยอมลงจากเขามาพร้อมกับพวกเรา ก็ถือว่าการช่วยเหลือครั้งนี้ล้มเหลวน่ะสิขอรับ ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ข้าก็จะต้องพาท่านหลบหนีไปด้วยให้ได้”
นี่คือคำพูดจากหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
ตั้งแต่ที่เขาทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ นักพรตใหญ่หลงเยว่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ให้ความอบอุ่นแก่เขาด้วยความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินไม่มีวันทอดทิ้งให้นางต้องลำบากเพียงลำพังแน่นอน
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก อยู่ที่นี่ข้าปลอดภัยดี”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ยิ้มแย้มอย่างเยือกเย็น ดวงตาเป็นประกายมั่นใจในอะไรบางอย่าง
นางกล่าวต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “บัดนี้ ปีศาจร้ายที่คอยหนุนหลังมือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อ ได้เข้าไปครองอำนาจอยู่ในวิหารสูงสุดเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ก่อเหตุนองเลือดก็คงช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้ในขณะนี้ ก็คือลงไปที่ตีนเขาและหาทางสื่อสารกับเทพีกระบี่ให้ได้ ดูซิว่าเทพีกระบี่จะให้คำแนะนำกับเจ้าอย่างไรบ้าง หลินเป่ยเฉิน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าภารกิจของเจ้า มีความสำคัญมากกว่านักพรตชราอย่างข้า”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่หลินเป่ยเฉิน
เพราะเขาเป็นผู้ที่ถูกเลือก และเคยรับวิญญาณเทพีกระบี่เข้าร่างมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ในวันเปิดวิหารให้ชาวเมืองเข้ามาสักการะอย่างวันนี้ ถ้าจะมีใครสักคนสามารถสื่อสารกับเทพีกระบี่ได้ โดยไม่ต้องรับพลังหรือความช่วยเหลือจากทางวิหาร สำหรับในความคิดของนักพรตใหญ่หลงเยว่ บุคคลผู้นั้นก็ควรมีแต่หลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้สำเร็จ…
“แต่ว่า…”
หลินเป่ยเฉินเริ่มลังเล
นักพรตใหญ่หลงเยว่พยายามโน้มน้าวต่อไป “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่มันเป็นทางเลือกที่สมควรทำมากที่สุด… บัดนี้ วิญญาณในร่างเยว่เว่ยหยางถูกจองจำอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด ส่วนกายเนื้อของนางก็ถูกคุมขังอยู่ในค่ายอาคมในวิหาร ข้าต้องหาทางปกป้องนางให้ได้ จึงไม่สามารถหลบหนีไปพร้อมกับพวกเจ้าได้อีกแล้ว”