เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 720 ดื่มก่อนสิ
ตอนที่ 720 ดื่มก่อนสิ
องค์ชายเจ็ดถึงกับตกตะลึง
นี่มัน…
ถึงจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ก็มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขาคือองค์รัชทายาทที่ถูกวางตัวให้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิคนต่อไปของจักรวรรดิเป่ยไห่ แต่ยามต้องการยืมเงินจากหลินเป่ยเฉิน ก็ยังต้องเขียนสัญญากู้ยืมด้วยหรือ?
แค่สัญญากู้ยืมไม่พอ
ยังต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยอีกด้วย?
องค์ชายเจ็ดไม่แน่ใจเลยว่านี่เขากำลังอยู่กับหัวหน้าสำนักปล่อยเงินกู้หรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินนะ หลินเป่ยเฉิน
ให้ตายสิ
องค์ชายเจ็ดเอียงคอมองหน้าหลินเป่ยเฉินอยู่นาน ทันใดนั้น ริมฝีปากของเขาก็สั่นระริกตอนที่กล่าวว่า “ลดดอกเบี้ยหน่อยได้หรือไม่?”
จ่ายดอกเบี้ยก็จ่ายดอกเบี้ย
องค์ชายเจ็ดรู้ดีว่าในยามนี้หลินเป่ยเฉินเป็นที่พึ่งสุดท้ายของตนเอง เขาไม่เหลือใครให้หันหน้าไปขอความช่วยเหลืออีกแล้ว
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินมีพฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เดี๋ยวเขาเองนั่นแหละที่จะแย่
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วขบคิดอยู่เล็กน้อย ก็พูดว่า “ไหนองค์ชายบอกว่าเห็นหม่อมฉันเป็นเหมือนน้องชายไงพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเราเป็นพี่น้องกัน เหตุไฉนท่านถึงได้ต่อรองกับหม่อมฉันเหมือนคนอื่นคนไกลเช่นนี้?”
องค์ชายเจ็ดเอียงคอมองด้วยสีหน้าฉงน
แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลินเป่ยเฉินพูดจามีเหตุผล
“ประเสริฐ อย่างนั้นก็ตกลง”
องค์ชายหนุ่มไม่เจรจาอันใดอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินยิ้มร่าด้วยความดีใจ “สมแล้วที่พระองค์เป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉัน เอาล่ะ พวกเรามาลงนามในสัญญากู้เงินกันดีกว่า…”
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา การลงนามในสัญญากู้เงินก็เป็นอันเสร็จสิ้น
หลินเป่ยเฉินถือสัญญากู้เงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สมแล้วที่องค์ชายเป็นองค์รัชทายาทที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์คนต่อไป ท่านมีความตรงไปตรงมาและไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ใดเลยจริงๆ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หยิบบัตรเก็บเงินสดที่เตรียมเอาไว้ออกมาพลางพูดว่า “กราบเรียนองค์ชาย นี่คือบัตรเก็บเงินสดจากสำนักฝากเงินกระบี่สวรรค์ ภายในบัตรใบนี้บรรจุเงินอยู่ทั้งสิ้นเก้าแสนเหรียญทองคำ เชิญองค์ชายรับไว้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง “ช้าก่อน ข้าทำเรื่องขอยืมเงินหนึ่งล้านเหรียญไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “เงินในส่วนที่หายไปนั้นเป็นการหักดอกเบี้ยเดือนแรก นี่เท่ากับว่าหม่อมฉันลดการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่องค์ชายเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น ศีรษะที่เอียงไปข้างหนึ่งขององค์ชายเจ็ดก็สามารถกลับมาตั้งตรงได้ตามปกติแล้ว
หลินเป่ยเฉินกำลังช่วยเหลือเขาอยู่แน่หรือ?
องค์ชายรู้สึกไม่ต่างกับกำลังอยู่ในสำนักปล่อยเงินกู้หน้าเลือดจริงๆ
แต่ในเมื่อเป็นคนเริ่มต้นขึ้นแล้ว เขาก็ต้องไปต่อให้จบ
“กราบเรียนองค์ชาย ในเมื่อพระองค์ไม่สามารถไว้ใจเกาเฉิงฮั่นได้ หม่อมฉันขอแนะนำว่าระหว่างที่พำนักอยู่ในค่ายที่พักแห่งนี้ พระองค์ทรงปลอมตัวดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างใช้ความคิด “บังเอิญว่าหม่อมฉันมีฝีมือในการปลอมตัวอยู่บ้าง น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้องค์ชายได้ดำเนินแผนการต่อไปง่ายดายมากขึ้น”
องค์ชายเจ็ดดวงตาเป็นประกาย สอบถามว่า “เจ้ารู้จักวิชาปลอมตัวด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ”
ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง
องค์ชายเจ็ดที่ยืนมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกก็ต้องเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
เพราะบุคคลที่อยู่ในกระจกนั้นเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่มีหน้าตาเคร่งเครียด จมูกงอดั่งตะขอ ริมฝีปากบาง แววตาดุร้ายเจ้าเล่ห์ ไม่เหลือเค้าโครงขององค์ชายผู้สูงศักดิ์สักนิดเดียว ต่อให้เป็นคนสนิทชิดใกล้ที่สุดมาเห็นสภาพขององค์ชายในขณะนี้ ก็คงจดจำไม่ได้อย่างแน่นอน
“นี่คือตัวข้าจริงหรือ?”
องค์ชายเจ็ดอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว เขาก็ต้องตกใจมากกว่าเดิม
แม้แต่เสียงก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ไม่ทราบเลยว่าโลกนี้มีวิชาปลอมแปลงตัวที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและพูด “เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าองค์ชายพอพระทัยหรือไม่?”
“พอใจสิ พอใจมากทีเดียวเลยล่ะ”
องค์ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองกำลังอยู่ในความฝัน
เมื่อได้รับการแปลงโฉมอย่างแนบเนียนถึงขนาดนี้ เขาก็สามารถอาศัยอยู่ในนครเจาฮุยต่อไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว
“ในเมื่อองค์ชายพอพระทัย ก็ทรงจ่ายค่าปลอมตัวมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินพูดหน้าตาเฉย
องค์ชายเจ็ดใบหน้ากระตุก
นะ หน้าเงิน… ไม่มีใครหน้าเงินเกินเด็กคนนี้อีกแล้ว!
แต่ในเมื่อมันเป็นทักษะที่มีประโยชน์มหาศาล องค์ชายหนุ่มจึงต้องกล่าวว่า “เจ้าคิดราคาเท่าไหร่?”
“100 เหรียญทองคำพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบโดยไม่เกรงใจ
นอกจากคิดค่าบริการแล้ว เด็กหนุ่มยังต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายค่าเปลี่ยนเสียงและเปลี่ยนรูปร่างในแอปเมจิก คาเมร่าอีกด้วย
จึงถือว่านี่เป็นราคาที่สมเหตุสมผลดีแล้วละนะ
องค์ชายเจ็ดนำเงินจำนวน 150 เหรียญทองคำออกมาจากบัตรเก็บเงินสดที่ตนเองเพิ่งได้รับสดๆ ร้อนๆ มาจ่ายให้แก่เด็กหนุ่มพลางกล่าวว่า “ข้ามอบให้เจ้าพิเศษอีก 50 เหรียญทองคำ”
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มด้วยความลิงโลดใจ “ขอองค์ชายทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
“กงกง”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ตะโกนเรียกคนขับรถม้าประจำตัว “เจ้ารีบมานี่เร็วเข้า… พาพี่เตียนไปหาที่พักในค่ายของเราได้แล้ว”
ชายฉกรรจ์ผู้ไว้ผมจุกบนศีรษะเดินเข้ามาในกระโจม ประสานมือคำนับองค์ชายเจ็ดด้วยความอ่อนน้อม จากนั้นจึงผายมือเป็นลักษณะให้เดินตามตนเองออกไป
ในที่สุด องค์ชายหนุ่มก็ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง
ระหว่างที่ถูกกักขังอยู่ในคุกใต้ดินของพื้นที่เมืองเขตห้า องค์ชายเจ็ดไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง บัดนี้ เขาจึงอยากรู้รายละเอียดทุกความเป็นไปที่เกิดขึ้นในนครเจาฮุย และกงกงก็สามารถให้คำตอบแก่เขาได้เป็นอย่างดี
เมื่อองค์ชายเจ็ดเสด็จออกไปจากกระโจมแล้ว หลินเป่ยเฉินถึงได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ก่อนหน้านี้ องค์ชายเจ็ดเคยมีบุญคุณช่วยเหลือเขาเอาไว้ ครั้งนี้เขาช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดออกมาจากคุกทมิฬ จึงถือว่าบุญคุณที่เคยมีต่อกันนั้นได้ชดใช้กันไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการยืมเงิน?
เป็นถึงองค์ชายแล้วจะอย่างไร ยืมเงินก็คือยืมเงิน เมื่อยืมเงินก็ต้องเก็บดอกเบี้ย
ขนาดแม่ทัพใหญ่อย่างโค้วจงยังต้องยอมจ่ายเงินให้เขาถึงห้าล้านเหรียญทองคำ แล้วหลินเป่ยเฉินจะมอบเงินไปให้องค์ชายเปล่าๆ ได้อย่างไร?
อีกอย่าง บัดนี้ หลินเป่ยเฉินอยู่ในสภาวะขาดแคลนเงินทอง
แม้เรื่องนี้อาจจะทำให้องค์ชายเจ็ดไม่พอใจ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่กลัว
เพราะอีกไม่นาน เขาจะเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนแล้ว
เมื่อมีพลังอยู่ในขั้นเซียน ก็ไม่ต้องกลัวใครอีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินเก็บสัญญากู้เงินอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็เดินอ้อมไปยังกระโจมที่พักทางด้านหลัง เพื่อพบกับไต้จือฉุน
บัดนี้ ไต้จือฉุนก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วเช่นกัน
โชคดีที่ลำคอ… ไม่ได้เอียง
เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะเด็กหนุ่มใช้ด้ามกระบี่ทุบแรงเกินไป
เพียงแต่ร่างกายยังอ่อนล้าอยู่เท่านั้น
ต้องไม่ลืมว่าไต้จือฉุนผ่านการถูกทรมานมาอย่างหนักหน่วง
หลังพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุด ไต้จือฉุนก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง
เมื่อถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มก็ขอบคุณหลินเป่ยเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า
การช่วยเหลือเขาออกมาจากคุกทมิฬของท่านเจ้าเมืองผู้มีจิตใจวิปริต ถือเป็นบุญคุณที่ชดใช้ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหมดสิ้น
ไต้จือฉุนอดถามตัวเองไม่ได้ว่าเขาโชคดีขนาดไหนกันนะ ถึงได้มีน้องชายร่วมสาบานประเสริฐเลิศล้ำถึงเพียงนี้?
ดังนั้น ไต้จือฉุนจึงสาบานกับตนเองว่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิต เขาจะอุทิศให้แก่หลินเป่ยเฉินโดยไม่เสียดายอีกแล้ว
“เหลียงหยวนเตาเจ้าหมูอ้วนนั่นมีหูตามากมาย พวกเราไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร ในระยะนี้ รบกวนพี่ไต้อย่าเพิ่งออกไปแสดงตัวที่ไหนเลยจะดีกว่านะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยายามปลอบโยน ก่อนจะทิ้งขวดยาวิเศษเอาไว้ให้ไต้จือฉุนรักษาบาดแผลของตนเอง
หลังจากนั้น เขาก็พาหวังจงออกจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
ก่อนหน้านี้ เหลียงหยวนเตาเคยเอ่ยถึงพวกของเยว่หงเซียงกับหวังซินอวี่ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินย่อมไม่มีทางอยู่เฉยๆ เด็ดขาด
เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปรับตัวสหายเก่าของตนเองกลับมาดูแลให้ครบถ้วนทุกๆ คน
อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินก็ต้องแสดงให้เหลียงหยวนเตาได้เห็นว่า ถึงฝ่ายเขาจะตกเป็นรอง แต่เหลียงหยวนเตาก็จะมารังแกกันไม่ได้ง่ายๆ เด็ดขาด
…
ในเวลาเดียวกันนี้
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตสาม
เหลียงซือมู่ผู้ที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง สวมเสื้อคลุมแบบที่มีหมวกคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า นั่งห่อตัวอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร หากมีผู้ใดเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังตัวสั่นงันงกยิ่งกว่าลูกนกตกน้ำ
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามคือเยว่หงเซียง บัดนี้นางปลอมตัวเป็นบุรุษ สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าพันคอสีแดง
เมื่อเปรียบเทียบกับความตื่นกลัวของเหลียงซือมู่แล้ว เยว่หงเซียงก็ดูเยือกเย็นมากกว่ากันหลายเท่า
นางสั่งอาหารมาสองสามอย่าง สั่งสุราตามมาอีกหนึ่งไห ก่อนจะวางสุราไหนั้นลงเบื้องหน้าเหลียงซือมู่
“ดื่มก่อนสิ”
เยว่หงเซียงว่า
“เอ๋? อ้อ… ประเสริฐ”
เหลียงซือมู่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามบอกตนเองให้ใจเย็น เขาจะเสียสติต่อหน้าหญิงผู้เป็นที่รักของตนเองไม่ได้
เด็กหนุ่มเปิดดินปิดฝาไหออก จากนั้นจึงยกไหสุราขึ้นซดโฮก เมื่อความรู้สึกร้อนผ่าวไหลผ่านลำคอ เหลียงซือมู่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย