เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 698 หลินเป่ยเฉินรับแขกคนสำคัญ
ตอนที่ 698 หลินเป่ยเฉินรับแขกคนสำคัญ
สมองของหลู่เหวินหยวนแทบจะหยุดทำงานด้วยความตกตะลึง
เขาไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
กระบี่บินได้!
สำหรับมือกระบี่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ นี่คือฝันที่เป็นจริง
ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังระดับเซียน ก็ยังคงมีความฝันที่จะได้ครอบครองกระบี่บินได้
สังเกตจากสีหน้าของเกาเฉิงฮั่นในขณะนี้
สีหน้าของมือกระบี่ผู้มีพลังระดับเซียนจากเขตเมืองชั้นในกำลังแสดงออกถึงความประหลาดใจถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าสีหน้าเช่นนี้จะแสดงออกมาเพียงวูบเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของหลู่เหวินหยวนเด็ดขาด
ตามตำนานเล่าขานว่า ต้องเป็นอัจฉริยะที่สวรรค์กำหนดให้เป็นเซียนกระบี่ตั้งแต่เกิดเท่านั้น ถึงจะมีความสามารถควบคุมกระบี่บินได้ตามใจปรารถนา
หากเป็นมือกระบี่ธรรมดา ต่อให้ได้ครอบครองกระบี่บินได้ ก็ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวตามใจชอบเด็ดขาด
นี่หมายความว่า… หลินเป่ยเฉินเป็นอัจฉริยะเซียนกระบี่ฟ้าประทานอย่างนั้นหรือ?
เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มเคยทำเอาไว้ในหลายเดือนก่อนหน้านี้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใดที่จะบอกว่าหลินเป่ยเฉินคือเซียนกระบี่ฟ้าประทานจริงๆ
คิดได้ดังนั้น สีหน้าของหลู่เหวินหยวนก็เปลี่ยนแปลงไป เขาตัดสินใจก้าวออกไปข้างหน้า และเตรียมตัวเป็นผู้ที่เอ่ยคำทักทายก่อน
แต่ในทันใดนั้น
“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย… เดี๋ยวก่อนสิ… เหวอ… หยุด!”
ได้ยินเสียงคุณชายหลินร้องอุทานด้วยความตกใจ
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หมุนวนในอากาศเหมือนว่าวที่ขาดออกจากสายป่าน มุ่งหน้าตรงลงมาสู่พื้นดิน
โครม!
หลินเป่ยเฉินตกกระแทกพื้นดินอย่างแรง
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเด็กหนุ่มตกลงมาด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาดพิสดารมากเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะหลินเป่ยเฉินอยากรักษาความสง่างามของตนเองเอาไว้จนลมหายใจสุดท้าย ตอนที่เด็กหนุ่มร่วงกระแทกพื้น เขาจึงยังคงยืนอยู่บนกระบี่เงินด้วยท่วงท่าที่องอาจผ่าเผยเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะล้มลงก้นจ้ำเบ้าในท้ายที่สุด
การตกกระแทกพื้นดินของเขาทำให้แผ่นดินแยกออกเป็นสองฝั่ง
รอยแตกร้าววิ่งมาจนถึงจุดที่เกาเฉิงฮั่นกับหลู่เหวินหยวนยืนอยู่ ขาทั้งสองข้างของพวกเขากางออกกว้าง เมื่อก้มหน้ามองลงไป ก็จะเห็นได้ว่ารอยแยกบนพื้นดินมีความลึกน่ากลัวมากทีเดียว
แต่หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกเจ็บก้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อสักครู่นี้ เหมือนเขาได้ยินเสียงไข่แตก
แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง
เขาน่าจะหูฝาดไปเองมากกว่า
หลินเป่ยเฉินแทบไม่อยากเชื่อในความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเองแล้วเหมือนกัน
หลู่เหวินหยวนพูดอะไรไม่ออก
เกาเฉิงฮั่นได้แต่ยืนเบิกตาโต
พวกเขากำลังพบเห็นอะไรกันนี่?
น่าอึดอัดเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองผู้มาเยือนทั้งสองคน
ผู้มาเยือนทั้งสองคนก็มองหน้าหลินเป่ยเฉิน
ดวงตาทั้งสามคู่ประสานมองกัน
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบที่แปลกประหลาด
แต่ในหัวใจของหลินเป่ยเฉินแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว
เขาอุตส่าห์วางแผนว่าจะยืนบนกระบี่แสดงความอภินิหารของตนเองให้ผู้มาเยือนต้องปากอ้าตาค้าง แต่ใครจะไปคิดเลยว่าในจังหวะสุดท้ายก่อนลงจอด อยู่ดีๆ เขาก็สูญเสียการทรงตัว ควบคุมทุกอย่างไม่ได้ สุดท้ายก็ร่วงลงมากระแทกพื้นดินน่าขายหน้ายิ่งนัก
นี่คือบทเรียนครั้งสำคัญ
ดูเหมือนว่าเขาคงต้องฝึกบินด้วยกระบี่ให้มากกว่านี้
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปข้างหน้า ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความกระตือรือร้นเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย “ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ในชุดขาวท่านนี้ ดูก็รู้ว่ามีพลังอันสูงส่ง ท่านคงจะเป็นเกาเฉิงฮั่นผู้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนและไม่เคยปล่อยให้เสื้อผ้าของตนเองแปดเปื้อนคราบฝุ่นสกปรกใช่หรือไม่? นี่คือครั้งแรกที่พวกเราได้พบเจอกัน ข้าไม่รู้จะทักทายอย่างไรดี ก็เลยจัดแสดงวิธีแยกพื้นดินให้พวกท่านได้รับชม ไม่ทราบว่าพวกท่านประทับใจหรือไม่?”
มุมปากของเกาเฉิงฮั่นกระตุกเล็กน้อย
การพบกันครั้งนี้แตกต่างจากที่เขาจินตนาการเอาไว้มากทีเดียว
แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เกาเฉิงฮั่นก็ไม่แปลกใจที่เหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้
เพราะจากข้อมูลที่เกาเฉิงฮั่นได้ตรวจสอบมาเมื่อวาน
เขาก็สามารถสรุปความเป็นหลินเป่ยเฉินได้ในประโยคเดียวว่า
ความผิดปกติคือเรื่องปกติของเด็กหนุ่มคนนี้
“คุณชายหลิน ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ในที่สุดเราก็ได้พบเจอกันเสียที”
เกาเฉิงฮั่นยิ้มอย่างเป็นมิตร และยื่นมือออกไปเขย่ามือของหลินเป่ยเฉินแผ่วเบา
หลู่เหวินหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความเหลือเชื่อ
ถึงขุนพลพิเศษเกาจะไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเองจนมองไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา แต่อย่างน้อยเขาก็มีพลังอยู่ในขั้นเซียน มีหรือที่จะยอมจับมือกับผู้อื่นง่ายดายเช่นนี้?
อย่างน้อยในนครเจาฮุย หลู่เหวินหยวนก็ไม่เคยเห็นว่าท่านแม่ทัพเกาจะปฏิบัติตัวกับใครเหมือนที่ทำกับหลินเป่ยเฉินมาก่อน
นี่แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?
นี่แสดงให้เห็นว่าแม่ทัพเกาปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้ ในฐานะของคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน
หลู่เหวินหยวนไม่รู้เลยว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไร
กว่าที่จะทำให้เกาเฉิงฮั่นเกิดความยอมรับได้จากใจจริง ไม่ทราบเลยว่ายากลำบากขนาดไหน
แต่หลินเป่ยเฉินกลับสามารถทำได้สำเร็จแล้ว
“ส่วนท่านนี้คือ…”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหลู่เหวินหยวน
หลู่เหวินหยวนรีบสลัดความมึนงงออกจากสมอง พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามีนามว่าหลู่เหวินหยวนเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาพิเศษประจำกองทัพแห่งนครเจาฮุย ข้าได้ยินชื่อเสียงของคุณชายหลินมานานแล้วเช่นกัน ในที่สุด วันนี้เราก็ได้พบเจอกันเสียที”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม กล่าวว่า “อ้อ ที่แท้ก็เป็นที่ปรึกษาหลู่นี่เอง จะว่าไปแล้วข้ากับท่านถือว่าเป็นคนกันเองทั้งนั้น…”
หลู่เหวินหยวนใบหน้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
คนกันเองอย่างนั้นหรือ?
ในชีวิตนี้ พวกเขาไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
แล้วจะเป็นคนกันเองได้อย่างไร?
“อ้อ บุตรสาวคนเล็กของข้า หลู่หลิงซินสินะ”
หลู่เหวินหยวนพลันพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจ
“เอ๋?”
รอยยิ้มประจบประแจงหายไปจากใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจเลิกทำตัวขายขำและกล่าวว่า “ท่านลุงหลู่ ขอเชิญเข้าด้านในขอรับ”
เกาเฉิงฮั่นเลิกคิ้วสูง
หลินเป่ยเฉินเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ และเรียกหลู่เหวินหยวนว่าท่านลุง?
นี่พวกเขาสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่?
เกาเฉิงฮั่นได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้โอกาสในการตีสนิทหลุดลอยไปเด็ดขาด
ภายใต้การนำทางของหลินเป่ยเฉิน ผู้มาเยือนทั้งสองคนก็เดินเข้าสู่หมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
นี่คือเรื่องราวที่ถูกบอกต่อในนครเจาฮุยอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินจัดการขับไล่พวกชาวทะเลกลับไปได้สำเร็จ เขาก็ได้รับความสนใจจากกองทัพเป็นอย่างสูง และผู้ที่มาเข้าพบเขาในวันนี้ก็เป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งประจำเมืองอย่างเกาเฉิงฮั่น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคงพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองในนครเจาฮุย และปรึกษาหารือว่าจะรับมือกับพวกศัตรูอย่างไรบ้าง
มีผู้คนมากมายแอบมายืนดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มีดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองหมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินก็เดินออกมาส่งเกาเฉิงฮั่นกับหลู่เหวินหยวนที่หน้าประตูทางเข้าค่ายที่พัก
ตอนที่พวกเขาแยกจากกัน บุรุษต่างวัยทั้งสามคนก็อำลากันด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง