เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 750 ข้าได้เรียนรู้กระบวนท่าใหม่
ตอนที่ 750 ข้าได้เรียนรู้กระบวนท่าใหม่
เอ๊ะ?
เดี๋ยวก่อนนะ
ไป๋ชินหยุนมีหน้าอกหน้าใจใหญ่โตก็จริง แต่อย่างอื่นยังไม่โตเต็มวัยไม่ใช่หรือ?
เดี๋ยวขอคำนวณอายุสักครู่
นางเพิ่งจะมีอายุ 13 ปีเท่านั้น
ฉิบหายแล้ว
ไม่มีทาง
นี่มันพรากผู้เยาว์ชัดๆ
หลินเป่ยเฉินพยายามดิ้นรนขัดขืน พูดพึมพำว่า “อืม… ไม่นะ… หยุดก่อน… เจ้ายังบาดเจ็บอยู่… อย่านะ… หยุด… อย่าหยุดนะ…”
ถึงเด็กหนุ่มพยายามขอร้องอ้อนวอนสักเท่าไหร่ แต่ไป๋ชินหยุนก็เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน นางบดเบียดเรือนกายแนบชิดหลินเป่ยเฉิน ริมฝีปากทาบทับเรียวกปากเขา แทบไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้พูดอะไรอีก
คุณชายหลินรู้สึกได้ถึงความร้อนวูบที่พุ่งขึ้นมาจากช่วงล่าง ทันใดนั้น ความรู้สึกทั้งหมดที่พยายามเก็บกดก็ถูกระเบิดออกมา เด็กหนุ่มกลายร่างไม่ต่างจากสัตว์ร้ายผู้หิวกระหาย
เป็นนางมายั่วยวนเขาก่อนนะ
ด้วยความที่ต้องรักษาภาพลักษณ์คนเสเพลมาตลอด บัดนี้ เด็กหนุ่มชักรู้สึกว่าตนเองเป็นคนเสเพลแล้วจริงๆ
ไม่เก็บกดความรู้สึก ไม่ปฏิเสธขัดขวาง ไม่…
แต่แล้วในลมหายใจนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างล้มลงในลานหน้าบ้านเสียงดังตุ๊บ เสียงนั้นมีปฏิกิริยาราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้เด็กหนุ่มและเด็กสาวกลับมาได้สติอีกครั้ง
ไป๋ชินหยุนรีบผละออกจากหลินเป่ยเฉิน
นางจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่กลับดูสวยงามและมีเสน่ห์มากกว่าเก่าหลายเท่า
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้น…”
หลินเป่ยเฉินเลียริมฝีปากของตนเองโดยไม่รู้ตัว
ไป๋ชินหยุนชำเลืองมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ในลานหน้าบ้าน ก่อนจะหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแง่งอน
หลินเป่ยเฉินก็หันหน้ามองไปยังลานหน้าบ้านเช่นกัน
ปรากฏว่าในกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น มีคนหนึ่งเป็นลมหมดสติเพราะทนรับความหนาวเย็นไม่ไหว เสียงสิ่งของหนักๆ กระแทกพื้นดินเมื่อสักครู่ ก็คือเสียงของชายฉกรรจ์คนนั้นล้มลงไปนอนสลบอยู่บนพื้นนั่นเอง
แม่งเอ๊ย
มาหมดสติอะไรตอนนี้วะ
อดทนมาได้ตั้งนาน จะทนอีกสักหน่อยไม่ได้หรือไง…
หลินเป่ยเฉินใบหน้าซีดเผือด ไม่พูดคำใด เดินตรงไปกระชากชายฉกรรจ์ที่หมดสติให้ลุกกลับขึ้นมา
“ข้าน้อย…”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ตัวสั่นเทา
เขารับรู้แล้วว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
“ข้าบอกให้เจ้านั่งอยู่เฉยๆ” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความโกรธแค้น “แต่เจ้ากลับไม่ยอมเชื่อฟัง”
พรึบ!
ม่านโลหิตสาดกระจาย
ชายฉกรรจ์ถูกกำปั้นของเด็กหนุ่มอัดกระแทกจนร่างสลายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
เสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว
หากหลินเป่ยเฉินมาที่นี่ไม่ทันเวลา เขาก็ไม่รู้เลยว่าโจรโฉดกลุ่มนี้จะทำอะไรบ้างกับไป๋ชินหยุนที่กำลังนอนหมดสติ
เหตุผลที่หลินเป่ยเฉินไม่ฆ่าพวกมันไปตั้งแต่แรก เพราะเขาไม่อยากให้โจรโฉดกลุ่มนี้ตายอย่างง่ายดายมากเกินไป เขาตั้งใจจะให้ไป๋ชินหยุนฟื้นขึ้นมาคิดบัญชีแค้นกับพวกมันด้วยตนเอง ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงคิดไม่ถึงเลยว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้กลับทำลายบรรยากาศความวาบหวามระหว่างเขากับไป๋ชินหยุนแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ใครจะรู้ลยว่าถ้าฆ่าพวกมันไปตั้งแต่แรก ป่านนี้หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนก็คง ‘ไปถึงไหนต่อไหน’ แล้วกระมัง
ยิ่งคิดเด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
โจรโฉดกลุ่มนี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
เขาน่าจะฆ่าพวกมันไปตั้งแต่แรก
“นายท่าน ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย…”
“พวกเราผิดไปแล้วขอรับ…”
“ให้อภัยข้าน้อยด้วย พวกเรายินดีเป็นทาสรับใช้นายท่านตลอดไป…”
เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี พวกเขาก็รีบก้มตัวลงคำนับศีรษะจรดพื้น ส่งเสียงอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าไป๋ชินหยุน ยกมือโบกสะบัดพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าจะจัดการกับพวกมันอย่างไร เชิญกระทำได้ตามสะดวก”
เด็กหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าทำอย่างนี้คงดีที่สุด
ไป๋ชินหยุนหันขวับกลับไปมองหน้ากลุ่มโจรโฉด ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับด้วยจิตสังหาร
“พวกบุรุษมันก็เฮงซวยเหมือนกันหมดทั้งโลก”
นางถือกระบี่เดินกัดฟันกรอด ตรงเข้าไปหากลุ่มชายฉกรรจ์
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กสาวแปลกหน้าที่ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก เหล่าโจรโฉดก็รู้แล้วว่านางคงไม่ใช่เด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ และแน่นอนว่านางย่อมสามารถฆ่าคนได้ตาไม่กะพริบ
ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น หลินเป่ยเฉินก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา
เมื่อสักครู่นี้ ไป๋ชินหยุนพูดว่าอะไรนะ?
นางเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
บุรุษไม่ได้เฮงซวยหมดทั้งโลกสักหน่อย
อย่างน้อยก็เขาคนหนึ่งที่ไม่ใช่
เฮ้อ…
ใช่แล้ว
ไป๋ชินหยุนคงไม่ได้รวมถึงเขาด้วยหรอกมั้ง
วูบ!
คมกระบี่สาดประกายวูบ
ชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตล้มลงหลังจากถูกกระบี่ฟันเข้าที่ลำคอ
ตกตายตามกันไปในเวลาเพียงพริบตาเดียว
หลินเป่ยเฉินตบมือด้วยความชื่นชม “นับเป็นฝีมือกระบี่ที่ประเสริฐนัก”
ไป๋ชินหยุนหันกลับมามองหน้าเขาด้วยความหงุดหงิดใจ
หลินเป่ยเฉินจะทำตัวให้เป็นคนปกติบ้างสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ?
หลังจากจ้องมองกันอยู่เนิ่นนาน สุดท้าย เด็กสาวก็สอดกระบี่คืนฝักและกล่าวว่า “พวกเราแยกจากกันที่ตรงนี้ดีกว่า”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินถามว่า “เจ้ายังคิดจะไปที่อื่นอีกหรือ?”
ไป๋ชินหยุนพยักหน้า ตอบว่า “ในนครแห่งนี้ไม่เหลือที่ยืนให้แก่ข้าแล้ว อีกไม่นาน คนของวิหารเทพีกระบี่คงกระจายกำลังกันออกไล่ล่าสังหารข้า และก็ยังมีผู้คนจากเมืองเฉียงเกาเหล่านั้นอีก หากข้าอยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วยเสียเปล่าๆ”
บัดนี้ เด็กสาวมีสถานะเป็นผู้ทรยศต่อทุกกลุ่มคน
ไม่ต่างจากนางฟ้าตกสวรรค์
อยู่ที่ว่านางจะตกลงไปในกำมือของใครเท่านั้น
ถึงหลินเป่ยเฉินจะมีสถานะพิเศษและเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่โดยตรง แต่การช่วยเหลือนางปีศาจเช่นไป๋ชินหยุนก็คงเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้เด็ดขาด
เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นศัตรูกับเทพีกระบี่ไปโดยปริยาย
ไป๋ชินหยุนรู้ดีว่าเทพีกระบี่สามารถนำพาผู้คนขึ้นสวรรค์ได้ฉันใด นางก็สามารถขับไล่ผู้คนลงนรกได้ฉันนั้น
ที่สำคัญก็คือ ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะไม่ติดใจกล่าวโทษว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนาง แต่คนรอบตัวของเขาเล่า ทุกคนล้วนเป็นสักขีพยานถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในป้อมอสรพิษ
มีหรือที่พวกเขาจะไม่โกรธแค้น?
ถึงหลินเป่ยเฉินจะออกหน้าช่วยเหลือ และคงไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านเขา แต่มันก็คงสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งนั่นเป็นสถานการณ์ที่ไป๋ชินหยุนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
เพราะฉะนั้น ไป๋ชินหยุนจึงมีแต่ต้องแบกรับอันตรายทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เคยกลัวอันตรายอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มและกล่าวต่อ “ส่วนเจ้าพวกลูกเต่าหดหัวจากเมืองเฉียนเกา ขอให้พวกมันมาเถิด ข้าไม่กลัวพวกมันหรอก กลัวก็แต่พวกมันจะไม่ยอมมาเท่านั้น เพราะข้ามีวิธีสังหารพวกมันเป็นร้อยวิธี เจ้าก็คงเห็นแล้วว่าข้ามีระดับพลังสูงส่งมากกว่าเดิมแค่ไหน บัดนี้ ข้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว อะเหออะเหออะเหอ!”
เด็กหนุ่มเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย
ไป๋ชินหยุนพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าต้องคอยระวังเทพีกระบี่ด้วยเช่นกัน อย่าหลงลำพองคิดว่าตนเองเป็นคนโปรดของนางเด็ดขาด หากนางรู้ว่าเจ้ามายุ่งเกี่ยวกับข้าเมื่อไหร่ นางไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ หลินเป่ยเฉิน เจ้าจงมองโลกตามความเป็นจริงดีกว่า”
ทันใดนั้น รอยยิ้มที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลินเป่ยเฉิน
“ดูเหมือนเจ้าจะเป็นห่วงเป็นใยข้าเหลือเกินนะ”
เด็กหนุ่มยกมือตบหน้าอกตนเอง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็วางใจเถอะ เพราะข้าได้เรียนรู้เคล็ดวิชาบางอย่าง และมันมีกระบวนท่าเอาไว้ใช้จัดการเทพีกระบี่โดยเฉพาะ ขอเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น นางก็จะเหนื่อยล้าหมดแรง แม้แต่จะยกแขนยกขาก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องร้องขอชีวิตจากข้า ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เคล็ดวิชาอันใด?”
ไป๋ชินหยุนเลิกคิ้วสูงด้วยความตกใจ
หลินเป่ยเฉินไปเรียนวิชาการต่อสู้อันสูงส่งนี้มาจากที่ไหนกัน?
“เจ้าช่วยแสดงให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
เด็กสาวถามด้วยความประหลาดใจ
เพราะเท่าที่นางจำได้ หลินเป่ยเฉินไม่เคยแสดงกระบวนท่าอันสูงส่งเหล่านั้นมาก่อน
หลินเป่ยเฉินแอบบ่นอยู่ในใจว่าเขาก็อยากแสดงกระบวนท่าเหล่านั้นให้นางดูอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่เป็นฝ่ายไป๋ชินหยุนนั่นแหละไม่ยอมให้ความร่วมมือเสียเอง
“มันเป็นเคล็ดวิชาที่มีพลังทำลายล้างมากเกินไป จะเที่ยวแสดงให้ใครดูเฉยๆ ไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้ามั่นใจว่ากระบวนท่าเหล่านี้ต้องจัดการเทพีกระบี่ได้แน่นอน ขอให้นางมาหาข้าก็แล้วกัน กลัวแต่ว่าจะไม่มาก็เท่านั้น เพราะข้าไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ แน่ เทพีกระบี่จะไม่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของข้าได้อีก ต่อให้นางมีพลังสูงส่งสักเพียงใด อย่างน้อยในระยะเวลาสิบวันต่อจากนี้ เทพีกระบี่ก็จะต้องมีอาการปวดเอว แขนขาอ่อนแรง แม้แต่ลงจากเตียง… เอ๊ย ลงจากภูเขาก็ทำไม่ได้!”
ให้ตายสิ
เกือบเผลอหลุดปากออกไปแล้ว
โชคดีที่เขาไวพอเปลี่ยนคำว่า ‘เตียง’ เป็น ‘ภูเขา’ ได้ทันเวลา
“เจ้าพูดจริงนะ?”
ไป๋ชินหยุนสอบถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ย่อมเป็นความจริงอยู่แล้ว ข้าเคยโกหกเจ้าเสียที่ไหน…”
ไป๋ชินหยุนมีสีหน้าลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็นับว่านางยังพอมีหนทางหลบซ่อนอยู่ในเมืองนี้ได้อีกสักระยะ
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว กลับค่ายที่พักไปกับข้า รักษาบาดแผลของตนเองให้ดี ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัส ออกไปร่อนเร่พเนจรคงไม่เหมาะ เกิดพบเจออันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไร? เอาไว้เมื่อเจ้าหายดีเมื่อไหร่ อยากไปไหนก็ไป ข้าจะไม่เหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้เลย”
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้ามีฝีมือการปลอมแปลงโฉมเป็นเลิศ ข้าจะเปลี่ยนโฉมเจ้า เมื่อเจ้าเข้าไปอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง รับรองว่าต้องไม่มีผู้ใดจดจำเจ้าได้แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น…”
ไป๋ชินหยุนสูดหายใจลึกและกล่าว “ข้าคงต้องขอรบกวนเจ้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกระโดดชกลมด้วยความดีใจ