เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 705 ค้นพบช่องทางทำเงินครั้งใหม่
ตอนที่ 705 ค้นพบช่องทางทำเงินครั้งใหม่
นับเป็นวันที่ยุ่งเหยิงที่สุดวันหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินช่วยเหลือผู้อพยพมากมายหลายอย่าง เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนดีมากกว่าเดิมหลายเท่า
ตอนเย็น หลินเป่ยเฉินกลับมาถึงกระโจมที่พักบนยอดไม้ รับประทานรังนกและซุปหูฉลามหนึ่งถ้วย เสร็จเรียบร้อยก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงย่ำกลองรบก็ดังมาจากพื้นที่กำแพงเมืองเขตหนึ่ง
เป็นสัญญาณว่าพวกชาวทะเลยกกองทัพกลับมาโจมตีอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินถามอย่างเสียมิได้ว่า “วันนี้ใครเป็นคนออกไปคุ้มกันกำแพงเมืองหรือ?”
เฉียนเหมยตอบว่า “กราบเรียนนายท่าน วันนี้ผู้ที่ออกไปคุ้มกันกำแพงเมืองก็คือคุณชายรองกับนายทหารคนงานขุดเหมืองอีก 200 คนเจ้าค่ะ”
“คุณชายรอง?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความฉงน
ใครกันล่ะนั่น?
เฉียนเหมยยกมือป้องปาก กระซิบว่า “หมายถึงคุณชายเซียวปิงเจ้าค่ะ เขาคือน้องชายร่วมสาบานของนายท่าน บัดนี้ทุกคนจึงเรียกขานเขาว่าคุณชายรองกันหมดแล้ว”
หืม?
หลินเป่ยเฉินโพล่งถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “เจ้านั่นเอาชื่อของข้าไปแอบอ้างอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ได้แอบอ้างเจ้าค่ะ แต่เป็นทุกคนเรียกขานกันเอง”
เฉียนเหมยพยายามอธิบาย
“เรียกขานกันเองก็ไม่ได้ เป็นเช่นนี้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ของข้าหมด… แต่ว่า ช่างมันเถอะ”
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็พูดออกมา ด้วยนึกได้ว่าตนเองไม่ได้มีภาพลักษณ์ดีงามอะไรอยู่แล้ว
เฉียนเหมยยิ้มกว้างและพูดต่อ “แต่คุณชายรองตื่นเต้นมากเลยนะเจ้าคะ การได้ออกไปต่อสู้ที่กำแพงเมืองชั้นแนวหน้าคือสิ่งที่คุณชายรองใฝ่ฝันมาตลอด คุณชายรองบอกว่าอยากจะแบ่งเบาภาระของนายท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าขอร้องอยากจะออกไปฆ่าศัตรูของประเทศชาติร่วมกับเขาด้วย แต่คุณชายรองไม่อนุญาต…”
พูดมาถึงตรงนี้ สาวรับใช้ก็ชะงักกึก
แย่แล้ว
เผลอหลุดปากพูดออกมาเสียได้
เฉียนเหมยรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “คืนนี้นายท่านจะรับประทานอะไรดีเจ้าคะ…”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าสาวรับใช้อย่างพูดอะไรไม่ออก
นับว่าเฉียนเหมยเปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนละคนอย่างแท้จริง
แค่ทุบตีผู้คนยังไม่พอ นางถึงขั้นอยากจะลงสู่สนามรบแล้วหรือนี่
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง พวกเรารีบไปดูที่กำแพงเมืองกันก่อนดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินว่า
เด็กหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าตนเองไม่ได้ย้อนกลับไปที่กำแพงเมืองนานแล้ว
อีกอย่าง คืนนี้เขายังไม่มีแผนการทำอะไรเป็นพิเศษ อาศัยโอกาสนี้ไปเสนอหน้าให้พวกนายทหารประจำกำแพงเมืองได้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง บางทีเขาอาจจะมีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นก็ได้
เฉียนเหมยร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ “นายท่านใจดีที่สุดเลย”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเรียกกระบี่เงินทั้งสองเล่มออกมา หลังจากนั้นเขาก็ประคองสาวรับใช้ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่คู่นั้น ก่อนจะบินตรงไปยังพื้นที่กำแพงเมืองเขตหนึ่ง
…
“พี่ฉินเห็นพริกไทยของข้าบ้างหรือไม่ เมื่อสักครู่ข้าวางไว้แถวนี้แล้วแท้ๆ หากโรยพริกไทยลงไปบนเนื้อปลาสักหน่อย รับรองว่าต้องอร่อยเหาะแน่นอน…”
การต่อสู้เพื่อปกป้องกำแพงเมืองเพิ่งจบลงไป
เสียงพูดคุยดังขึ้นบนกำแพงเมือง
เสี่ยวเย่และกลุ่มนายทหารเบิกตามองเซียวปิงซึ่งเป็นนายทหารกองหนุนจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งกำลังก่อเตาย่างไฟบนกำแพง และสิ่งที่วางอยู่บนตะแกรงย่างไฟนั้นก็คือเนื้อปลา ซึ่งก่อนหน้านี้มีสถานะเป็นนักรบจากกองทัพชาวทะเลนั่นเอง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ
ในถุงเก็บของวิเศษของเซียวปิง เขาได้เก็บเครื่องปรุงและอุปกรณ์สำหรับทำอาหารเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ น้ำผึ้ง ซอสชนิดต่างๆ ที่จะทำให้เนื้อปลาย่างเหล่านี้มีความอร่อยสมบูรณ์แบบ
“แม่เจ้า นี่คือครั้งแรกที่ข้าเคยเห็นหนวดปลาหมึกใหญ่ขนาดนี้นะเนี่ย”
ใบหน้าของเซียวปิงปรากฏรอยยิ้มมีความสุขตามประสาคนรักอาหาร
ก่อนหน้านี้ เขาตัดหนวดปลาหมึกยักษ์มาหนึ่งเส้น ก่อนจะนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และทาซอสจนชุ่มก่อนจะนำไปย่างไฟบนเตาเหล็ก
“อื้ม เดี๋ยวครั้งหน้าลองกินสดๆ ดูบ้างดีกว่า”
เซียวปิงใช้ส้อมขนาดเล็กจิ้มเนื้อปลาหมึกขึ้นมาลองกัดคำหนึ่ง ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
หลังจากนั้น เขาก็หันหน้ามาโบกมือเรียกพวกของเสี่ยวเย่ “แม่ทัพเสี่ยว เชิญมารับประทานด้วยกันสิขอรับ รสชาติอร่อยมากเลยนะท่าน”
ในฐานะคนรักอาหาร การได้แบ่งปันของกินอร่อยๆ จากฝีมือของตนเองนั้น ก็ถือเป็นความสุขชนิดหนึ่งของเซียวปิงเช่นกัน
เสี่ยวเย่เกิดอาการลังเล
ตัวเขาไม่ใช่ทหารกองหนุน แต่มีสถานะเป็นนายทหารประจำนครเจาฮุย การรับประทานเนื้อศัตรูนั้น เสี่ยวเย่ไม่ทราบเลยว่ามันจะถือเป็นการทำผิดกฎกองทัพหรือไม่?
เขาเริ่มคิดด้วยความไม่แน่ใจ
แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเย่ก็ยอมรับความกล้าหาญและความเก่งกาจของทหารกองหนุนเหล่านี้จากใจจริง
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มร่างอ้วน ซึ่งตอนแรกที่ขึ้นมายืนบนกำแพงเมืองก็เอาแต่ขาสั่นพั่บๆ ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่สุดท้ายเมื่อได้ออกไปต่อสู้กับพวกนักรบชาวทะเล เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็สามารถเอาชนะแม่ทัพฉลามขาวของฝ่ายตรงข้ามด้วยการต่อยหมัดเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำ
ส่วนนายทหารอดีตคนงานขุดเหมืองเหล่านี้ก็มีฝีมือกระบี่สูงส่ง กล่าวได้ว่าทักษะการต่อสู้ของพวกเขา มีความดีเลิศยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยของนายทหารจากกองทัพประจำเมืองเจาฮุยหลายเท่า
ถ้าเป็นการต่อสู้ทั่วไป การโจมตีเมื่อสักครู่นี้คงทำให้กองทัพนครเจาฮุยต้องมีนายทหารผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนับพันคน
แต่นายทหารคนงานขุดเหมืองเหล่านี้กลับบาดเจ็บเพียง 30 คน และมันก็เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงยังไม่มีใครเสียชีวิตในสนามรบอีกด้วย
ดังนั้น พวกของเสี่ยวเย่จึงปฏิบัติต่อกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองด้วยความเป็นมิตรมากกว่าเดิม
พวกเขาได้ค้นพบว่ากลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองล้วนเป็นคนมีอัธยาศัยดี ยามร่วมมือต่อสู้รับมือกับศัตรูไม่มีกฎระเบียบตายตัว เวลาอยู่ในสมรภูมิสนามรบ ทุกคนจะไล่ล่าสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อการต่อสู้จบลง ทุกคนก็จะกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสดังเดิม
ในไม่ช้า กลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองก็สามารถกลมกลืนกับนายทหารของนครเจาฮุยได้ราวกับเป็นพวกเดียวกันมาเนิ่นนาน
จังหวะที่เสี่ยวเย่ลังเลว่าจะรับประทานอาหารทะเลของเซียวปิงดีหรือไม่ ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนออกมาว่า…
“เดี๋ยวข้ารับประทานเอง”
เสียงของคนผู้นั้นลอยมาจากท้องฟ้าทางด้านหลัง
เสี่ยวเย่หันหน้ากลับไปมอง
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่บนกระบี่สองเล่ม บินเข้ามาลงจอดลงบนกำแพงเมืองอย่างนุ่มนวล
เด็กหนุ่มพาเด็กสาวมาด้วยอีกคนหนึ่ง
นายทหารประจำกำแพงเมืองจำนวนมากไม่เคยพบเห็นเด็กหนุ่มมาก่อน จึงพร้อมใจกันชักกระบี่ออกมาด้วยความดุร้าย
“เก็บกระบี่”
เสี่ยวเย่รีบยกมือออกคำสั่งด้วยความลนลาน “นี่คือคุณชายหลินเป่ยเฉิน”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น เหล่านายทหารผู้ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที และสายตาของพวกเขายามจ้องมองมายังเด็กหนุ่มผู้มาเยือน ก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง…
เมื่อหลายวันก่อน ตอนที่กองทัพชาวทะเลบุกมาโจมตี กำแพงเมืองเขตหนึ่งใกล้จะแตกสลายเต็มที แต่ทันใดนั้นก็มียอดฝีมือแสดงพลังโจมตีออกมาจากระยะไกล ทำให้กองทัพชาวทะเลระเบิดกระจุยในพริบตา ก่อนที่พวกมันจะต้องถอยทัพกลับไปด้วยความหวาดกลัว และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ชีวิตของนายทหารก็ถูกช่วยเหลือเอาไว้เป็นจำนวนมาก
สำหรับพวกเขาชายชาติทหาร ผู้แข็งแกร่งในสนามรบ ย่อมควรค่าต่อการเคารพบูชา
อีกอย่าง คุณชายหลินยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตพวกเขาโดยตรง
เมื่อหลินเป่ยเฉินลงมายืนอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว เขาก็รีบเดินไปรับเนื้อปลากับปลาหมึกย่างมาจากมือของเซียวปิง เมื่อลองชิมไปได้หลายคำ ดวงตาของเขาก็แทบมีแสงพุ่งออกมา
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
เซียวปิงทำอาหารเก่งเหมือนกันนะเนี่ย
เพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็รับประทานอาหารทะเลเหล่านั้นหมดไปแล้วหลายชิ้น ก่อนที่เขาจะหันมาหาพวกของเสี่ยวเย่และบอกว่า “พี่เสี่ยว พวกท่านไม่ต้องเกรงใจไป ลองเข้ามาชิมดูก่อน รับรองได้ว่าพวกท่านจะไม่ผิดหวังในรสชาติแน่นอน”
เสี่ยวเย่ไม่ลังเลอีกแล้ว
เนื่องจากเขาได้รับคำสั่งรับมาจากเบื้องบนว่า หากมีโอกาสได้ร่วมงานกับหลินเป่ยเฉิน ก็ให้พยายามเอาอกเอาใจเด็กหนุ่มให้ได้มากที่สุด และอย่ามีปัญหาขัดแย้งกับหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด
“ว่าแต่คุณชายหลินมาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ?”
เสี่ยวเย่เดินเข้าไปรับส้อมมาทิ่มเนื้อปลาขึ้นจากเตารับประทานพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะระหว่างพูดคุย
และแล้วนายทหารหนุ่มก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
“อร่อยเหลือเกิน”
เสี่ยวเย่อุทานออกมาเสียงดัง “อร่อยจริงๆ ด้วย”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ก่อนจะกวักมือเรียกนายทหารส่วนที่เหลือ “พี่น้องทุกท่านขอเชิญเข้ามารับประทานได้เลย วันนี้ข้าเลี้ยงเอง…”
พูดจบ เขาก็หันกลับมาเตะก้นเซียวปิงหนึ่งป้าบ “เร็วเข้า รีบย่างเพิ่มเติมได้แล้ว ทุกคนรอคอยรับประทานอยู่”
เซียวปิงได้แต่กะพริบตาปริบๆ
ท่านพี่ ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?
ตัวข้าเพิ่งได้กินไปเพียงไม่กี่ชิ้นเองนะ
แล้วนายทหารเหล่านี้อีก เมื่อสักครู่ เขาอุตส่าห์เอ่ยปากชวน แต่ทุกคนกลับมีสีหน้าเหมือนได้รับคำเชิญให้ดื่มยาพิษ ทว่า พอเปลี่ยนคนชวนเป็นหลินเป่ยเฉินเข้าหน่อย นายทหารทุกคนกลับรีบกุลีกุจอมารับประทานอย่างตื่นเต้น นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
แต่เมื่อได้รับคำสั่งให้ย่างต่อไป เซียวปิงก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมาก
กลิ่นของเนื้อปลาและเนื้อปลาหมึกย่างหอมฉุยเหนือกำแพงเมือง
บรรยากาศคึกคักแจ่มใส
“อร่อยเหลือเกิน”
“ข้าเองก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเนื้อของพวกชาวทะเลมันอร่อยขนาดนี้”
“ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ เราจะทำของกินเสียเปล่าหมดเลยสินะ ครั้งหน้าหากได้ต่อสู้กันอีก ถ้าเราจับพวกชาวทะเลมาทำอาหาร แค่นี้ปัญหาเรื่องปากท้องก็ได้รับการแก้ไขแล้ว”
“อ้อ ยิ่งไปกว่านั้นอีกนะ เรายังนำเนื้อของพวกมันไปจำหน่ายในตัวเมืองได้อีกด้วย”
นายทหารหลายคนเริ่มวางแผนธุรกิจ
พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แม้ใจจริงจะรู้ดีว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายก็ตาม
เพราะนักรบชาวทะเลมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น คงเป็นพวกเขาเองมากกว่าที่ถูกฝ่ายศัตรูจับกินเป็นอาหาร
แต่ที่สำคัญก็คือนักรบชาวทะเลเหล่านั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์มากเกินไป ถึงเนื้อของพวกมันจะมีรสชาติอร่อยมากกว่าที่คิด แต่ถ้าจะให้รับประทานเป็นอาหารอย่างจริงจัง นายทหารเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้จริงๆ
และการจับนักรบชาวทะเลให้ได้สักตัว ก็คงต้องอาศัยผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งอย่างพวกนายทหารคนงานขุดเหมืองเท่านั้น
ส่วนนายทหารธรรมดานั้นเล่า แค่รอดชีวิตจากสนามรบได้ก็ถือว่าบุญแล้ว จะเอาอะไรไปจับตัวพวกมันมาทำอาหารอีก
และทางกองทัพก็เลี้ยงดูนายทหารทุกคนเป็นอย่างดี พวกเขาไม่เคยขาดแคลนอาหาร เพราะฉะนั้น การออกไปไล่ล่านักรบชาวทะเลมาเป็นวัตถุดิบทำอาหารนั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ขณะนี้ นอกจากอาหารทะเลบนเตาย่างของเด็กหนุ่มร่างอ้วนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มนายทหารผู้ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองได้ก็คือความงามของเฉียนเหมย
การที่มีเด็กสาวหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ให้เกียรติมาเยี่ยมชมกำแพงเมือง ก็ทำให้บรรยากาศสมรภูมิรบของพวกเขาสดใสขึ้นมาในพริบตา
นายทหารหลายคนได้แต่เพียงแอบมองด้วยความเอียงอาย ราวกับว่าได้พบเจอนางฟ้านางสวรรค์ตัวจริงก็ไม่ปาน
เฉียนเหมยไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น
นางยืนจ้องมองออกไปนอกกำแพงเมืองด้วยดวงตาเป็นประกาย
การต่อสู้เพิ่งจบลงไปได้ไม่นาน ใต้กำแพงเมืองเต็มไปด้วยกองซากศพของนักรบชาวทะเล บัดนี้ ชาวทะเลได้ส่งกองกำลังส่วนหนึ่งมาเก็บกวาดซากศพพวกของตนเอง เพราะมีกฎตามมารยาทระบุเอาไว้ว่า เมื่อการต่อสู้จบลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายสามารถส่งทหารออกไปเก็บกวาดซากศพได้อย่างปลอดภัย และจะไม่มีการโจมตีที่เกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่ายเด็ดขาด
มีข่าวลือว่านี่คือกฎสวรรค์ที่ผู้ใดก็ละเมิดไม่ได้
ก้อนเมฆปกคลุมเหนือสนามรบ
กลิ่นเลือดคาวคลุ้งในอากาศ
เฉียนเหมยจ้องมองซากศพบนพื้นดินพร้อมกับจินตนาการว่าตนเองเป็นแม่ทัพหญิงที่คอยควบคุมการต่อสู้ ไม่ว่านางเคลื่อนกายยังที่ใด ก็สามารถสังหารศัตรูได้อย่างสวยงาม
นางคือแม่ทัพหญิงที่ปกป้องประเทศชาติ และได้รับความรักจากผู้คนจำนวนมาก สุดท้ายก็กลับไปแต่งงานกับนายท่าน และให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวอย่างละสามคน…
“ฮ่าๆๆๆๆ”
เพียงแค่คิด เด็กสาวก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“เจ้าหัวเราะอะไรน่ะ?”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นไม่ห่างออกไป “รีบมาช่วยเซียวปิงย่างปลาได้แล้ว เป็นแบบนี้เขาทำไม่ทันแน่…”
“โอ๊ะ รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
เฉียนเหมยพับแขนเสื้อและเดินเข้าไปที่เตาย่างอาหารทะเล
ในระหว่างที่หลินเป่ยเฉินกำลังรับประทานหนวดปลาหมึกย่างอยู่นั้น เขาก็ค้นพบช่องทางทำเงินที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เด็กหนุ่มกวาดตามองค่ายที่พักของพวกนักรบชาวทะเลที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองห่างออกไป ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับได้เห็นกองเหรียญทองคำจำนวนมาก
ดูเหมือนว่าแผนการก่อสร้างสถานศึกษาของเขาคงต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างเสียแล้ว