เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 685 เหตุผล
ตอนที่ 685 เหตุผล
โค้วจงยกมือขึ้นโบกสะบัด
นายทหารเหล่านั้นเงียบเสียงไปทันที
โค้วจงบังคับม้าขยับออกมาข้างหน้า เมื่ออยู่ห่างจากหลินเป่ยเฉินประมาณร้อยวา เขาก็หยุดม้า ยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “หลินเป่ยเฉิน ข้ามีนามว่าโค้วจง เป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเว่ยซาน หึหึ ก่อนหน้านี้ข้าได้รับคำสั่งให้กวาดล้างค่ายผู้อพยพของเจ้าอย่างถอนรากถอนโคน แต่ข้าก็อยากให้โอกาสเจ้ามอบตัวแต่โดยดี คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ากลับยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จริงอยู่ ต้องยอมรับเลยว่าเจ้ามีขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คิด แต่กองกำลังผู้อพยพของเจ้า จะอย่างไรก็คงไม่สามารถต่อสู้กับกองทัพของนครเจาฮุยได้เด็ดขาด กำลังพลของพวกเราแตกต่างกันมากเกินไป”
“เหอเหอเหอ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านไม่รู้หรอกว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่”
เจ๋งเป้ง!
ระหว่างที่ดูอนิเมะบนโลกมนุษย์ หลินเป่ยเฉินรู้สึกมาตลอดว่าคำพูดประโยคนี้มันช่างเท่เสียเหลือเกิน
ในที่สุด เขาก็ได้มีโอกาสพูดออกมาแล้ว
มันทำให้รู้สึก…
ยอดเยี่ยมจริงๆ
โค้วจงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จังหวะนั้น เสียงของใครบางคนก็แทรกขึ้น
“หลินเป่ยเฉิน วันนี้เจ้าต้องตายชดใช้ความผิด เจ้ากล้าซ่องสุมกำลังพลอยู่ที่นี่ ซ้ำยังกระทำตัวหยาบคายต่อแม่ทัพโจว เจ้าจะต้องถูกสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น”
นี่คือเสียงตะโกนของเฉียนซานเซิ่งผู้อยู่ด้านหลังแนวทหารชั้นผู้นำ เขายังคงคำรามต่อไปอย่างท้าทายว่า “แม่ทัพโจว เหตุไฉนท่านต้องพูดคุยกับมันอีก? ออกคำสั่งกวาดล้างชาวเมืองหยุนเมิ่งเลยดีกว่าขอรับ พวกมันบังอาจมาก่อกวนความสงบสุขของเราชาวเมืองเจาฮุย ถ้าปล่อยให้ลอยนวลต่อไป ไม่รู้เลยว่าพวกมันจะก่อปัญหาอะไรอีก”
เฉียนซานเซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวและมุ่งมั่น
แต่เพิ่งพูดจบเท่านั้น
เพี๊ยะ!
สายแส้ก็สะบัดใส่ใบหน้าของเขาอย่างรุนแรง
ด้ามจับสายแส้อยู่ในมือกงซุนไป๋ ผู้หันหัวม้ากลับมาจ้องมองด้วยแววตาเย็นชา “ท่านแม่ทัพกำลังเจรจา เจ้ากล้าดีอย่างไรพูดจาแทรกแซง?”
เฉียนซานเซิ่งถูกสายแส้ฟาดเข้าใส่ใบหน้าจนตกตะลึง
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มถึงได้สติกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้า ถึงได้รู้ว่ามีเลือดไหลซึมออกมาไม่ใช่น้อย
“เจ้าตัวบัดซบ…”
เฉียนซานเซิ่งกำลังจะแผดเสียงคำราม
เฉียนซื่อที่อยู่ด้านข้างแม่ทัพใหญ่เบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก รีบกระโดดพลิ้วกายเข้ามากระชากบุตรชายลงจากหลังอสูรลมกรด และใช้มือปิดปากบุตรชายเอาไว้ ก่อนหันกลับมากล่าวต่อกงซุนไป๋ว่า “ท่านแม่ทัพกงซุน บุตรชายของข้าพูดจาไม่ระมัดระวัง เขาเพิ่งเคยเข้าสู่สมรภูมิเป็นครั้งแรก ได้โปรดเมตตาบุตรชายของข้าด้วย…”
กงซุนไป๋หัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันหัวม้ากลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึง…”
เฉียนซานเซิ่งพยายามแกะมือบิดาออกจากปากตนเอง
เฉียนซื่อต้องรีบปิดปากบุตรชายเอาไว้ดังเดิมและกระซิบข้างหูว่า “เจ้าลูกชั่ว หุบปากของเจ้าไปเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากตาย… กองทัพต้องมาก่อนครอบครัว หน้าที่ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว นี่ไม่ใช่ที่ๆ จะให้เจ้ามาพูดจาสามหาวได้ตามใจชอบ หากเจ้าพูดแทรกท่านแม่ทัพใหญ่อีกครั้ง แม้แต่บิดาก็ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้อีก… เจ้าอยากถูกกุดหัวนักหรือ?”
ดวงตาของเฉียนซานเซิ่งเป็นประกายวูบวาบด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
นี่คือครั้งแรกที่บิดาพูดจากับเขาเช่นนี้
ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือก นอกจากนิ่งเงียบอย่างเชื่อฟัง
“เฮ้อ เป็นเพราะมารดาของเจ้าแท้ๆ มารดาของเจ้าตามใจเจ้ามากเกินไป…”
เฉียนซื่อปวดหัวจนเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ
เขาไม่รู้เลยว่าบุตรชายของตนเองเติบโตมาเป็นบุคคลเช่นนี้ได้อย่างไร
ระหว่างที่ท่านแม่ทัพใหญ่กำลังเจรจาหารือกับฝ่ายตรงข้าม เฉียนซานเซิ่งกลับส่งเสียงตะโกนแทรกขึ้นมากลางปล้อง… ถ้าไม่เรียกว่าโง่เง่า แล้วยังจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
ห่างออกไปไม่ไกล
หลินเป่ยเฉินที่นั่งขี่ลูกเสือมีปีก เฝ้ารับชมเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความบันเทิงเริงใจ
สิ่งที่เตะตาเขามากที่สุดคือสายแส้ในมือกงซุนไป๋
โค้วจงหันหน้ากลับมามองที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้าของเขานิ่งเฉยเย็นชา ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โค้วจงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลินเป่ยเฉิน ข้ากับบิดาของเจ้าเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน เพราะฉะนั้น วันนี้ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าปล่อยตัวประกันทั้งหมดกลับออกมา และส่งมอบกองทหารคนงานขุดเหมืองมาให้แก่ทางการเสีย เช่นเดียวกับโอสถเป่ยเฉิน และยุติสัญญาการสร้างสถานศึกษาที่ไร้สาระนั่น รวมถึงส่งมอบตัวนักโทษประหารฉุยเฮาเฟิง หลิวเฟยซูและผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ มาให้พวกเราโดยดี ถ้าเจ้ายอมทำตามโดยไม่ขัดขืน พวกข้าจะกลับไปจากที่นี่โดยไม่แตะต้องพวกเจ้าแม้แต่ปลายก้อย มิฉะนั้นแล้ว…”
ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป
แต่ความหมายของเขานั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง
“ท่านได้ฟังสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาหรือไม่?”
เด็กหนุ่มมองหน้าแม่ทัพโค้วจงและเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “คิดว่าตนเองมีกองทัพอยู่ในมือหลายพันคน แล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? ถ้าเก่งจริงพวกเรามาสู้กัน ดูซิว่ากองทัพเว่ยซานของพวกท่าน กับกองกำลังผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งของข้า ใครจะแน่กว่ากัน”
สีหน้าของโค้วจงแปรเปลี่ยนไปขณะพูดว่า “หลานชาย เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าอยากเป็นศัตรูกับพวกเรา?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม และหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ พ่นควันเป็นรูปวงแหวนในอากาศ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “หึหึ ท่านมีดีอะไรจะมาเป็นศัตรูของข้า? ท่านเป็นเพียงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังเล็กๆ ในมณฑลนี้เท่านั้น สำหรับผู้ที่จะมาเป็นศัตรูกับข้าได้ อย่างน้อยก็ต้องยิ่งใหญ่ไม่แพ้พวกชาวทะเล ท่านจงกวาดตามองดูตัวเองให้ดีเสียก่อนเถิด ว่ามีความยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นแล้วหรือยัง”
หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา คุณชายหลินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เด็กหนุ่มประกาศไปตั้งแต่แรกแล้วว่า นี่คือเวลาของการต่อสู้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาเจรจากันอีกต่อไป
หากแม่ทัพโค้วจงยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ก็คงต้องชักกระบี่ออกมาแล้ว
เนื้อเรื่องจะได้เดินไปข้างหน้าสักที
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน ท่านแม่ทัพใหญ่โค้วจงก็ไม่สามารถระงับความโกรธแค้นได้อีก “ประเสริฐ ในเมื่อข้ามอบโอกาสให้เจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ยอมรับ งั้นพวกเรามาสู้กัน”
โค้วจงล้มเลิกความคิดที่จะเจรจา และเปลี่ยนใจมาตัดสินทุกอย่างด้วยการต่อสู้ เขาหันกลับไปมองบริวารซึ่งเป็นทหารแนวหน้าของตนเอง
“มีใครอยากออกไปจัดการเด็กหนุ่มผู้เสียสติคนนี้ให้กับข้าบ้าง?”
โค้วจงถามออกมาเสียงดัง
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ตอนแรก ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ทัพถึงไม่ยกกองทัพของตนเองเข้าไปบดขยี้กองกำลังของผู้อพยพ
แต่แล้วพวกเขาก็รู้เหตุผล
ในค่ายผู้อพยพแห่งนี้ กองกำลังของฝ่ายตรงข้าม ก็ถือเป็นประชาชนของจักรวรรดิเป่ยไห่เช่นกัน
การสังหารหมู่ประชาชนกลางวันแสกๆ คือสิ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของท่านแม่ทัพใหญ่เสื่อมเสีย
หลินเป่ยเฉินมีขุมกำลังเป็นกองทัพนับพันคนหรือก็เปล่า
เขามีขุมกำลังเป็นยอดฝีมือเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
การเอาชนะหลินเป่ยเฉินต่อหน้ากลุ่มผู้อพยพจำนวนมาก จะทำให้เด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้ได้รับทราบถึงความแตกต่างระหว่างกองทัพที่แท้จริงกับกองทัพของเด็กเล่นของตนเอง