เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 792 แค่มีพลังปราณธาตุอยู่ในร่างกายห้าชนิดเท่านั้นเองขอรับ...
- Home
- เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
- บทที่ 792 แค่มีพลังปราณธาตุอยู่ในร่างกายห้าชนิดเท่านั้นเองขอรับ...
ตอนที่ 792 แค่มีพลังปราณธาตุอยู่ในร่างกายห้าชนิดเท่านั้นเองขอรับ…
“เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?”
เหลียงหยวนเตาที่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจพลันหยุดชะงักไปทันที
การโจมตีของเขาเมื่อสักครู่นี้เห็นได้ชัดว่าเข้าเป้าอย่างแม่นยำ…
แล้วเพราะเหตุใด?
“หึหึ มันน่าประหลาดใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปาดคราบเลือดบนหน้าอก เปิดเผยให้เห็นว่าบาดแผลที่ปรากฏอยู่เมื่อสักครู่นี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นเสียด้วยซ้ำ “อย่าคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้แค่คนเดียวสิ ข้าก็สามารถทำได้เหมือนกัน และเคยทำก่อนหน้าเจ้าตั้งหลายร้อยตอนแล้วด้วย”
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เหลียงหยวนเตาสับสน งุนงง ไม่เข้าใจ
ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมตาย ข้าก็แค่ต้องลงมืออีกครั้งเท่านั้น”
เงาร่างของเหลียงหยวนเตาเคลื่อนไหววูบวาบ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยื่นมือขวาออกไปสะบัดหลังมือเต็มแรง
แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
แล้วร่างของเหลียงหยวนเตาก็ปรากฏตัวขึ้นจากกลางอากาศ ท่อนแขนที่มีกระดูกแหลมงอกออกมาเหมือนคมมีดจ้วงแทงเข้าใส่เด็กหนุ่ม เป้าหมายอยู่ที่บริเวณลำคอ แต่ขณะนี้ แขนของเหลียงหยวนเตากลับถูกหลังมือของหลินเป่ยเฉินซัดเข้าใส่อย่างจัง
แรงปะทะที่เกิดขึ้น ทำให้เหลียงหยวนเตารู้สึกเหมือนตนเองกำลังพุ่งชนภูเขาลูกหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
ดวงตาของเหลียงหยวนเตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินคว้าจับแขนข้างหนึ่งของเหลียงหยวนเตาแนบแน่น ราวกับเป็นเถาวัลย์ไม้เลื้อยที่ไม่ยอมปลดปล่อยพันธนาการ
และเมื่อเด็กหนุ่มบิดข้อมือเพียงเล็กน้อย
กร๊อบ!
ท่อนแขนที่เป็นกระดูกขาวของเหลียงหยวนเตาก็แตกสลายกลายเป็นผุยผง
เหลียงหยวนเตาเบิกตาโต จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ
จนเมื่อแขนหายไปทั้งข้างแล้วนั้นเอง เหลียงหยวนเตาจึงได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่พุ่งพล่าน ท่านเจ้าเมืองปีศาจกำหมัดซ้ายแน่น และเมื่อโคจรพลังลมปราณลงไปที่ท่อนแขนซึ่งเหลืออยู่เพียงข้างเดียว ม่านพลังก็ห่อหุ้มแขนซ้ายของเหลียงหยวนเตาเป็นชั้นพลังหนาแน่น หลังจากนั้น เหลียงหยวนเตาก็เหวี่ยงหมัดซัดใส่หลินเป่ยเฉินด้วยความอาฆาตแค้น
มวลอากาศระเบิดตัว
พลังหมัดของเหลียงหยวนเตารุนแรงเพียงพอที่จะทำให้มวลอากาศปั่นป่วน
หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดซ้ายเข้าปะทะด้วยความเยือกเย็น
กำปั้นและกำปั้นปะทะกันอย่างแรง
ลมหายใจต่อมา…
กร๊อบ!
อสูรร่างกระดูกคือหนึ่งในเก้าร่างศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มารบ่อโลหิต ซึ่งอาวุธที่ใช้โจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือกำปั้นกระดูก แต่บัดนี้ กำปั้นที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของเหลียงหยวนเตากลับแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนในอากาศ!
แต่ที่สำคัญก็คือมันทำให้แขนซ้ายของเหลียงหยวนเตาแตกสลายลงไปเช่นกัน
การปะทะกันระหว่างกำปั้นในครั้งนี้ ทำให้ท่านเจ้าเมืองปีศาจต้องสูญเสียแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว
“เป็นไปไม่ได้”
เหลียงหยวนเตาอุทานออกมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
ระดับพลังของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว
ว่ากันตามความน่าจะเป็น ไม่มีทางเลยที่เกาเฉิงฮั่นหรือหลินเป่ยเฉินจะสามารถมาเป็นคู่ต่อกรของเขาได้อีก
เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงได้มีพลังเพิ่มขึ้นมามากมายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้?
นี่คือพลังในขั้นเซียนใช่หรือไม่?
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้…”
ระหว่างที่พูดประโยคนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยื่นมือออกไปคว้าเดือยกระดูกที่อยู่บริเวณต้นคอของเหลียงหยวนเตา จากนั้นจึงกระชากออกมาอย่างแรง
เกาเฉิงฮั่นที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่ยกมือขยี้ตาตัวเอง
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
ความเร็วมือของหลินเป่ยเฉินอยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างที่เป็นโครงกระดูกและกล้ามเนื้อของเหลียงหยวนเตาก็ถูกเลาะทิ้งไปหมดสิ้น หลงเหลือเพียงศีรษะเท่านั้นที่ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศ
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
เหลียงหยวนเตาได้แต่ร่ำร้องอยู่อย่างนั้นเหมือนคนเสียสติ
“เฮ้อ ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเหวี่ยงเท้าเข้าไปเตะใส่ศีรษะของท่านเจ้าเมืองปีศาจสุดแรงเกิด
โผละ!
ศีรษะของเหลียงหยวนเตาแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี
ตายไปอีกหนึ่งครั้ง
ทำเอาหลินเป่ยเฉินปรบมือด้วยความสะใจ
“นี่สินะความน่ากลัวของพลังระดับเซียน? โฮะโฮะโฮะ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า
เมื่อเกาเฉิงฮั่นได้ยินดังนั้น หัวใจก็กระตุกวูบ “นี่เจ้า… เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้แล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มและพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ แต่ท่านยังไม่ต้องรีบชื่นชมข้าก็ได้ เพราะว่าข้ายังมีพลังปราณธาตุอีกหลายชนิดอยู่ในร่างกาย รอให้พี่ใหญ่เกาได้ประหลาดใจอีกนับครั้งไม่ถ้วน”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
เกาเฉิงฮั่นมีสีหน้าเหมือนกำลังรับฟังเรื่องเล่าสยองขวัญอย่างไรอย่างนั้น
การเลื่อนขั้นพลังในระยะเวลารวดเร็วเช่นนี้ ต่อให้เป็นขั้นพลังธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้
อย่าว่าแต่นี่เป็นการเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียน
ในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก่อน
“พี่ใหญ่เกา ท่านต้องรู้จักเปิดหูเปิดตาให้กว้างไกลบ้างนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเหยียดแขนเหยียดขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจในความยืดหยุ่นของร่างกายตัวเอง “สำหรับเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ชีวิตนี้สร้างปาฏิหาริย์มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ”
และถ้าสิ่งไหนทำไม่ได้ ก็ใช้เงินซื้อมาสิ
ประโยคนี้หลินเป่ยเฉินพูดอยู่ในใจ
ไม่มีปัญหาใดที่เงินจะแก้ไขไม่ได้
เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือของเขา
การเลื่อนขั้นพลังในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องโชคช่วย…
ความจริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
เรื่องของเรื่องก็คือก่อนที่เกาเฉิงฮั่นจะใช้กระบวนท่ากระบี่เซียนสะเทือนบัลลังก์เทพออกมานั้น หลินเป่ยเฉินถูกเหลียงหยวนเตาทั้งเตะทั้งต่อยกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายรอบ นับดูแล้วเป็นเวลาเกือบถึงหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงถึงแก่ความตายไปนานแล้ว
แต่นี่หลินเป่ยเฉินสามารถรอดชีวิตมาได้
ไม่เพียงรอดชีวิต เขายังได้รับประโยชน์สูงสุดอีกด้วย
เพราะเนื่องจากการกระแทกที่รุนแรงนั้นได้ทำให้พลังปราณธาตุที่ฝังอยู่ในหัวใจ ตับ ม้าม ปอดและไตของเขาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จ พลังปราณธาตุทั้งห้าชนิด ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณธาตุทองคำ พลังปราณธาตุไม้ พลังปราณธาตุน้ำ พลังปราณธาตุไฟ และพลังปราณธาตุดิน ต่างก็หลอมรวมเข้ากับพลังลมปราณเป็นเนื้อเดียวกัน
หลินเป่ยเฉินคิดเอาเองว่าการถูกเหลียงหยวนเตาไล่กระทืบอย่างหมดหนทางสู้เช่นนี้ อาจเป็น ‘โอกาส’ สำหรับการเลื่อนพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนได้อย่างที่แอปพลิเคชัน Keep เคยแจ้งเตือนเอาไว้
และหลังจากที่ถูกอัดจนใบหน้าบวมช้ำราวกับหัวหมูไหว้เจ้า ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถเลื่อนขั้นพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนได้สำเร็จ ไม่ต้องติดอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์อีกแล้ว
“แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ต่อให้เจ้ามีพลังระดับเซียน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะร่างที่เจ็ดของเหลียงหยวนเตาได้เด็ดขาด…”
เกาเฉิงฮั่นมองหน้าเด็กหนุ่มราวกับเห็นอสูรกายจากนรก “หรือว่าเจ้ามีเส้นลมปราณเซียนไม่เหมือนคนอื่น?”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะถูมือไปมา และกล่าวตอบด้วยสีหน้าเอียงอาย “พอดีว่า… ข้าก็แค่มีพลังปราณธาตุอยู่ในร่างกายห้าชนิดเท่านั้นเองขอรับ…”
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดต่อหลังจากนั้น เกาเฉิงฮั่นรับฟังไม่ได้ยินอีกแล้ว
หูของเขาอื้อไปหมด ได้ยินเพียงคำว่า ‘มีพลังปราณธาตุอยู่ในร่างกายห้าชนิด’ ก้องกังวานซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว และด้วยเหตุนี้เอง เกาเฉิงฮั่นจึงไม่สามารถใช้สมองขบคิดอะไรได้อีก
พลังปราณธาตุห้าชนิด
พลังปราณธาตุตั้งห้าชนิดเชียวนะ
ทันทีที่เลื่อนขั้นพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็สามารถเปิดพลังปราณธาตุได้ถึงห้าชนิด
เด็กหนุ่มแตกต่างจากผู้มีพลังขั้นเซียนทั่วไป
แต่มันจะเป็นไปได้จริงหรือ?
ในโลกนี้จะมีคนที่ได้รับพรวิเศษขนาดนั้นได้อย่างไร?
เกาเฉิงฮั่นคิดมาถึงตรงนี้ก็นึกสงสัยอยู่ในหัวใจว่า กลุ่มคนที่เคยเรียกขานหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงเศษสวะไร้ความสามารถ คงไม่เคยเห็นความสามารถที่แท้จริงซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้เลยแม้แต่กระผีกเดียว
และนั่นก็รวมถึงตัวเขาเองด้วยเช่นกัน!!