เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 717 เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว
ตอนที่ 717 เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว
ด้วยความสงสัย หลินเป่ยเฉินจึงหันกลับไปมอง
แล้วเขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจ
เพราะว่าในห้องขังที่อยู่ลึกที่สุดนั้น เด็กหนุ่มได้พบเจอกับใครบางคนที่ไม่ได้พบหน้าหลายเดือนแล้ว…
องค์ชายเจ็ด
องค์ชายผู้สูงศักดิ์ถูกจองจำอยู่ในคุกทมิฬแห่งนี้
ถึงเขาจะไม่ได้มีบาดแผลตามร่างกายเหมือนไต้จือฉุน แต่ด้วยสีหน้าที่อิดโรย ใบหน้าขาวซีด มือทั้งสองข้างซึ่งถูกล่ามโซ่ตรวนสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ก็เห็นได้ชัดว่าองค์ชายคงถูกสกัดจุดลมปราณเป็นแน่แท้
และห้องขังที่องค์ชายอยู่ก็แตกต่างจากห้องขังของไต้จือฉุน มันสะอาดและมีโต๊ะกับเก้าอี้จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของเตียงหลังใหญ่ สะดวกสบายมากกว่าบ้านของชาวเมืองธรรมดาเสียอีก
หากไม่ได้มีโซ่ตรวนล่ามอยู่ตามร่างกาย หลายคนอาจเข้าใจได้ว่าองค์ชายเจ็ดกำลังมาพักร้อน
หลินเป่ยเฉินยังคงอยู่ในสภาพล่องหนตอนที่มายืนอยู่หน้าห้องขัง
องค์ชายเจ็ดส่งเสียงร้องตะโกนพักใหญ่จนลำคอแหบแห้งแทบไม่มีเสียงเปล่งออกมาอีก ในเมื่อไม่มีใครให้ความสนใจ สุดท้ายองค์ชายหนุ่มก็ต้องเงียบเสียงไปด้วยความคับแค้นใจ
ดูเหมือนเขาจะถูกขังอยู่ที่นี่มานานแล้ว
ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
องค์ชายเจ็ดเป็นหนึ่งในองค์ชายคนสำคัญของจักรวรรดิเป่ยไห่ ได้รับการคาดเดาว่าในอนาคตข้างหน้าคงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป แต่บัดนี้ เขากลับถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน โดยที่ไม่มีคนของทางวังหลวงออกตามหาได้อย่างไร?
“ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินทำท่าใช้นิ้วกลางดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
ถ้าเขาเดาไม่ผิด องค์ชายเจ็ดคงล่วงรู้แผนการบางอย่างของเหลียงหยวนเตาเข้าโดยบังเอิญ และนั่นก็ทำให้ท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนต้องขังองค์ชายเอาไว้ที่นี่ไม่ให้มีผู้ใดล่วงรู้
มิเช่นนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ยอดฝีมือระดับเซียน ผู้มีความภักดีต่อวังหลวงอย่างเกาเฉิงฮั่นจะไม่ลงมือช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดออกไปจากคุกทมิฬแห่งนี้
ผู้ที่จับตัวเชื้อพระวงศ์มาขังคุก ย่อมมีความผิดฐานเป็นกบฏแผ่นดิน ต้องได้รับโทษทัณฑ์ประหารชีวิต
เพราะนี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้
นับว่าเหลียงหยวนเตาเสียสติไปแล้วจริงๆ
สิ่งที่ชายอ้วนเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาฆ่าแม่ทัพหลี่เพื่อนำมารับประทานเป็นอาหารนั้น คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกแล้ว
ขนาดองค์ชายเจ็ด ชายอ้วนยังนำตัวมาขังคุกได้ลงคอ แล้วชีวิตของแม่ทัพผู้หนึ่งจะไปเหลืออะไร
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าห้องขังด้วยความลังเลใจ
จะช่วย?
หรือไม่ช่วยดีนะ?
ตอนที่ยังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง องค์ชายเจ็ดเคยออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินหลายครั้ง เรียกได้ว่าเคยมีบุญคุณต่อกันมาก่อน หลินเป่ยเฉินยึดถือคติมีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระเสมอมา แล้วเขาจะทำเป็นเมินเฉย ไม่ช่วยเหลือองค์ชายออกจากคุกนรกแห่งนี้ได้อย่างไร?
แต่ถ้าช่วยออกมา ต่อให้ใช้แอปเมจิก คาเมร่าช่วยแปลงโฉม แต่ก็คงปิดบังความจริงได้ไม่นานนัก เสือร้ายอย่างเหลียงหยวนเตาต้องค้นพบความจริงแน่นอน
แผนการเดิมของหลินเป่ยเฉินก็คือบุกเข้ามาช่วยเหลือไต้จือฉุนกลับออกไป และอาศัยไต้จือฉุนตัวปลอมซื้อเวลาสักพักหนึ่ง หลินเป่ยเฉินหวังที่จะรอให้พวกของตนเองสามารถก่อสร้างสถานศึกษาและทำภารกิจแอป Keep ได้สำเร็จเสร็จสิ้นเสียก่อน เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็อาจเลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ขั้นเซียน และสามารถบุกไปจัดการเหลียงหยวนเตาถึงตำหนักต้าหลงได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใดอีกแล้ว
แต่ถ้าเหลียงหยวนเตารู้ตัวก่อนหน้านั้น แผนการทุกอย่างของเด็กหนุ่มก็จะพังทลาย
หลินเป่ยเฉินยืนใช้ความคิดอยู่หน้าห้องขัง
อากวงและหลิวฉีไห่ได้แต่ยืนนิ่งเงียบ ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
ในห้องขังขณะนี้ หลังจากที่องค์ชายเจ็ดส่งเสียงตะโกนระบายอารมณ์แล้ว เขาก็เดินกลับไปนั่งบนเตียง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเสมือนเป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลยว่าองค์ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาของเขาเหม่อลอยด้วยความเศร้าหมอง
หลังจากนั้นพักใหญ่ องค์ชายเจ็ดก็ลุกขึ้น ถือก้อนกรวดในมือและเริ่มต้นเขียนอะไรบางอย่างบนกำแพงห้องขัง
หลินเป่ยเฉินหรี่ตามอง ในไม่ช้าก็พบว่าองค์ชายเจ็ดกำลังวาดภาพ ซึ่งฝีมือการวาดภาพขององค์ชายไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ สงสัยบรรดาขุนนางผู้เป็นพี่เลี้ยงคงไม่มีใครเก่งกาจด้านจิตรกรรมเป็นแน่แท้
แต่หลินเป่ยเฉินก็ดูออกว่าองค์ชายเจ็ดใช้ก้อนกรวดวาดภาพเด็กหญิงคนหนึ่ง
เด็กหญิงที่มีอายุไม่เกินสามขวบ
เด็กหญิงที่มีรอยยิ้มสดใส กำลังอ้าแขนทั้งสองข้าง รอให้ใครบางคนเข้าไปโอบอุ้ม
องค์ชายเจ็ดมองภาพเขียนที่อยู่บนกำแพง แล้วเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนทอดถอนใจรำพึงรำพัน “หนิงหนิง บิดาคงไม่ได้กลับไปหาเจ้าเสียแล้ว ต้องโทษตอนเป็นเด็ก บิดาไม่ตั้งใจเล่าเรียนวิชาศิลปะให้ดี ถึงวาดเขียนเจ้าออกมาได้ไม่สวยงามเท่าตัวจริง ยิ่งคิดบิดาก็ยิ่งเสียใจยิ่งนัก บิดาไม่กลัวตายหรอกหนา แต่สิ่งที่บิดากลัวก็คือหากบิดาตายไปสักคน พวกเจ้าก็คงไม่รอดเช่นกัน องค์ชายสี่โหดเหี้ยมอำมหิตถึงปานนั้น เขาคงถอนรากถอนโคนพวกบิดาให้สิ้นซาก…”
พูดมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตาขององค์ชายอย่างแช่มช้า
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นหัวใจก็กระตุกวูบ
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป
เขาต้องช่วยองค์ชายหนีออกไปให้ได้
เด็กหนุ่มยกมือเรียก
หลิวฉีไห่ขยับเข้ามาอยู่หน้าประตูห้องขังและเริ่มสลายค่ายอาคม
ประตูห้องขังแห่งนี้ลงค่ายอาคมเอาไว้แน่นหนาเป็นพิเศษ
หลิวฉีไห่ผู้ชำนาญเรื่องการใช้ค่ายอาคมมากที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปกว่าจะสามารถสะเดาะกลอนประตูห้องขังนี้ได้สำเร็จ โดยไม่ทำให้คนภายนอกล่วงรู้
ประตูห้องขังแง้มเปิดออก
พวกของหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในสภาพล่องหน
ผลั่ก!
เด็กหนุ่มใช้ด้ามจับกระบี่ทุบเข้าไปที่ท้ายทอยขององค์ชายเจ็ด
องค์ชายเจ็ดที่น่าสงสารผู้ถูกสกัดจุดพลังลมปราณไม่มีเรี่ยวแรงตอบรับอื่นใด ดวงตาของเขาเหลือกลาน ก่อนที่ตัวคนจะล้มฟุบลงไป
หลินเป่ยเฉินใช้มือช้อนรับร่างองค์ชายเอาไว้ได้ทันเวลา
พริบตาต่อมา เมื่อนำมือขององค์ชายมาแตะเข้ากับตัวของอากวง องค์รัชทายาทผู้หมดสติก็ล่องหนไปเช่นกัน
สำหรับอากวง การทำให้คนจำนวนมากหายตัวพร้อมกันเช่นนี้ ย่อมมีขีดจำกัด
“พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เมื่อช่วยเหลือผู้คนสำเร็จแล้ว หลินเป่ยเฉินก็พยายามหลบหนีออกมาจากคุกใต้ดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ครั้งนี้ เขาไม่มีเวลาใช้แอปเมจิก คาเมร่าสลับตัวตนองค์ชายเจ็ดกับผู้คุมคนไหนอีกแล้ว เนื่องจากเด็กหนุ่มเลือกที่จะหลบหนีออกไปให้เร็วที่สุด
เหตุผลนั้นง่ายมาก
ข้อแรก หลินเป่ยเฉินไม่อยากให้มีการเชื่อมโยงกันระหว่างการช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดกับการช่วยเหลือไต้จือฉุน ถ้าทั้งสองคนถูกสลับตัวตนกับผู้คุมคุกด้วยกันทั้งคู่ เหลียงหยวนเตาก็คงจะต้องเพ่งเล็งความสงสัยมาที่ผู้คนจากเมืองหยุนเมิ่งแน่ๆ และนั่นก็จะทำให้แผนการของหลินเป่ยเฉินต้องพังทลายไปทันที
ข้อสอง เขาอยากให้เหลียงหยวนเตารู้ว่าองค์ชายเจ็ดได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว
การหลบหนีออกไปขององค์ชายเจ็ดคงจะทำให้เหลียงหยวนเตาเกิดความกดดันไม่น้อย
เหลียงหยวนเตาจะต้องทุ่มเทสรรพกำลังและทรัพยากรทุกอย่างเพื่อไล่ล่าตามหาตัวองค์ชายเจ็ด
เพราะฉะนั้น ชายอ้วนจึงไม่มีเวลามาสนใจไต้จือฉุนอีกต่อไป แม้แต่เวลาที่จะมาสนใจหลินเป่ยเฉินก็คงแทบไม่มีด้วยซ้ำ
ตราบใดที่ยังหาตัวองค์ชายเจ็ดไม่พบ เหลียงหยวนเตาไม่มีทางนอนหลับสนิทเด็ดขาด
ด้วยวิธีนี้ หลินเป่ยเฉินก็จะมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น
นี่คือการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว
“ปรากฏว่าแค่เสียตัวสองครั้ง ก็ทำให้เราฉลาดขึ้นจริงๆ แฮะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา
เขารู้สึกว่าตนเองฉลาดมากกว่าเมื่อก่อนมาก
โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
เขาแค่อยากเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาและมีความใสซื่อบริสุทธิ์ไม่คิดร้ายต่อใคร แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินต้องกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาและมีมันสมองชาญฉลาดอย่างหาตัวจับยากไปเสียแล้ว
ผ่านไปช่วงหนึ่งก้านธูป
หลินเป่ยเฉินและชาวคณะก็บินผ่านกำแพงเมืองเขตห้าอยู่บนแผ่นหลังของเจ้าลูกเสือ
“หืม? ข้ารู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว เหมือนมีอะไรบางอย่างเพิ่งบินผ่านหัวของข้าไป…”
มือปราบที่ยืนประจำการอยู่บนกำแพงเมืองขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง
เพื่อนมือปราบที่อยู่ข้างกันก็พยายามให้คำตอบว่า “ฤดูหนาวย่อมมีสายลมพัดผ่านเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ? จะมีผู้คนแอบเข้ามาและแอบออกไปจากพื้นที่เขตห้าโดยที่พวกเราไม่รู้ตัวได้อย่างไร… เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“จริงด้วยสินะ” ความสงสัยในแววตาของมือปราบคนแรกจางหายไปอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกของหลินเป่ยเฉินก็กลับมาถึงรถม้าของกงกง
ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่กว้างใหญ่ สามารถบรรทุกผู้คนนับสิบได้โดยไม่มีปัญหา
ทั้งไต้จือฉุนและองค์ชายเจ็ดต่างก็หมดสติด้วยกันทั้งคู่
หลินเป่ยเฉินอดสงสัยไม่ได้ว่าตอนที่เขาใช้ด้ามจับกระบี่ทุบศีรษะของบุคคลทั้งคู่ เขาออกแรงมากเกินไปหรือเปล่า
แต่เด็กหนุ่มก็เสแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแกล้งเดินลงจากห้องโดยสารของรถม้าเพื่อไปซื้อหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับกลับไปให้สองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน มือปราบอินทรีธูมรณะที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลจึงไม่ติดใจสงสัย และกงกงก็สามารถควบคุมรถม้าออกมาจากพื้นที่เมืองเขตสี่ได้อย่างราบรื่น…
ปราศจากอุปสรรคขัดขวาง
มือปราบอินทรีธูมรณะกลับไปรายงานเจ้านายของตนเองว่ารถม้าของเด็กหนุ่มได้จากไปแล้ว
แต่หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป
ในเมืองพื้นที่เขตห้าพลันดังกังวานด้วยเสียงย่ำกลองแจ้งเตือนภัย