เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 707 มาอีกแล้วหรือ
ตอนที่ 707 มาอีกแล้วหรือ
เมื่อเฉียนเหมยสวมใส่ชุดเกราะสีแดงดำเดินกลับขึ้นมาประจำการอยู่บนกำแพงเมือง สายตาของชายหนุ่มจำนวนนับไม่ถ้วนก็จ้องมองไปที่เรือนร่างอรชนนั้น
เฉียนเหมยมีสง่าราศีราวกับเป็นแม่ทัพสาวผู้กล้าหาญ ริมฝีปากแดงฟันขาว เพียงจ้องมองก็ทำให้หัวใจเหล่าชายหนุ่มลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที
แม้แต่เสี่ยวเย่ก็ยังต้องยอมรับว่า เมื่อสาวรับใช้นางนี้สวมใส่ชุดเกราะของพวกเขา นางก็ดูมีสง่าราศีและเหมาะสมสำหรับทำหน้าที่รักษากำแพงเมืองเป็นที่สุด
“อิอิ ข้าน้อยชอบชุดเกราะชุดนี้จังเลยเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยขยับแขนขายืดเส้นยืดสายพร้อมกับพูดว่า “ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้ออกสู่สนามรบแล้ว…”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
ปู๊น!
ได้ยินเสียงเป่าแตรหอยสังข์ดังขึ้นนอกกำแพงเมือง
แล้วกองทัพของพวกชาวทะเลก็เดินขบวนออกมาจากค่ายที่พักของพวกมัน ตรงมายังกำแพงเมืองของพวกเขาอีกครั้ง
หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน กระดูกแหลมคม หรือระเบิดน้ำเวทมนตร์ ต่างก็ถูกระดมขว้างปาเข้าใส่กำแพงเมืองไม่มีหยุดยั้ง
“ศัตรูโจมตีแล้ว”
“พวกเรารีบโต้กลับเร็วเข้า”
“เปิดการใช้งานค่ายอาคมคุ้มครองพสุธา อัตราความมั่นคงอยู่ที่ระดับห้า…”
เสียงร้องตะโกนดังชุลมุนวุ่นวายคลอเคล้าไปกับเสียงตีระฆังดังกังวานไปทั่วกำแพงเมือง…
เสี่ยวเย่และพรรคพวกหันมามองหน้าเฉียนเหมย
เด็กสาวคนนี้… สมพรปากของนางจริงๆ
เฉียนเหมยเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้นสุดขีด
ในที่สุด นางก็จะได้ออกสู่สนามรบแล้ว
“พวกเราลุย!”
เด็กสาวร้องคำราม ก่อนทะยานออกไปพุ่งเข้าหาพวกนักรบชาวทะเล
…
“ฮื่อ นายท่านทิ้งเฉียนเหมยไว้ที่กำแพงเมืองหรือเจ้าคะ?”
เมื่อได้ทราบว่าเจ้านายของตนเองปล่อยให้เฉียนเหมยอยู่รักษาการที่กำแพงเมือง เฉียนเจินก็รีบพูดออกมาด้วยความเป็นกังวล “นายท่านตามใจนางมากเกินไปแล้ว นางอาจจะสร้างปัญหาก็ได้นะเจ้าคะ เฮ้อ อีกอย่างสนามรบอันตรายถึงเพียงนั้น นางยังเด็กเกินไป ถ้าเกิดว่า… ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฉียนเหมยได้แต่ทำงานรับใช้นายท่าน นางจะสามารถเอาตัวรอดที่กำแพงเมืองได้จริงหรือเจ้าคะ”
หลินเป่ยเฉินโน้มตัวมาข้างหน้า ลงมือเขียนและระบายสีแบบแผนการก่อสร้างไปด้วยระหว่างที่ให้คำตอบเฉียนเจินโดยไม่ต้องเงยหน้ามองขึ้นมา “เฉียนเหมยชอบการต่อสู้ การต่อสู้ทำให้นางมีความสุข ปล่อยนางไปเถิด”
“แต่นางเป็นของท่านนะเจ้าคะ พ่อบ้านหวังเป็นคนซื้อพวกเรามาคอยรับใช้นายท่าน และนายท่านก็ดีกับพวกเรามาก นายท่านไม่เคยดุด่าหรือทุบตีพวกเรา ซ้ำยังสอนวิทยายุทธ์ให้พวกเราได้เรียนรู้อีก เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพวกเราทั้งสองคน ก็คือการทำให้นายท่านมีความสุขมากที่สุด มันคงเป็นการโง่เขลามากเกินไปถ้าหาก…”
เฉียนเจินเดินอ้อมไปด้านหลังแล้วเริ่มนวดไหล่ให้แก่เด็กหนุ่มด้วยความชำนาญ พร้อมกันนั้น นางก็กล่าวต่อไป “เดี๋ยวนางกลับมาเมื่อไหร่ ข้าคงต้องคุยกับนางสักหน่อยแล้ว”
หลินเป่ยเฉินวางปากกาในมือลง ก่อนลุกขึ้นยืนและหันกลับไปใช้สองมือบีบใบหน้าของเฉียนเจินจนนางปากจู๋ มีใบหน้าบู้บี้เหมือนกับปลาทอง แล้วเขาก็กล่าวยิ้มๆ ว่า
“จริงอยู่ที่พ่อบ้านหวังซื้อพวกเจ้ามาเพื่อทำงานรับใช้ข้า แต่หลังจากที่ติดตามข้ามาเนิ่นนานขนาดนี้ ข้าก็คิดว่าพวกเจ้าเป็นญาติพี่น้องของตนเองเสียแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเราจึงเท่าเทียมกันหมด เฉียนเหมยมีนิสัยชื่นชอบการต่อสู้ บางทีนางอาจค้นพบคุณค่าของตนเองผ่านการต่อสู้ก็เป็นได้ และในเมื่อนี่คือสิ่งที่ทำให้นางมีความสุข แล้วทำไมข้าถึงต้องไปขัดขวางนางด้วยล่ะ?”
“แต่ว่า… แต่ว่า…”
เฉียนเหมยพยายามคิดหาเหตุผล แม้รู้ดีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่นางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง
“ข้าอยู่ในโลกนี้ไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก แต่โชคดีที่ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีเจ้าทั้งสองคนอยู่ด้วย ข้าเองก็อยากให้เจ้ามีความสุขเช่นกัน เจ้าต้องค้นหาคุณค่าในตัวเองให้เจอ เจ้าต้องหาคำตอบให้ได้ว่าชีวิตของเจ้ามีความหมายอย่างไร การทำงานรับใช้ข้านั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อจะตาย เจ้าลองนึกดูสิว่าถ้าสักวันหนึ่งเฉียนเหมยกลายเป็นแม่ทัพหญิงที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร มันก็จะเป็นเรื่องดีต่อทุกคนไม่ใช่หรือ?”
เฉียนเจินพยายามนึกภาพตามที่เด็กหนุ่มบอก เพราะมันเป็นสิ่งที่นางไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เด็กสาวพลันรู้สึกว่า… เรื่องราวเช่นนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อย
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “งั้นข้าขอถามเจ้าบ้าง เจ้ามีความสนใจในเรื่องอะไรบ้างหรือไม่? เจ้ามีอะไรอยากทำแบบที่เฉียนเหมยอยากต่อสู้หรือเปล่า? บอกข้ามาได้เลยนะ ข้าพร้อมสนับสนุนเจ้าเต็มที่”
เฉียนเจินรีบตอบกลับมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ข้าน้อยอยากติดตามนายท่าน อยากดูแลนายท่าน อยากซักเสื้อผ้าให้นายท่าน อยากทำอาหารให้นายท่าน อยากชงน้ำชาให้นายท่าน อยากรินเครื่องดื่มให้นายท่าน อยากทำให้นายท่านมีความสุขมากที่สุดเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าและพูดเสียงเข้ม “นี่ไม่ใช่คำตอบที่ข้าต้องการ เจ้าจงจำเอาไว้นะว่า… คนเราทุกคนล้วนมีชีวิตเป็นของตนเอง ไม่ว่าเจ้าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน หรือต่อให้เจ้าจะเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวนายน้อยผู้หล่อเหลามากไปด้วยพรสวรรค์และมีความแข็งแกร่งซ้ำยังมีหัวใจที่อบอุ่นโอบอ้อมอารีอย่างข้าคนนี้ แต่เจ้าก็ต้องมีชีวิตเป็นของตนเอง นอกจากเจ้าจะมีหน้าตาสะสวยแล้ว เจ้ายังมีความสามารถรอบด้านอีกด้วย ไม่มีสตรีนางใดจะสมบูรณ์แบบมากไปกว่าเจ้าอีกแล้ว!”
ฮ่าฮ่าฮ่า
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพวกไลฟ์โค้ชบนโลกมนุษย์ เขาอุตส่าห์พูดให้ข้อคิดขนาดนี้ เฉียนเจินก็น่าจะคิดอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย
หลินเป่ยเฉินไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดให้ตนเองดูดี
แต่เขาหวังจริงๆ ว่าหญิงรับใช้ประจำตัวทั้งสองคนจะมีชีวิตที่มีความสุขที่สุด
ถ้าพวกนางยังเกาะติดเขาตลอดไป เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็จะไม่มีชีวิตเป็นของตนเอง
ถึงอย่างไรพวกนางก็พึ่งพาเขาตลอดไปไม่ได้อยู่แล้ว
อีกไม่นาน หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองจะได้กลับโลกมนุษย์แน่นอน
เขาไม่อยากนึกภาพเลยว่าหากสองสาวรับใช้ยังดูแลตัวเองไม่ได้ เมื่อไม่มีเขาคอยอยู่ดูแลอีกต่อไป พวกนางจะต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมเช่นไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงรับใช้ที่มีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ พวกนางอาจต้องพบเจอชะตากรรมที่โศกสลดมากกว่าหญิงสาวทั่วไปด้วยซ้ำ
เพียงแค่คิด หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหัวใจสลายแล้ว
เฉียนเจินยืนตัวแข็งทื่อ
นายน้อยยามพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ก็ยิ่งเพิ่มความหล่อเหลามากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“นับว่าพูดได้ดี”
เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูทางเข้ากระโจม
“คิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลเสเพลเช่นเจ้า จะสามารถพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้”
ไม่รู้เลยว่า ‘เยว่เว่ยหยาง’ มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ นางเดินเข้ามาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแปลกประหลาด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดเอวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ทะ… ท่านมาอีกแล้วหรือ? ท่านมาที่นี่ทำไมกัน?”
เยว่เว่ยหยางยิ้มมุมปาก “เจ้าก็น่าจะรู้นะว่าข้ามาทำไม”
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งเฮือก
จบสิ้นแล้ว
เฉียนเจินรู้จักเยว่เว่ยหยาง แต่นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยว่เว่ยหยางบ้าง
“ท่านพี่เว่ยหยาง”
เด็กสาวประสานมือคำนับทักทายอย่างดีใจและมีความสุข
เยว่เว่ยหยางพยักหน้าตอบว่า “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับคุณชายหลิน”
เฉียนเจินรีบเดินออกไปนอกกระโจมตามคำสั่งทันที
เยว่เว่ยหยางยิ้มกว้างและย่างสามขุมตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินตัวสั่นเทา เขายกมือปิดหน้าอกตนเองและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ท่าน… อย่าเข้ามาเด็ดขาด ท่านคิดจะทำอะไร?”
ลมหายใจต่อมา เยว่เว่ยหยางก็เข้ามาประชิดข้างกายเขาแล้ว
“เฮ้ย”
หลินเป่ยเฉินอุทานขณะลุกขึ้นถอยหลังหนี “ช้าก่อน ไม่เอาบนพื้นนะ… ปิดประตูก่อน อย่างน้อยก็ช่วยปิดประตูก่อนเถิด”
เยว่เว่ยหยางยกมือโบกสะบัด
ลำแสงสีเงินสว่างไสวครอบคลุมทั่วบริเวณ
แล้วค่ายอาคมกันเสียงเล็ดลอดออกไปด้านนอกก็ครอบคลุมทั่วกระโจมที่พักทันที