เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 8 อะไรคือสิ่งที่เจ้าหลินเป่ยเฉินจะต้องการมากที่สุดล่ะ
บทที่ 8 อะไรคือสิ่งที่เจ้าหลินเป่ยเฉินจะต้องการมากที่สุดล่ะ
“พยายามได้ดีนี่ เจ้ากล้าดียังไงมาเทียบตัวเองเป็นพ่อข้า”
“ตาเฒ่าเอ๊ย เจ้าโกหกทั้งเพใช่ไหม? เจ้าตักตวงผลประโยชน์จากอำนาจของข้าและใช้มันกลั่นแกล้งผู้คนในเมืองนี้ เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอก ใคร ๆ ที่อยากจะฆ่าข้า ล้วนอยากฆ่าเจ้าด้วยทั้งนั้น เจ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองไม่มีที่ไป เจ้าเลยมาที่สถาบันนี้เพื่อมาหาข้า เจ้าอยากใช้ประโยชน์จากข้าและสถานศึกษากระบี่นี้เป็นที่หลบภัยใช่ไหมล่ะ หือ?”
หลินเป่ยเฉินสบถก่นด่าด้วยความเดือดดาล
ใบหน้าซื่อ ๆ ของพ่อบ้านหวังปรากฏรอยยิ้มประจบประแจงขึ้นทันที
“นายน้อยนี่ช่างปราดเปรื่องไม่มีใครเทียบเสียจริง ราวกับอ่านใจข้าออกเลยนะเนี่ย ฮี่ ๆ แต่นายน้อย…นี่ก็เป็นการดีไม่ใช่หรือหากท่านจะอนุญาตให้ข้าอยู่คอยรับใช้ท่าน”
นั่นก็จริงอยู่
หลินเป่ยเฉินแค่นเสียงออกมาทางจมูกอย่างเย็นชาและแบมือออก “งั้นเจ้ามีเงินบ้างไหม ขอสักหน่อยสิ”
พ่อบ้านหวังตอบกลับหน้าตาเฉย “ทรัพย์สมบัติตระกูลหลินถูกยึดไปหมดแล้ว จะให้ข้าไปหาจากไหนมาให้ล่ะขอรับ”
“ข้า…” หลินเป่ยเฉินพูดไม่ออกด้วยความโกรธ “เจ้านี่มันไร้ค่าซะจริง”
เด็กหนุ่มกวาดตามองพ่อบ้านหวังหัวจรดเท้า ก่อนจะมองไปยังช่วงเอวของอีกฝ่ายและเบิกตาขึ้น กล่าวว่า “เอากระบี่เจ้ามา”
พ่อบ้านหวังตอบด้วยความเศร้าใจ “กระบี่เล่มนี้เป็นของตกทอดของตระกูลข้าเชียวนะ ข้า…”
“ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“กะ…ก็ได้ขอรับ”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
ณ สถานที่อันเงียบสงบแห่งหนึ่งนอกสถานศึกษากระบี่ที่ 3
“ซินเยว่ เจ้าคิดมาคุยกับข้าเองเลยหรือ ข้าน่ะมีความสุขมากเลยนะ รู้ไหม”
“เฝิงหลุน…เจ้ารักข้าจริง ๆ รึเปล่า”
“แน่นอนสิซินเยว่ ข้ารักเจ้านะ ข้ายอมทำได้ทุกอย่างเพื่อเจ้าเลย”
“ก็ดี ถ้างั้นพิสูจน์ได้ไหม”
“ให้พิสูจน์อย่างไร?”
“ทำให้เจ้าหลินเป่ยเฉินมันหุบปากไปตลอดกาลทีสิ”
“หุบปากไปตลอดกาล…เจ้าหมายถึงให้ฆ่าเขาหรือ พ่อเขาเป็นถึงขุนนางนักรบสวรรค์เลยนะ”
“เจ้าจะกลัวอะไรไป ตอนนี้เขาเป็นแค่สามัญชนคนธรรมดาแล้ว”
“คือข้า… ได้! ข้าสัญญา แต่ถ้าข้ายอมทำแบบนั้น เจ้าต้องรับปากว่าจะคบกับข้านะ”
“อะไรเนี่ย นี่เจ้ากำลังออกคำสั่งกับข้าเหรอ เฝิงหลุน…ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ เจ้าพูดเองว่าเจ้าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อข้าโดยไม่หวังอะไรตอบแทน นั่นเจ้าโกหกสินะ แล้วตอนนี้ยังจะมาขู่ข้าด้วยเรื่องนี้อีก เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ ”
“ไม่…เดี๋ยว ซินเยว่ เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด ข้ายอมทำทุกอย่างได้เพื่อเจ้าจริง ๆ ข้าจะไม่ขออะไรตอบแทนเลย ตราบใดที่เจ้าจะยังยอมคุยกับข้าและมองมายังข้าบ้าง ซินเยว่…ข้าสัญญาเลยว่าเมื่อคาบเรียนแรกเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ ข้าจะหาทางกำจัดเจ้าคนไม่เอาไหนหลินเป่ยเฉินเพื่อพิสูจน์ความรักที่ข้ามีต่อเจ้าให้ได้”
“ดีมาก แล้วข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้าพรุ่งนี้นะ”
“อย่าห่วงไปเลยซินเยว่ เฝิงหลุนคนนี้จะยอมทำทุกสิ่งเพื่อเจ้า ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม”
“แหม…ข้าประทับใจจริง ๆ เฝิงหลุน ทีนี้ไปได้แล้ว ระวังอย่าให้ใครเห็นเข้าก็แล้วกัน”
ศิษย์นามเฝิงหลุนผู้นั้น จากไปด้วยความผาสุก
หลังจากนั้นไม่นาน
ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องส่วนตัวห้องหนึ่งในร้านอาหาร เด็กสาวคนเดิมกับเด็กหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ที่นั่น
บทสนทนาแบบเดิม ๆ เริ่มต้นอีกครั้ง
“ศิษย์พี่อู๋ ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ชอบข้ามากแค่ไหน และข้าก็แอบประทับใจในตัวศิษย์พี่เหมือนกัน ศิษย์พี่พอจะช่วยข้าหาวิธีกำจัดเจ้าตัวชั่วร้ายหลินเป่ยเฉินได้หรือยัง”
“เจ้าไม่ได้เลิกกันแล้วหรือ”
“ศิษย์พี่อู๋ ศิษย์พี่ไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เขาน่ะปากอย่างใจอย่าง ต่อให้ต่อหน้าเขาจะพูดยังไง แต่ลับหลัง เขาจะต้องพยายามตามรังควานข้าอีกแน่นอน ศิษย์พี่อู๋ ข้าหวาดกลัวไปหมดแล้ว”
“เจ้าพูดถูก แต่…ซินเยว่ เจ้าคิดจะฆ่าเขาจริง ๆ หรือ?”
“ใช่แล้วศิษย์พี่อู๋ ข้าไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับข้ามันแพร่ไปไกลกว่านี้ และมันคงจะดีมาก หากศิษย์พี่ช่วยทำให้เขาปิดปากเงียบตลอดไป”
“แทนที่จะฆ่าเขา ข้าว่าจริง ๆ แล้วมันมีอีกวิธีที่เข้าท่ากว่านะ ถ้าเจ้าคิดจะจัดการเขาจริง ๆ ”
“วิธีที่เข้าท่ากว่างั้นหรือ?”
“ยกตัวอย่างเช่น ทำให้เขามาเป็นทาสเจ้าไงล่ะ ชีวิตของเขาจะอยู่ในกำมือเจ้าเลยนะ ถ้าใช้วิธีนี้ นอกจากจะกำจัดเขาได้แล้ว เจ้าจะทำอะไรกับเขาก็ได้ตามใจอยาก ทั้งควบคุมชีวิตและโชคชะตา ทรมานซะให้หายแค้นก็ยังได้ ฮ่า ๆ ๆ ”
“แหม…เข้าท่าดีเหมือนกันนะศิษย์พี่อู๋ ว่าแต่เราจะทำให้เขามาเป็นทาสเรายังไงล่ะ กฎหมายของจักรวรรดินี้คอยปกป้องเขาอยู่นะ ต่อให้เขาจะถูกไล่ออกจากสถานศึกษา ข้าก็ไม่เห็นวิธีใดเลยที่จะทำให้เขามาเป็นทาสได้”
“ฮึ…ในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ ไม่มีอะไรที่อู๋เซี่ยวฟางคนนี้จะทำไม่ได้เด็ดขาด”
“ศิษย์พี่อู๋ โปรดอธิบายให้ข้าเข้าใจที”
“ซินเยว่ เจ้าคิดว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าหลินเป่ยเฉินจะต้องการมากที่สุด”
“อะไรหรือ”
“เงินไงล่ะ”
“ศิษย์พี่อู๋ พี่หมายความว่ายังไง”
“ลองคิดดูสิ เจ้าคนหน้าใหญ่ใจโตที่เคยใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรามาโดยตลอด กลับต้องกลายเป็นคนยากจนในชั่วข้ามคืน เขาจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้ยังไง สำหรับเจ้าคนแซ่หลิน เขาไม่มีทางทนความยากจนข้นแค้นได้แน่นอน แค่อดอาหารเพียงวันสองวัน ก็คงแทบเป็นบ้าแล้ว และเขาก็คงยอมทำทุกอย่างหากมีใครสักคนยอมให้เขาหยิบยืมเงิน คิดว่าเขาจะยอมเป็นทาสเจ้าไหมล่ะ”
“เขาต้องยอมแน่นอน”
“หากเจ้าให้เขายืมเงิน ไม่ว่าเจ้าสั่งอะไร เขาก็ต้องทำแล้ว”
“อ๋า…ข้าเข้าใจแล้ว ให้เขาเซ็นสัญญาซะ ที่ให้เขารับปากว่าจะต้องมาเป็นทาสให้ข้า หากเขาไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ในเวลาที่กำหนด”
“อิอิ ศิษย์น้องมู่ เจ้านี่ช่างฉลาดจริง ๆ ”
“แต่หากเขาไม่ยอมตกลงล่ะ ศิษย์พี่”
“เราจะเขียนสัญญาแบบเผยไต๋ออกไปไม่ได้เด็ดขาด ก่อนอื่น เราต้องทำให้เขามีความหวัง แล้วจากนั้นจึงค่อยทำให้หมดหนทาง อีกอย่าง…สำหรับคนสารเลวแบบนั้น เขาไม่ได้แค่บ้า แต่ยังโง่อีกด้วย การหลอกปั่นหัวเจ้าคนแซ่หลินเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ศิษย์น้องมู่ จงวางใจและปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ”
“ศิษย์พี่อู๋นี่ช่างฉลาดจริง ๆ ในบรรดาลูกศิษย์ชั้นปีที่ 2 ไม่มีใครฉลาดเท่าศิษย์พี่อีกแล้ว ได้เลย…ข้าไว้วางใจให้ศิษย์พี่จัดการเต็มที่”
“อืม…ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้าเลยนะ ศิษย์น้องมู่ ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าก็คงไม่ยอมลดตัวลงไปเสวนากับเจ้าคนพรรค์นั้นหรอก”
“ศิษย์พี่อู๋ ข้าจะไม่มีวันลืมสิ่งที่ศิษย์พี่ทำให้ข้าเลย”
วันต่อมา
ช่างเป็นวันที่แสนสดใส พร้อมด้วยค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่แทบจะเป็นศูนย์
เสียงกระดิ่งซึ่งเป็นสัญญาณเข้าเรียนดังขึ้น
ประตูรั้วของสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ค่อย ๆ เปิดออก
บรรดาศิษย์หนุ่มสาวรีบเร่งมายังสถาบันของตนเองด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับฝูงเป็ดถูกต้อน เติมเต็มสถานศึกษากระบี่แห่งนี้ด้วยความสดใสแห่งวัยเยาว์
ฝูงชนราวกับคลื่นทะเลซัดสาด ต่างแยกย้ายกันไปคนละจุด เดินผ่านไปมาหน้าห้องเรียน
ในสถานศึกษากระบี่ ที่พุ่มไม้ข้าง ๆ ลานฝึกวิชา
“พ่อบ้านหวัง ทุกอย่างสงบลงแล้ว หลังจากนี้ ท่านจะมาทำข้าซวยอีกไม่ได้ เราต้องร่วมมือกัน เข้าใจไหม”
หลินเป่ยเฉินห้อยกระบี่ของพ่อบ้านชราไว้ที่เอวและกล่าวกับเขาอีกครั้ง
พ่อบ้านหวังตบอกให้คำสัญญากับหลินเป่ยเฉินว่า “นายน้อย วางใจข้าได้เลย คำว่าจงในชื่อของข้านั้น ย่อมาจากจงรักภักดี และข้าขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ขนาดไหนใคร ๆ ก็รู้ ข้าจะแสดงละครอย่างเนียนที่สุด เชื่อข้าเถอะว่าจะไม่มีใครสงสัยเลยแม้แต่น้อย”
“ดีมาก ถ้างั้นข้าก็วางใจ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
เมื่อถึงเวลาอันสมควร เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องเรียน