เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 674 พรหมลิขิตขีดเขียนให้พบเจอ
ตอนที่ 674 พรหมลิขิตขีดเขียนให้พบเจอ
กลุ่มชายฉกรรจ์หน้ากากดำหยุดชะงัก
“นำตัวแม่ลูกทั้งสามมาด้วย”
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย ก่อนพูดออกมาเสียงดัง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”
ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งว่า “หากเราพาคนอื่นไปด้วย คงหนีไม่รอดแน่”
“ไม่สำคัญหรอก หากต้องตายเพราะช่วยเหลือชีวิตคน ก็ถือว่าพวกเราตายอย่างคุ้มค่าแล้ว…”
ชายฉกรรจ์หน้ากากดำคนแรกพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ถ้าอย่างนั้นก็… ประเสริฐ”
“พวกเจ้ารีบเปิดทางหนี เร็วเข้า”
ชายฉกรรจ์หน้ากากดำสองคนกัดฟัน ย้อนกลับไปหาสามแม่ลูกผู้น่าสงสาร
ฟ้าว!
ทันใดนั้น ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศ
ชายฉกรรจ์ทั้งสองตวัดกระบี่ โคจรพลังลมปราณ และปัดป้องลูกธนูกระเด็นออกไป
แต่อย่างไรก็ตาม หนทางหลบหนีของพวกเขาได้ถูกปิดกั้นแล้ว ปรากฏเจ้าหน้าที่มือปราบสองนายกระโดดเข้ามาขัดขวาง เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด ทำให้พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือสามแม่ลูกได้อีก
จำนวนเจ้าหน้าที่มือปราบในลานประหารค่อยๆ ปรากฏเพิ่มมากขึ้น
ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องอึกทึกวุ่นวาย
“พวกเรารีบไปกันเถิด”
ชายฉกรรจ์ผู้รับหน้าที่ประคองฉุยเฮาเฟิงร้องตะโกนส่งสัญญาณหลบหนี
สองชายฉกรรจ์ชุดดำที่ต่อสู้กับหลงเสี่ยวเถียนก่อนหน้านี้ ได้ยินดังนั้นก็รีบล่าถอยกลับมาโดยไม่ลังเล ในเวลาเดียวกันนั้น หนึ่งในสองก็ปล่อยลำแสงสีดำออกจากฝ่ามือ
“นี่มันวิชากระสุนลำแสง…”
“พวกเรารีบหลบ”
กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบผู้ปิดล้อมลานสังหารเมื่อเห็นลำแสงสีดำนั้น สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป ต้องรีบถอยหนีกันจ้าละหวั่น
ในทางกลับกัน หลงเสี่ยวเถียนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่หวาดกลัว เพียงเขายกมือโบกสะบัด กระสุนลำแสงเหล่านั้นก็สลายหายไป เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอที่จะโจมตีผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้เลย
หลงเสี่ยวเถียนหัวเราะในลำคอ พูดว่า “หลิวเฟยซู เจ้ามีดีเพียงเท่านี้ก็กล้าบุกลานประหารแล้วหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ดวงตาของชายฉกรรจ์หน้ากากดำผู้ปล่อยลำแสงออกจากฝ่ามือเบิกโตด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปได้อย่างไร? ทำไมถึงใช้ไม่ได้ผล?”
เขาต้องยกมือขึ้นและยิงลำแสงออกมาอีกสามครั้งติดๆ กัน
แต่หลงเสี่ยวเถียนสะบัดข้อมืออย่างไม่กลัวเกรง การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของเขาไม่ต่างจากปัดเศษใบไม้ที่ปลิวอยู่ในอากาศ เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมา ลำแสงสีดำก็สลายหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน…
“สถานการณ์คับขันแล้ว”
“พวกเรารีบไปกันเถิด”
บรรดาบุรุษหนุ่มหน้ากากดำรู้แล้วว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี
“ไปไม่ได้”
หลงเสี่ยวเถียนหัวเราะเยาะ
“เมื่อมีเหยื่อหลงติดกับดักของข้าทั้งที ข้าจะปล่อยให้พวกมันหนีรอดได้อย่างไร? พวกเราลงมือ!”
สิ้นเสียงออกคำสั่งของใต้เท้าหนุ่ม
ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังฟึบฟับ
หลังจากนั้น ชายฉกรรจ์สองคนที่รับหน้าที่ประคองร่างฉุยเฮาเฟิงพลันยืนโซเซ และเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขาก็ต้องล้มหน้าคว่ำลงไปบนพื้นหิน
ชายหนุ่มหน้ากากดำคนที่อยู่ด้านหลังฉุยเฮาเฟิงยื่นมือออกมากระชากคอเสื้อของฉุยเฮาเฟิงด้วยแขนเพียงข้างเดียว ก่อนลากตัวอดีตผู้ว่าการเมืองหยุนเมิ่งถอยห่างออกไปไกลหลายสิบวา
“เป็นเจ้าเองหรือ?”
“เจิ้งกุย นี่เจ้า…”
สองชายฉกรรจ์ที่ล้มหน้าคว่ำกับพื้นหินถูกเจ้าหน้าที่ชักกระบี่ออกมาพาดลำคอควบคุมตัว แต่สิ่งที่พวกเขาสนใจหาใช่คมกระบี่ที่พาดอยู่กับลำคอของตัวเองไม่ ทว่าเป็นบุคคลที่กำลังควบคุมตัวฉุยเฮาเฟิงอยู่ต่างหาก
บุรุษหนุ่มผู้นั้นยกมือขึ้นถอดหน้ากาก เผยให้เห็นใบหน้ากลมเกลี้ยงของบุรุษหนุ่มวัย 30 เศษ
“เหอเหอ กบฏแผ่นดินอย่างพวกเจ้าคิดทำการใหญ่ คิดหรือว่าข้าเจิ้งกุยคนนี้จะช่วยเหลือพวกเจ้าพานักโทษประหารหลบหนี?”
บุรุษหนุ่มหน้ากลมหัวเราะเยาะ แววตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าคือสายลับที่ใต้เท้าหลงส่งมาแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพวกเจ้านานแล้ว ข้ารอโอกาสที่จะได้สังหารกบฏแผ่นดินอย่างพวกเจ้ามานานเหลือเกิน”
“เจ้า…”
ชายฉกรรจ์หน้ากากดำผู้ถูกควบคุมตัวทั้งสองคน บัดนี้ถูกปลดหน้ากากออกจากใบหน้าแล้ว
หนึ่งในสองเป็นชายฉกรรจ์หน้าเข้ม แววตาดุร้ายยิ่งกว่าคนป่า ดวงตาของเขาแทบลุกเป็นไฟตอนที่ถามว่า “ในอดีตพี่ฉุยกับ พี่หลิวช่วยเหลือเจ้าหลายครั้งหลายครา ข้าเองก็เคยช่วยเหลือเจ้าเช่นกัน เจิ้งกุย… ทุกคนดีต่อเจ้าถึงขนาดนี้ เจ้ากล้าหักหลังพวกเราได้อย่างไร? เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่!”
บุรุษหนุ่มหน้ากลมใบหน้ากระตุกด้วยความอับอายเล็กน้อย แต่แล้วกลับพูดเสียงแข็งกระด้าง “ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ หาได้สำคัญไม่ เมื่อเทียบกับความมั่นคงของประเทศชาติ”
“เจ้าตัวบัดซบ”
บุรุษหนุ่มผู้ถูกถอดหน้ากากอีกคนหนึ่งใบหน้าหล่อเหลา มีอายุได้ประมาณ 40 ปี ขณะนี้กำลังกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นสุดขีด
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” หลงเสี่ยวเถียนเห็นดังนั้นก็ต้องเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า
“หลิวเฟยซู เจ้าจะยอมถูกจับดีๆ หรือไม่?”
ใต้เท้าหลงจ้องมองไปยังหนึ่งในชายฉกรรจ์ที่ต่อสู้กับตนเองก่อนหน้านี้ “ข้าล่วงรู้แผนการของพวกเจ้าหมดแล้ว ศิษย์น้องหลิว บัดนี้เจ้ามาอาศัยอยู่ในนครเจาฮุย สมาชิกในครอบครัวของเจ้าก็เช่นกัน เหอเหอเหอ ข้าขอบอกความจริงต่อเจ้า ลูกเมียของเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว… พวกเรา นำตัวประกันออกมา”
แล้วรถม้าของสำนักมือปราบก็แล่นเข้ามาจอดในลานประหาร
ประตูห้องโดยสารรถม้าเปิดออก
ผู้คนจำนวนห้าชีวิตถูกพันธนาการฉุดลากลงมาจากรถม้า
ในกลุ่มตัวประกันเหล่านั้น เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นหน้าเด็กสาวคนหนึ่ง เขาก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ต้องยกมือขึ้นนวดขมับด้วยความปวดหัว
นี่สินะที่เรียกว่าพรหมลิขิตขีดเขียนให้พบเจอ
จากกันไปเพียงวันเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกแล้ว
ในกลุ่มตัวประกันที่ถูกฉุดกระชากลงมาจากรถม้า เด็กสาวร่างสูงหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นั้น จะเป็นใครไปได้อีก ถ้าไม่ใช่หลิวเฉิงเหนียน?
ปากของนางมีห่อผ้าอุดปิด แต่เด็กสาวก็พยายามดิ้นรนขัดขืนเต็มที่
นอกจากนี้ กลุ่มตัวประกันยังมีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง กับเด็กชายฝาแฝดอายุประมาณแปดขวบอีกคู่หนึ่ง
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ท่านรีบหนีไป” ทันทีที่ห่อผ้าหลุดออกจากริมฝีปาก หลิวเฉิงเหนียนก็ส่งเสียงตะโกนดังลั่น
นางคือเด็กสาวผู้โง่เขลาอย่างแท้จริง
เห็นดังนั้น บุรุษหน้ากากดำผู้ต่อสู้กับหลงเสี่ยวเถียนก็ถอดหน้ากากออกจากใบหน้า เผยให้เห็นว่าโฉมหน้าของเขามีความคล้ายคลึงกับหลิวเฉิงเหนียนอยู่หลายส่วน ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น เขาจ้องมองหลงเสี่ยวเถียนและพูดเสียงแข็ง “จิตใจของเจ้าต่ำช้ามากเกินไปแล้ว…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ลูกเมียของเจ้าจะต้องได้รับการลงโทษ เนื่องจากมีความผิดฐานให้ความร่วมมือกับกบฏแผ่นดิน” หลงเสี่ยวเถียนคลี่ยิ้มเย็นชา “หลิวเฟยซู เจ้าเลิกพูดจาเหลวไหล วางกระบี่ในมือลงได้แล้ว หลังจากนั้นก็ปิดจุดพลังลมปราณในร่างกายซะ มิฉะนั้น ข้าจะสังหารลูกๆ ของเจ้า ให้เจ้าได้เห็นด้วยตาของตนเอง”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิวเฟยซูกระตุกระริก ความโกรธแค้นและเกลียดชังทำให้เขาแทบจะกัดฟันจนหักคาปาก
ก่อนลงมือช่วยเหลือนักโทษประหารวันนี้ หลิวเฟยซูได้จัดการนำพาครอบครัวไปซ่อนตัวเรียบร้อยแล้ว
บุรุษหนุ่มหันหน้ากลับไปจ้องมองเจิ้งกุย
ชายหนุ่มหน้ากลมยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า “พี่หลิว ท่านเดาได้ถูกต้อง ใช่แล้ว ข้าเป็นคนบอกที่ซ่อนตัวลูกเมียของท่านให้ใต้เท้าหลงรับรู้ ก็ในเมื่อพวกท่านเป็นครอบครัวกบฏแผ่นดิน แล้วจะปล่อยให้หนีรอดไปได้อย่างไร”
หลิวเฟยซูถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “เป็นข้าเองที่ดวงตามืดบอดตลอดมา”
เคล้ง!
กระบี่ยาวในมือถูกโยนทิ้งลงไปบนพื้นหิน
เห็นดังนั้น ดวงตาของเจิ้งกุยก็เป็นประกายระยิบระยับด้วยความดีใจ
เท่านี้ก็เรียบร้อย
ครั้งนี้เขามีความดีความชอบใหญ่หลวง สถานะหลังจากนี้คงร่ำรวยมหาศาลเป็นแน่แท้
นับว่าคุ้มค่ากับการหักหลังเพื่อนสนิทมิตรสหายอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ชายฉกรรจ์หน้ากากดำอีกสองคนที่เร่งรุดเข้าไปช่วยเหลือสามแม่ลูก แต่กลับถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่ล้อมกรอบ พวกเขาไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ กลุ่มเจ้าหน้าที่มีจำนวนเยอะมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาปรากฏบาดแผลมีเลือดไหลซึมหลายตำแหน่ง
ดวงตาของหญิงสาวแม่ลูกสองกลับมาหม่นหมองลงอีกครั้ง
ความหวังดับสิ้น
“ไม่ต้องกลัวนะ ลูกรัก เจ้าอย่าได้ร้องไห้ ถูกตัดหัวมันไม่เจ็บปวดหรอก เจ้าจะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น…”
นางพยายามปลอบโยนบุตรสาวผู้ร้องไห้ตลอดเวลา
“ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านพ่อ ถ้าข้าตายไปแล้ว ข้าจะได้เจอท่านพ่อหรือไม่?”
เด็กหญิงถามผู้เป็นมารดาด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์
หญิงสาวพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ท่านแม่อย่าได้ร้องไห้ ตงตงรู้แล้ว ตงตงจะไม่หวาดกลัว ตงตงกำลังจะได้ไปเจอท่านพ่อ…”
เด็กหญิงพูดด้วยความดีใจ หลังจากนั้น นางก็หันไปหาเพชฌฆาตที่ประจำการอยู่ด้านหลังและกล่าวว่า “ท่านลุง ได้โปรดช่วยตัดหัวข้าเร็วๆ หน่อย ข้าอยากไปเจอท่านพ่อแล้ว”
เพชฌฆาตอาวุโสรายนี้ไม่ทราบเลยว่าเคยตัดหัวนักโทษประหารมาแล้วกี่หัว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิง ได้เห็นแววตาไร้เดียงสาของนาง หัวใจของเขาก็หวั่นไหวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ดาบที่อยู่ในมือก็แทบจะหลุดร่วงแล้วด้วยซ้ำ
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ปลายกระบอกปืนอินทรีหิมะในมือของหลินเป่ยเฉิน เลื่อนการเล็งออกจากหน้าผากของเพชฌฆาตผู้นั้น
ปล่อยไปก็ได้วะ
เพชฌฆาตพวกนี้ก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง
พวกเขาไม่รู้เรื่องด้วย
ต่อจากนั้น…
เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่
หลินเป่ยเฉินเหนี่ยวไกยิงโดยไม่ลังเลอีกแล้ว
เจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับบุรุษหนุ่มหน้ากากดำสองคน มองเห็นลำแสงสว่างวาบพุ่งเข้ามา แล้วกระบี่ในมือของพวกเขาก็หลุดลอยกระเด็นออกไป เช่นเดียวกับตัวของผู้คนที่ไถลล้มกลิ้งไปกับพื้นหินหลายสิบวา
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนในลานประหารแปรเปลี่ยนไปทันที
หลินเป่ยเฉินกระซิบบอกเฉียนเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ไปช่วยเหลือสามแม่ลูกออกมา เร็วเข้า”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็หยิบแว่นกันแดดออกมาสวมใส่
เขารอเวลานี้มานานแล้ว
หลินเป่ยเฉินกระโดดวูบ ก่อนทิ้งตัวลงไปยืนอยู่กลางลานประหาร
ในเวลาเดียวกันนี้ ดวงตาของเฉียนเหมยก็เป็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้น
ในที่สุดโอกาสนี้ก็มาถึงแล้ว
สิ้นสุดการรอคอยสักที
นางวิ่งทะยานออกไปข้างหน้าราวกับเป็นหมาป่าถูกปล่อยออกจากกรง