เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 722 การเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน
ตอนที่ 722 การเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน
เมื่อคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด ดวงตาของเหลียงซือมู่ก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความเป็นปรปักษ์
หล่อเหลาและอายุน้อยกว่าเขา
รูปกายสูงโปร่ง
ตัดสินเพียงรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว ก็นับว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์แบบแล้ว
แม้แต่เหลียงซือมู่ผู้ยึดถือตนเองเป็นหนุ่มรูปงามมาตลอด ก็ยังต้องยอมรับจากใจจริงว่าระหว่างตนเองกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ยังคงมีช่องว่างห่างจากกันหลายกลุ่ม
แต่อาศัยความหล่อเหลาเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถพิชิตใจเยว่หงเซียงได้เด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ใช่คนที่จะมองผู้อื่นแต่เพียงภายนอก
นั่นหมายความว่าต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เยว่หงเซียงหลงรักหลินเป่ยเฉิน
หรือว่านางจะหลงใหลในคารมของหลินเป่ยเฉิน?
เหลียงซือมู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ในเวลาเดียวกันนี้ เยว่หงเซียงกับหลินเป่ยเฉินก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของแต่ละฝ่ายให้กันและกันรับฟังเรียบร้อยแล้ว
“สุนัขแซ่เหลียงอีกแล้วหรือนี่”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด
แต่ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงประโยคที่ขันทีเฒ่ารายงานต่อชายอ้วนตอนอยู่ในตำหนักต้าหลงว่า “เพื่อเป็นการช่วยเหลือเด็กสาวที่นายท่านสั่งให้จับตัวมารับประทาน คุณชายถึงกับสังหารมือปราบอินทรีธูมระที่ไปคุมตัวนางแล้ว…”
หรือนี่จะหมายความว่า…
เหลียงหยวนเตาพยายามจับตัวเยว่หงเซียงไปรับประทาน?
เพียงแค่คิดเด็กหนุ่มก็เย็นวาบไปถึงไขสันหลัง
หากเหลียงซือมู่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้ เกรงว่าเยว่หงเซียงก็คง…
ไม่ได้การ
ให้อภัยไม่ได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจเมื่อนึกถึงชื่อของเหลียงหยวนเตา
“รออีกไม่นานหรอก ข้าต้องฆ่าเจ้าหมูอ้วนนั่นให้ได้”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันด้วยความเคียดแค้น
เหลียงซือมู่ส่งเสียงแค่นหัวเราะเย็นชา
เดิมทีเขาก็รู้สึกเป็นปรปักษ์กับหลินเป่ยเฉินอยู่หลายส่วน และถึงก่อนหน้านี้ เหลียงซือมู่จะเป็นคนที่พูดเองว่าบิดาของเขากลายเป็นอสูรกายไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินคนนอกพูดถึงบิดาตนเองเช่นนี้ เหลียงซือมู่ก็อดรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าเหลียงซือมู่ ตวาดว่า “หัวเราะหาบิดาเจ้าหรือ?”
เหลียงซือมู่เบิกตาโต พูดอะไรไม่ออก
ก้าวร้าวเกินไปแล้ว
ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
เด็กหนุ่มที่ไม่มีมารยาทและก้าวร้าวเกินไปเช่นนี้เนี่ยนะ ที่สามารถพิชิตใจเยว่หงเซียงได้?
เพราะอะไรกัน? หรือว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกที่มีคารมคมคายคอยเป่าหูจนสตรีเกิดความลุ่มหลง?
ไม่ได้เด็ดขาด เขาจะต้องหาทางเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินให้ได้
“ไปกันเถิด เสี่ยวเยว่ ข้ากับเจ้ากลับไปค่ายที่พักกันดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินพูด “ข้าได้ติดต่อให้พวกของหวังซินอวี่กลับไปที่ค่ายที่พักของเราแล้วเช่นกัน บัดนี้พวกเราต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าหมูโง่แซ่เหลียงมาคุกคามพวกเจ้าได้ หลังจากนี้อีกไม่นาน ข้าจะเป็นคนสั่งสอนมันเอง”
เยว่หงเซียงรับคำว่า “เจ้าค่ะ”
นางเชื่อฟังหลินเป่ยเฉินหมดหัวใจ
นั่นยิ่งทำให้เหลียงซือมู่เกิดความสงสัยในตัวเด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามมากยิ่งขึ้น
หลินเป่ยเฉินกล้าพูดว่าจาสามหาวเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
เขาถึงกับประกาศว่าจะสั่งสอนผู้เป็นเจ้าเมืองเชียวหรือ?
เอาล่ะ ข้าจะต้องเปิดโปงโฉมหน้าชั่วร้ายของเจ้าต่อหน้าแม่นางเยว่ให้ได้
และแล้ว บุตรชายท่านเจ้าเมืองก็นึกอะไรได้บางอย่าง
เหลียงซือมู่จึงรีบพูดออกมาว่า “พาข้าไปด้วยคนสิ บัดนี้ข้าไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว เจ้าหน้าขาว… เอ๊ย… หลินเป่ยเฉิน เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าข้าต้องแลกด้วยอะไรบ้างเพื่อช่วยเหลือแม่นางเยว่ เจ้าให้ข้าไปพักอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราวได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเหลียงซือมู่อย่างใช้ความคิด
ฟังที่พูดออกมาแล้วก็ดูจริงใจดี
หลินเป่ยเฉินใช้ปลายนิ้วกลางทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนันอีกครั้ง “โบราณว่าลูกไม้ย่อมตกไม่ไกลต้น แต่นี่คุณชายเหลียงไม่ได้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนบิดาผู้ชั่วช้า และท่านก็เป็นคนช่วยเหลือเยว่หงเซียงเอาไว้จากมือปราบพวกนั้น ด้วยเหตุผลข้อนี้ ข้าจะยอมรับท่านมาอยู่ด้วยก็ได้”
เหลียงซือมู่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
ตราบใดที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับหลินเป่ยเฉิน เหลียงซือมู่ก็มั่นใจว่าด้วยความชาญฉลาดของตนเอง เขาย่อมสามารถหาโอกาสกระชากหน้ากากคนดีของเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวคนนี้ออกมาได้แน่นอน
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนท่านเอาไว้สักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “บัดนี้ข้ารังเกียจคนแซ่เหลียงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านเข้ามาอยู่ในค่ายที่พักของพวกเราแล้ว จงทำตัวให้ดี จงทำทุกอย่างที่สมควรทำและอย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่านไปทั่ว หากข้าพบว่าท่านมีเจตนาอื่นใดแอบแฝง… ข้าจะเป็นคนตัดหัวสุนัขของท่านเอง”
เหลียงซือมู่รีบรับคำว่า “ไม่มีปัญหา ข้ารับปากว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายเด็ดขาด”
เพื่อความสุขชั่วชีวิตของหญิงผู้เป็นที่รัก เหลียงซือมู่จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร?
ไม่นานหลังจากนั้น เยว่หงเซียงก็ห่ออาหารกลับออกมาจากโรงเตี๊ยมและออกเดินทางไปพร้อมกับเด็กหนุ่มทั้งสองคน
…
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปได้หนึ่งเดือนแล้ว
กองทัพชาวทะเลยังคงบุกโจมตีกำแพงเมืองทุกวัน วันละหลายครั้ง ถึงจะยังไม่สามารถทำลายแนวรับของนครเจาฮุยได้สำเร็จ แต่ก็สามารถสร้างความกดดันและความอ่อนล้าให้แก่ทั้งร่างกายและจิตใจของเหล่าทหารกล้าผู้รักษากำแพงเมืองได้เป็นอย่างมาก
นี่คือครั้งแรกที่ชาวเมืองในพื้นที่เขตสามและเขตสี่ ได้รับทราบถึงความน่ากลัวของสงครามที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
และความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งเช่นกัน
ตึกสูงหกชั้นจำนวนมากปรากฏขึ้นมาในหมู่บ้านผู้อพยพ ถึงมันจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ผิดแผกแตกต่างไปจากสิ่งก่อสร้างดั้งเดิมของจักรวรรดิเป่ยไห่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็สามารถปรับตัวเข้าอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในห้องพักของพวกเขาแต่ละครอบครัวยังมีการติดตั้งเครื่องทำความร้อน ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม และมีการจัดวางข้าวของเครื่องใช้อย่างเป็นระเบียบอีกด้วย
แต่นั่นเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือที่พักอาศัยสูงหกชั้นเหล่านี้ สามารถเข้าอยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบาย
มันสว่างไสวและมีพื้นที่กว้างขวาง
มีความอบอุ่น
กล่าวถึงเรื่องความอบอุ่นแล้ว บรรดาผู้อพยพทั้งในและนอกหมู่บ้านชาวเมืองหยุนเมิ่ง ต่างก็พร้อมใจส่งเสียงสรรเสริญหลินเป่ยเฉินที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมการกระจายความร้อนให้แก่ครัวเรือนในชุมชน ส่งผลให้พวกเขาไม่ต้องทนหนาวเหน็บอยู่ในฤดูหนาวอันโหดร้ายอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนเริ่มเรียกคนแรก แต่เครื่องทำความร้อนเหล่านี้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่กลายเป็น…
เตาไฟเป่ยเฉิน
ถึงความร้อนเหล่านี้จะไม่ได้มาในรูปแบบของเปลวไฟ แต่มันก็สร้างความอบอุ่นให้แก่ชาวบ้านได้ ไม่ต่างจากมีเตาไฟอยู่ในห้องพัก
นอกจากนี้ บ้านเช่าราคาถูกที่ก่อสร้างอยู่รอบๆ หมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ก็มีผู้จับจองและเข้าอยู่อาศัยหมดทุกหลัง
เหล่าผู้อพยพต้องจ่ายค่าเช่าเพียงเดือนละหนึ่งเหรียญเงินเท่านั้น ก็จะได้อาศัยอยู่ในบ้านเช่าที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น สามารถอยู่ร่วมกันได้ประมาณแปดคนต่อหนึ่งหลัง และยังมีเครื่องทำความร้อนติดตั้งให้โดยไม่คิดเงินอีกด้วย
ส่วนผู้ที่ยากจนไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้ ก็จำเป็นต้องใช้แรงงานในพื้นที่ก่อสร้างเพื่อแลกกับค่าเช่าเท่านั้น
หนึ่งคนทำงาน ทั้งครอบครัวจะมีที่อยู่อาศัย
หนึ่งคนทำงาน ทั้งครอบครัวจะมีอาหารรับประทาน
หนึ่งคนทำงาน ทั้งครอบครัวจะมีชีวิตที่มีความสุข
ตราบใดที่ไม่ได้แขนขาหักหรือพิการใช้งานร่างกายไม่ได้ หากไม่เกียจคร้านเกินไปนัก ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถทำงานแลกเงิน เพื่อขออาศัยอยู่ในบ้านเช่าราคาถูกเหล่านี้ได้ทั้งสิ้น และพวกเขาก็จะไม่ต้องทนทรมานกับสายลมหนาวอีกต่อไป