เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 78 ฝากไว้ก่อนเถอะ
บทที่ 78 ฝากไว้ก่อนเถอะ
ทันใดนั้น เซินเฟยพลันยกมือขึ้นยิงลำแสงออกมา
ลำแสงสีดำพุ่งออกจากฝ่ามือของเขาตรงออกไปข้างหน้า
หลินเป่ยเฉินตวัดกระบี่คุณธรรมขึ้นปัดป้องตามสัญชาตญาณ
หนึ่งกระบี่มีเจ็ดเงา
แล้วเขาก็ใช้กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อย
เปรี้ยง!
ลำแสงสีดำกระจายตัวหายไป
แต่หลินเป่ยเฉินก็ต้องลอยกระเด็นถอยหลัง ล้มลงก้นกระแทกพื้นกลิ้งไม่เป็นท่า
กระดูกทั่วร่างเหมือนจะแตกหัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด
เขาสู้ไม่ได้เลย
ฝีมือยังห่างชั้นกันมากเกินไป
เพียงกระบวนท่าเดียว หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาเยอะ
สิ่งที่ควรรู้ก็คือเมื่อสักครู่ เซินเฟยยังเป็นรองเขาอยู่หลายช่วงตัว แต่บัดนี้ เด็กหนุ่มจากสำนักยุทธ์อิสระกลับแข็งแกร่งมากกว่าเขาเสียแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตร
การเข้าสู่ด้านมืดช่วยมอบพลังได้มากขนาดนี้เลยหรือ?
วินาทีต่อมา เพียงกะพริบตาครั้งเดียว เซินเฟยก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉินแล้ว มิหนำซ้ำ ยังกระแทกฝ่ามือเข้ามาหาอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินพลิกตัวหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาได้อย่างเฉียดฉิว
เปรี้ยง!
พื้นดินตำแหน่งที่เด็กหนุ่มนอนหงายเงิบอยู่เมื่อสักครู่นี้ กลายเป็นหลุมลึกครึ่งตัวคนรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงถึงพลังการโจมตีอันมหาศาล
“ให้ตายเถอะ! หมอนี่มันเป็นเครื่องจักรสังหารหรือไง? ถ้าเมื่อกี้หลบไม่ทัน ฉันไม่แบนเป็นหมูทุบไปแล้วเหรอ? พลังโจมตีหนักหน่วงขนาดนี้ แม้แต่วิชากระบี่เร้นกายก็ไม่น่ารับมือไหวอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดด้วยความตื่นตกใจ
ในหัวของเขาตอนนี้ขึ้นตัวหนังสือสีแดงคำว่า ‘อันตราย’ อยู่ตลอดเวลา
“ฮี่ฮี่ฮี่”
เซินเฟยเมื่อเข้าสู่ด้านมืดเต็มตัว ก็มีพลังแข็งแกร่งมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ขอบเขตพลังของเขาเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์
หลินเป่ยเฉินเลิกล้มความคิดที่จะตอบโต้กลับ สิ่งเดียวที่ทำได้คือลุกขึ้นและวิ่งหนีออกมาให้เร็วที่สุด
เปรี้ยง!
เซินเฟยกระโดดตามติดเป็นเงาตามตัว และฝ่ามือของเขาก็กำลังจะกระแทกใส่แผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินแล้ว
ทุกคนต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางหลบหนีฝ่ามือนี้ได้เด็ดขาด…
พลัน เงาร่างที่สวยงามของหลิงเฉินปรากฏขึ้น
คมกระบี่ตวัดวาบ
มวลอากาศรอบกายปั่นป่วน
ฝ่ามือของเซินเฟยปะทะเข้ากับคมกระบี่อย่างจัง แรงกดดันในอากาศแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้เศษฝุ่นหินดินทรายฟุ้งตลบขึ้นมาลอยละล่อง
หลิงเฉินเข้ามาถึงตัวหลินเป่ยเฉินได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น นางก็ช่วยเขาหลบหนีมายังจุดที่ปลอดภัยในพริบตา
เด็กสาวเอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน พูดเพียงได้ยินกันสองคนเท่านั้นว่า “เป็นอย่างไร? รู้สึกดีไหมที่ต้องพึ่งพาสตรี?”
หลินเป่ยเฉินรีบตอบกลับโดยไม่ลังเลว่า “รู้สึกดี ดีมาก”
“ฉันไม่ได้กลัวสักหน่อย แค่อยากให้ยัยนี่ได้ซีนบ้างก็เท่านั้นเอง”
เด็กหนุ่มกำลังปลอบใจตนเองเช่นนั้น
“พวกเจ้าทั้งสองคน ลงนรกไปซะเถอะ”
เสียงที่เหมือนเสียงผู้หญิงดังออกมาจากปากเซินเฟยอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะใช้วิชา ‘วิญญาณล่องนภา’ ลอยเข้ามาประชิดตัวหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินได้อย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มกับเด็กสาวจึงตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง
คราวนี้ หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังเห็นภาพหลอนหรืออย่างไร เพราะในทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าหลิงเฉินเปล่งรัศมีเรืองรองออกมาจากร่างกาย เหมือนนางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
เปรี้ยง!
เซินเฟยพร้อมกับกรงเล็บมฤตยูกระโดดเข้ามาหาพวกหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วสูงสุด แต่กลับต้องกระเด็นถอยหลังไปเหมือนพุ่งชนกำแพงที่มองไม่เห็น ยังไม่ทันจะลุกยืนขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังชัดเจน แขนทั้งสองข้างหักงอผิดรูป กระดูกสีขาวแทงทะลุขึ้นมานอกผิวหนัง ส่งผลให้เลือดสีแดงสดไหลทะลักไม่หยุด
เกิดอะไรขึ้น?
รัศมีเมื่อกี้นี้มันคืออะไร…
หลินเป่ยเฉินได้แต่อ้าปากค้าง
“พี่เฟย!”
“พี่เฟย เป็นอย่างไรบ้าง…”
เถาว่านเฉิงกับหลี่เทาคบหาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเซินเฟยมาหลายปี จึงวิ่งเข้าไปประคองร่างลูกพี่ใหญ่ที่กำลังจะล้มลงด้วยความเป็นกังวล
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มทั้งสองก็ต้องส่งเสียงกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด
ลำแสงสีแดงพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเซินเฟย เจาะทะลุเข้าไปในดวงตาเถาว่านเฉิงกับหลี่เทา หลินเป่ยเฉินเห็นกับตาว่าลำแสงเหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนหลอดที่ถูกปังลงไปในกระป๋องน้ำอัดลม เพียงพริบตาเดียว เด็กหนุ่มอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวงทั้งสองก็ถูกดูดพลัง กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูกไปแล้ว!
นี่มันอะไรกันเนี่ย
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตจนดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า
น่ากลัวเกินไปแล้ว
โหดร้ายอะไรขนาดนี้
เหล่าศิษย์ที่อยู่โดยรอบส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นกลัว
หลายคนถึงกับยอมสละเครื่องรางประจำตัว ทุบทำลายลงไปเพื่อให้มีม่านพลังขึ้นมาปกป้องตนเอง
เมื่อเซินเฟยดูดวิญญาณมาจากสองลูกน้องได้แล้ว มันก็กลายเป็นพลังให้เขาต่อสู้ได้ดุเดือดมากยิ่งขึ้น
ไอปีศาจที่แผ่ออกมาจากร่างกายเพิ่มความหนาแน่นรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
เซินเฟยหันหน้ากลับมา ใช้ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่วางตา
แล้วเขาก็พุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอย่างไม่รอช้า “ตายซะเถอะ”
“เชี่ยเอ๊ย ฉันไม่ใช่ตัวแทงก์สักหน่อย ทำไมถึงจ้องเล่นงานแต่ฉันคนเดียววะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งตัว
“ที่นี่อันตรายเกินไป อยากกลับโลกมนุษย์แล้วสิ”
เด็กหนุ่มเริ่มโหยหาบ้านเกิดเมืองนอนขึ้นมาในทันใด
จังหวะนั้น ดวงตาของหลิงเฉินเป็นประกายวูบวาบราวกับว่านางได้ตัดสินใจบางอย่างเด็ดขาด กำลังจะโถมตัวออกไปโจมตีเซินเฟย แต่ทว่า…
ฟ้าว!
เสียงลูกธนูแหวกอากาศพุ่งเข้ามา
ลูกธนูพุ่งเป็นแสงสีเงิน
เซินเฟยลอยกระเด็นออกไป
ลูกธนูดอกนั้นปักเข้าหน้าอกฝั่งซ้ายของเด็กหนุ่ม ส่งเขาลอยกระเด็นไปไกลเกือบสิบผิง จนกระทั่งตรึงร่างติดอยู่กับโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยนักรบเมฆาปรากฏตัวขึ้น พร้อมด้วยคณะอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ
ห่างออกไปนับร้อยผิง เงาร่างของคนประมาณหกเจ็ดคนพุ่งทะยานเหมือนลูกธนู อีกไม่กี่อึดใจก็คงมาถึงบริเวณริมทะเลสาบแล้ว
ความเจ็บใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซินเฟย
แต่เขารู้ว่าตนเองต้องหลบหนีแล้ว
มิเช่นนั้น หากโดนคนของทางการจับตัวได้ เขาคงต้องตายแน่นอน
“หลินเป่ยเฉิน ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เซินเฟยดึงลูกธนูออกจากหน้าอกของตนเอง เผยให้เห็นรูโบ๋บนหน้าอกฝั่งซ้ายมือ
เด็กหนุ่มผู้เป็นสาวกจอมปีศาจจ้องมองหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาอาฆาตแค้น พึมพำอะไรบางอย่างเหมือนร่ายคำสาป ก่อนที่จะพูดอีกครั้งด้วยเสียงเหมือนผู้หญิง “จำเอาไว้ให้ดี พวกเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน ในดินแดนอันกว้างใหญ่ยังมีผู้ศรัทธาอยู่อีกมากมาย พวกเขาจะต้องพิพากษาเจ้า ด้วยนามของท่านจอมปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ฮ่าฮ่า ฮ่าๆๆๆ แล้วข้าจะกลับมา”
เซินเฟยหัวเราะอย่างชั่วร้าย
แล้วเขาก็หมุนตัวหลบหนีเข้าไปในส่วนลึกของป่าต้องห้าม
หลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด วิ่งสี่ขาเหมือนสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ
เพียงไม่กี่วินาที ร่างของเซินเฟยก็หายลับไปจากสายตา
วูบ! วูบ! วูบ!
เงาร่างของคนหกเจ็ดคนนั้นทะยานลงมาถึงพื้นดิน
สองคนในกลุ่มรีบติดตามเซินเฟยเข้าไปในป่าลึกโดยไม่ลังเล
ส่วนอีกห้าคนรับหน้าที่คอยดูแลเหล่าลูกศิษย์
หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นหัวหน้าอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่หลวงรีบเดินเข้ามาหาหลิงเฉินด้วยสีหน้าเป็นกังวลและร้อนรุ่มใจ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
รัศมีรอบตัวหลิงเฉินกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง นางรับเสื้อคลุมสีแดงสดจากหญิงวัยกลางคนมาสวมใส่ หลังจากนั้นก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างแช่มช้า “ป้าชิน ข้าน้อยไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรหรือ? แต่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ใครกันที่ทําร้ายเจ้า…? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หญิงวัยกลางคนมีสีหน้าตกตะลึงไม่ใช่น้อย แต่นางเข้าใจว่ามันมีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น จึงหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยสายตากล่าวโทษ
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะรวบรวมสติกลับมาได้อีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร ติงซานฉือก็เดินเข้ามาขวางหน้าเขาและกล่าวว่า “อาจารย์ชิน ศิษย์ของข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บ กรุณาพูดจากันดีๆ อย่าทำให้เขาต้องตกใจกลัว”