เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 733 ป้อมอสรพิษ
ตอนที่ 733 ป้อมอสรพิษ
เฉียนซื่อยิ้มกว้างด้วยความดีใจ สิ่งที่เขากำลังวิตกกังวลไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว
ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะไม่ใช่ตัวดี แต่อย่างน้อยก็คุ้มค่าที่เป็นพันธมิตรกัน
หลังจากกลายเป็นคนของเด็กหนุ่มผู้นี้แล้ว เฉียนซื่อก็ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนในนครเจาฮุยอีกต่อไป
แม้แต่พวกแม่ทัพโค้วจงและขุนนางใหญ่เหล่านั้น ถึงจะโกรธแค้นเขาเต็มหัวใจ แต่พวกนั้นยังจะทำอะไรได้อีก?
ฮ่าฮ่าฮ่า
จะไม่มีผู้ใดกล้ามีปัญหากับเฉียนซื่อคนนี้อีกแล้ว
พลัน หลินเป่ยเฉินถามออกมาว่า “จริงด้วยสิ ท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะกราบเรียนข้า มันคือเรื่องอะไรหรือ? มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
“เอ๋?”
เฉียนซื่อหันขวับกลับไปมองหน้าหวังจง
เขาพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
หวังจงรีบหันหน้ามองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาเฉียนซื่ออีกแล้ว
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล “นี่เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ? ไม่รู้หรือไงว่าเวลาของข้าเป็นเงินเป็นทองขนาดไหน เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ก็มีค่าเท่ากับเงินหนึ่งแสนเหรียญทองคำแล้ว หวังจง เจ้ากล้ารบกวนข้าด้วยเรื่องเพียงแค่นี้รึ? กงกง เข้ามาลากตัวหวังจงกับใต้เท้าเฉียนออกไปตัดหัว…”
หวังจงรีบกล่าวละล่ำละลักว่า “ใต้เท้าเฉียน มีเรื่องอันใดทำไมไม่รีบพูดออกมา? ท่านบอกว่ามีเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ? รีบพูดออกมาเร็วเข้าสิ”
เฉียนซื่อเบิกตาโต
เรื่องใหญ่ของเฉียนซื่อก็คือการที่ตัวเขาเองถูกไล่ฆ่านี่แหละ
ยังจะมีเรื่องไหนใหญ่มากไปกว่านี้อีกหรือไร?
แต่ชายชราก็ไม่กล้าพูดหรือซักถามออกมาแม้แต่คำเดียว
เฉียนซื่อเหงื่อตกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านายทหารดังขึ้นนอกกระโจม
แต่เมื่อคนเราตกอยู่ในภาวะกดดันสุดขีด สมองก็จะทำงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ทันใดนั้น เฉียนซื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวว่า “คุณชายหลินขอรับ ข้ามีเรื่องสำคัญมากราบเรียนจริงๆ ขอรับ…คุณชายบอกว่าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งคือที่พึ่งพิงของบรรดาผู้อพยพไม่ใช่หรือ? บัดนี้ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นในนครเจาฮุยขอรับ ในพื้นที่เขตสี่มีสถานที่หนึ่งเรียกว่าป้อมอสรพิษ ผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งจำนวนไม่น้อยถูกจับตัวไปที่นั่นเพื่อเป็นทาสรับใช้และเป็นนางคณิกาโดยไม่เต็มใจ เช้าวันนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งหลบหนีออกมาได้ แต่ก็ถูกคนของป้อมอสรพิษไล่ล่าฆ่าฟันกลางวันแสกๆ…”
หืม?
สีหน้าที่เคร่งขรึมของหลินเป่ยเฉินพลันกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือไม่?”
เด็กหนุ่มถาม
เฉียนซื่อรีบตอบว่า “ย่อมเป็นความจริงแน่นอนขอรับ ข้าเห็นด้วยสองตาของตนเองว่าผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่ง ถูกคนของป้อมอสรพิษจับตัวกลับไปทำร้ายทุบตีจนตาย…”
“ให้ตายสิ แล้วทำไมท่านถึงไม่รีบพูดออกมาให้มันเร็วกว่านี้?”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “ป้อมอสรพิษยิ่งใหญ่มาจากไหน? ทำไมพวกมันถึงไม่ไว้หน้าข้าบ้างเลย?”
เฉียนซื่อให้คำตอบว่า “ที่มาที่ไปของป้อมอสรพิษไม่มีใครทราบแน่ชัดขอรับ บางคนบอกว่าพวกเขามีท่านเจ้าเมืองคอยให้การสนับสนุน แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมือปราบอินทรีธูมระเข้าออกที่นั่นมาก่อน บางคนก็บอกว่าพวกเขามีตระกูลเว่ยจากมณฑลเฉียนเกาคอยให้การสนับสนุน และป้อมอสรพิษก็มีสถานะเป็นฐานที่มั่นของพวกเขาประจำมณฑลเฟิงอวี่”
“แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน ถึงอย่างนั้น สิ่งที่แน่ใจได้อย่างหนึ่งก็คือป้อมอสรพิษมีขุมกำลังแข็งแกร่ง ไม่เหมาะสมที่ผู้ใดจะไปตอแยโดยไร้เหตุผล ด้วยว่าก่อนหน้านี้เคยมีผู้คนไปขัดแย้งกับพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา มหาเศรษฐี หรือพวกขุนน้ำขุนนาง ต่างก็ต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถใจทั้งสิ้น…”
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็ยิ้มออกมาทันที “หมายความว่าไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกมันเลยใช่หรือไม่?”
เฉียนซื่อพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่แล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินถามต่อ “ฟังจากที่ท่านพูดมา ป้อมอสรพิษแห่งนี้น่าจะมีเงินไม่ใช่น้อยเลยนะ จริงไหม?”
“เรื่องนั้น…”
เฉียนซื่อตามความคิดของเด็กหนุ่มไม่ทัน แต่ก็ยังตอบตามความจริงว่า “มีข่าวลือว่าป้อมอสรพิษเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในนครเจาฮุยแล้วขอรับ”
“โอ้โห ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “ยิ่งมีเงินเยอะเท่าไหร่ ยิ่งประเสริฐเท่านั้น… เอาล่ะ กงกง ไปตามตัวอากวงกับลูกเลี้ยงของมันมาเดี๋ยวนี้”
“รับทราบขอรับ”
กงกงรับคำและรีบหมุนตัวเดินออกไปทำตามคำสั่งทันที
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าหวังจงกับเฉียนซื่ออีกครั้ง และรู้สึกว่าชายชราคู่นี้เป็นตัวเงินตัวทองของเขาแท้ๆ
“หวังจง เจ้าไปสั่งให้เฉียนเหมยคัดเลือกนายทหารฝีมือดีที่สุดมา 300 คน และก็ตามตัวคุณชายรองกับแม่ทัพเสี่ยวเย่มาด้วย พวกเราจะไปจับวายร้ายผู้ก่อความไม่สงบในตัวเมืองเขตสี่ และข้าคนนี้จะเป็นการจัดการพวกมันด้วยตนเอง”
เด็กหนุ่มออกคำสั่งอีกครั้ง
หวังจงรับคำสั่งด้วยความกระตือรือร้น
ในกระโจมจึงเหลือแต่เพียงเฉียนซื่อผู้มีสีหน้าเลิ่กลั่กอยู่เพียงผู้เดียว “คุณชายหลินจะบุกป้อมอสรพิษหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับมา “มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
เฉียนซื่อระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวต่อว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ป้อมอสรพิษจับตัวคนของข้าไปเป็นทาสรับใช้และข้าจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย? แต่ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก ข้าจะไปพูดคุยกับพวกเขาอย่างมีเหตุและมีผล”
เฉียนซื่อแทบสำลักอากาศหายใจ
เพียงฟังน้ำเสียงของหลินเป่ยเฉิน ชายชราก็รู้แล้วว่าในอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ต้องเกิดความโกลาหลตามมาแน่นอน
…
โลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผลบนแขนกำยำ
หญิงสาวผู้หนึ่งนำปากแนบลงไปที่บาดแผลและดูดเลือดกลืนลงคอ
ที่นางต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลหยดลงบนพื้นดิน ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นเบาะแสที่ทำให้ผู้ไล่ล่านางตามมาพบเจอตัวได้ในที่สุด
บัดนี้ หญิงสาวกำลังซ่อนตัวอยู่หลังกองฟืนด้านหลังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ที่นี่อยู่ห่างจากประตูเมืองเขตสามเพียงลี้เดียวเท่านั้น แต่นางก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาสองชั่วยามแล้ว
อีกหนึ่งชั่วยามพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน และประตูเมืองกำลังจะปิดลง
หญิงสาวกำชับกับตนเองว่านางต้องรีบหาทางออกไปจากพื้นที่เขตสามให้ได้ก่อนประตูเมืองจะปิด เพราะในพื้นที่เมืองเขตสอง มีค่ายที่พักของผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่ง และนางจะต้องตามหาเด็กหนุ่มผู้นั้นให้พบเจอ เพื่อให้เขาไปช่วยเหลือพี่น้องของนางออกมาจากขุมนรกแห่งนั้นให้ได้
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย
แค่หลบหนีออกมาจากป้อมอสรพิษได้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
ป้อมอสรพิษมีขุมกำลังแข็งแกร่ง และมีหูตากว้างไกลเกินจินตนาการ
หญิงสาวสามารถมองเห็นได้จากด้านหลังกองฟืนแห่งนี้ว่าบริเวณประตูเมืองในขณะนี้ มีคนของป้อมอสรพิษไม่ต่ำกว่า 50 คนกำลังปลอมตัวร่วมอยู่กับชาวเมืองทั่วไป พวกมันกระจายกำลังอยู่ในพื้นที่โดยรอบ และรอคอยให้นางปรากฏตัวออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้ คนของป้อมอสรพิษอีกหลายสิบชีวิตก็ออกค้นหาตามสถานที่ใกล้เคียงประตูเมืองทุกแห่งหลายรอบแล้ว
ขอเพียงหญิงสาวเผลอปล่อยพลังลมปราณของตนเองออกมา พวกมันก็จะรู้ตำแหน่งที่หลบซ่อนของนางทันที
พี่น้องร่วมชะตากรรมของนางทั้งสองคนที่หลบหนีออกมาจากป้อมอสรพิษด้วยกันก่อนหน้านี้ล้วนถูกจับตัวกลับไปแล้ว
หญิงสาวจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอด
นางจะต้องหาทางหลบหนีให้ได้
หญิงสาวรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก
แต่นางทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน
รอคอยให้โอกาสหลบหนีปรากฏขึ้น
บัดนี้ หญิงสาวทำได้เพียงสวดมนต์ขอความเมตตาจากเทพีกระบี่เท่านั้น นางได้แต่ภาวนาให้ตนเองหลบหนีได้สำเร็จก่อนที่จะถูกผู้ใดพบเจอตัว
จังหวะนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นไม่ห่างออกไป
เสียงฝีเท้าเช่นนี้
หญิงสาวคุ้นเคยกับจังหวะการก้าวเดินของผู้คนจากป้อมอสรพิษเป็นอย่างดี
แย่แล้ว
พวกมันกำลังจะมาตรวจค้นพื้นที่ด้านหลังโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
สองครั้งก่อน นางโชคดีที่พวกมันไม่ได้มาตรวจค้นหลังกองฟืน
แต่ครั้งนี้…
ความคิดที่น่ากลัวปรากฏขึ้นในจิตใจ
ตุบ!
แล้วหัวไหล่ของนางก็หันไปชนกับฟืนท่อนหนึ่งตกลงบนพื้นดินโดยไม่รู้ตัว
เลือดในกายของหญิงสาวเย็นเฉียบ ความหมดหวังปกคลุมจิตใจ
คงต้องสู้ตายแล้วสินะ
ร่างอันกำยำของหญิงสาวพุ่งทะยานออกจากด้านหลังกองฟืน
กระบี่ในมือของนางฟันเข้าใส่คนจากป้อมอสรพิษที่อยู่ใกล้ที่สุด
ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวังตัว จึงถูกคมกระบี่ฟันเข้าใส่หัวไหล่เต็มแรง
“อ๊าก…”
ชายฉกรรจ์ผู้ถูกโจมตีใช้มือข้างหนึ่งดึงคมกระบี่ออกจากหัวไหล่ ก่อนจะกระแทกมืออีกข้างออกมาข้างหน้า
หญิงสาวรู้สึกเพียงถูกกระแทกหนักหน่วง แล้วนางก็ได้ยินเสียงกระดูกหน้าอกแตกหัก ตัวคนปลิวกระเด็นออกมากระแทกเข้ากับกำแพงทางด้านหลังโรงเตี๊ยมเสียงดังโครม…
“ผู้หลบหนีอยู่ตรงนี้”
“พวกเรารีบจับตัวนางให้ได้”
คนของป้อมอสรพิษส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
ชายฉกรรจ์จำนวนมากปรากฏตัวขึ้นและเดินห้อมล้อมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
หญิงสาวยันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แต่ยังไม่ทันทรงตัวได้เลยด้วยซ้ำ คนของป้อมอสรพิษคนหนึ่งก็เดินเข้ามาตบหน้านางหลายฉาด หญิงสาวเซถลาไปฝั่งหนึ่ง ก่อนจะถูกกำปั้นอัดเข้ามาเต็มช่องท้อง นางกระอักเลือดออกจากปาก ตัวงอเป็นกุ้ง พลังลมปราณที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในร่างกายกระจายหายไป ไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับการต่อต้านขัดขืนอีกแล้ว
ทันใดนั้น นายทหารหน่วยลาดตระเวนประจำเมืองคู่หนึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี พวกเขาจึงเข้ามาพยายามจะช่วยเหลือหญิงสาว
แต่หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ผู้ไล่ล่าจากป้อมอสรพิษก็หยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา พูดว่า “นางคือคนของป้อมอสรพิษ บุคคลภายนอกได้โปรดอย่ายุ่งเกี่ยว”
เมื่อเห็นสัญลักษณ์บนป้ายหยก นายทหารทั้งสองคนก็หมุนตัววิ่งหนีไปราวกับพบเจอสัตว์ร้ายจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
กลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวอยู่เงียบๆ เพื่อรับชมเหตุการณ์ ก็รีบแยกย้ายสลายตัวไปเช่นกัน
คนของป้อมอสรพิษที่ถูกฟันหัวไหล่เดินเข้ามาจิกผมหญิงสาวพลางคำรามว่า “นางแพศยา เจ้าคิดหนีไปที่ใด ถึงกับกล้าฟันกระบี่ใส่ข้าเชียวหรือ? ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด…”
หญิงสาวไม่เคยรู้สึกหมดหวังในชีวิตมากเท่านี้มาก่อน
จบสิ้นแล้ว
ทุกอย่างคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้
แต่ในทันใดนั้นเอง
ฟู่!
โลหิตสาดกระจาย
แล้วแขนของชายฉกรรจ์ที่กำลังจิกผมหญิงสาวอยู่ก็ระเบิดกลายเป็นม่านหมอกเลือดอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
“ผู้ใดที่กล้ารังแกคนจากเมืองหยุนเมิ่ง มันผู้นั้นต้องตายสถานเดียว”
เสียงพูดที่คุ้นหูดังขึ้น
หญิงสาวชะงักกึก
ดูเหมือนว่านี่จะเป็น…
เสียงของเด็กหนุ่มผู้นั้น?
เป็นเสียงของเขาใช่หรือไม่?
ท่ามกลางความมืดมิดในชีวิตของนาง แสงสว่างเลือนรางได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว