เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 807 แทนที่กัน
ตอนที่ 807 แทนที่กัน
เส้นผมยาวสลวยไหลลงมาปรกราวกับเป็นน้ำตกสีเขียวมรกตส่องแสงเป็นประกาย
เด็กสาวผู้นี้นับเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างของนางเท่านั้น เขาก็จำได้แล้วว่านางเป็นใคร
มู่ซินเยว่
หลังจากที่บิดามารดาเสียชีวิต เด็กสาวก็เดินทางออกจากเมืองหยุนเมิ่งเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยได้รับทราบข่าวคราวของคนรักเก่าผู้นี้อีกเลย
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะกลับมาพบเจอกันอีกครั้งในสนามรบ
มู่ซินเยว่ผู้อยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินขณะนี้สวมใส่ชุดเกราะของนายทหารระดับล่าง และด้วยความที่เอวคอดกิ่วมากเกินไป เข็มขัดหนังสีน้ำตาลนั้นจึงดูหลวมไปเล็กน้อย และถ้าสังเกตดูให้ดี ก็จะรู้ว่ามู่ซินเยว่พยายามนำผ้ามารัดหน้าอกของตนเองไม่ให้โดดเด่นสะดุดตามากเกินไป ผิวของนางคล้ำขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน แต่ใบหน้ากลับมีชีวิตชีวา ร่างกายก็ดูจะแข็งแรงขึ้นไม่ใช่น้อย ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของมู่ซินเยว่ทำให้นางไม่ต่างไปจากเสือดาวสาวผู้ปราดเปรียว
ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามู่ซินเยว่ยังคงงดงามเช่นเคย
สมแล้วที่เคยเป็นถึงเทพธิดาประจำเมืองหยุนเมิ่ง
บัดนี้ ดูเหมือนว่านางจะลงสู่สนามรบได้พักใหญ่แล้ว สังเกตได้จากรอยเลือดที่แปดเปื้อนเต็มร่างกาย หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่านั่นคือเลือดของนางเอง หรือเป็นเลือดของพวกชาวทะเลกันแน่
จังหวะนี้ เด็กหนุ่มถึงได้มีโอกาสเห็นใบหน้าซีดขาวของมู่ซินเยว่เต็มๆ ตา หน้าผากเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อและหยดเลือด เส้นผมจึงแนบติดกับขมับ ใบหน้าที่สวยงามไร้ที่ตินั้นยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แม้สภาพการแต่งตัว ณ ปัจจุบันจะดูน่าเวทนามากก็ตาม
วูบ!
คมกระบี่สาดประกาย
เป็นกระบี่ในมือหลินเป่ยเฉิน
นักรบชาวทะเลที่มุดผ่านช่องว่างของกำแพงเมืองเข้ามาตกตายดั่งใบไม้ร่วง
“คุณชายหลิน”
“ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน…”
“คุณชายหลินมาช่วยเหลือพวกเราแล้ว…”
“ท่านแม่ทัพหลิน…”
เหล่านายทหารที่ประจำการอยู่ในกำแพงเมืองเขตนี้พร้อมใจกันส่งเสียงตะโกนเรียกชื่อเด็กหนุ่มอย่างสามัคคี…
มู่ซินเยว่ก็พบเห็นหลินเป่ยเฉินแล้วเช่นกัน
นางหันมามองหน้าเขาด้วยความสับสน ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงเมือง และพยักหน้าทักทายเหล่าทหารกล้า ก่อนจะแตะมือข้างหนึ่งลงบนกำแพงเมือง และโคจรพลังปราณธาตุดิน เพียงเท่านี้ กำแพงเมืองที่เกิดช่องว่างก็มีก้อนดินผุดขึ้นมาเติมเต็มอีกครั้ง มิหนำซ้ำ พื้นดินยังยกตัวขึ้นมากลายเป็นกำแพงเมืองชั้นใหม่อีกด้วย…
เสียงโห่ร้องของนายทหารดังขึ้นอีกครั้ง
ทุกสายตาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเลื่อมใสและเคารพเทิดทูน
เหล่านายทหารจับอาวุธของตนเองชี้ขึ้นท้องฟ้าและตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่พวกชาวทะเลที่อยู่ในค่ายที่พักซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปนอกกำแพงเมือง ก็ยังคงได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างชัดเจน…
มู่ซินเยว่เงยหน้ามองไปที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
ผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งปี
หลินเป่ยเฉินก็สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองจากบุคคลที่ทุกคนเกลียดชัง กลายมาเป็นวีรบุรุษประจำใจของนายทหารจำนวนมาก
ส่วนตัวนางนั้น…
มู่ซินเยว่ถอนหายใจออกมา
ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความเศร้า
ถ้ารู้ว่าชีวิตจะเป็นเช่นนี้ ในอดีตนางคงไม่ทำตัวเช่นนั้น
แต่วันนี้นางต้องดูแลตัวเอง อย่าว่าแต่จะมีศักดิ์ศรีใดไปพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินเลย แค่ได้มีชีวิตอยู่เป็นส่วนหนึ่งของนายทหารระดับล่างก็ถือว่าเป็นโชคดีมากแล้ว
น่าเสียดายที่โลกใบนี้ไม่สามารถย้อนเวลาได้
เด็กสาวจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน เขาอยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ แต่ในความรู้สึกของมู่ซินเยว่ หลินเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่ห่างไกลเกินเอื้อม
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันกลับมามองหน้านางพอดี
หัวใจของมู่ซินเยว่กระตุกวูบ นี่คือการสบตากันโดยไม่ได้คาดหมาย…
แต่สายตาของหลินเป่ยเฉินกลับไม่ได้หยุดชะงักอยู่ที่ใบหน้าของมู่ซินเยว่ เขายังคงกวาดตามองและพยักหน้าทักทายนายทหารคนอื่นๆ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่เล่มหนึ่ง และบินหายลับไปในท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังจุดที่กำแพงเมืองเกิดเหตุเพลิงไหม้…
มู่ซินเยว่ตกตะลึง
นางถูกเขาทำเมินเฉย
ทันใดนั้น เด็กสาวถึงได้เข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้มีเจตนาหันมามองหน้านาง เขาเพียงต้องการมอบขวัญกำลังใจให้แก่นายทหารทุกคน และเขาก็จำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ…
จริงด้วยสินะ หลินเป่ยเฉินคงลืมไปแล้วว่ามู่ซินเยว่คนนี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และเขาคงไม่มีทางคิดหรอกว่าอดีตคนรักของตนเองจะกลายเป็นหนึ่งในนายทหารระดับล่างที่ส่งเสียงโห่ร้องเทิดทูนเขาราวกับเทพเจ้า
เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้เอง
มู่ซินเยว่ยิ่งรู้สึกเศร้าโศกมากกว่าเดิม
สายน้ำไม่มีวันหวนคืน
นางยืนอยู่ตรงนั้น ในจิตใจเต็มไปด้วยความเศร้า ความโกรธแค้น ความโดดเดี่ยว และความขุ่นเคือง…
ตุบ!
ใครบางคนตบไหล่มู่ซินเยว่เบาๆ “ทุกคนเขาส่งเสียงเทิดทูนคุณชายหลิน เหตุไฉนเจ้าถึงยืนนิ่งอยู่เพียงผู้เดียว?”
ปรากฏว่าเป็นหวังหยง หัวหน้าหน่วยนายทหารผู้คุ้มกันกำแพงเมือง
“โอ๊ะ… ข้าน้อยคำนับท่านผู้สูงส่ง”
มู่ซินเยว่รีบประสานมือทำความเคารพนอบน้อม
หัวหน้าหน่วยนายทหารผู้นี้เป็นคนจิตใจดี ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนราวก็เป็นบุตรหลาน และทุกครั้งเขาก็จะนำขบวนสู้รบกับศัตรูด้วยตนเองเสมอ ด้วยเหตุนี้ หวังหยงจึงเป็นที่รักของทุกคนยิ่ง
“ฮ่าฮ่า สาวน้อย เจ้าคงตกตะลึงในความหล่อเหลาของคุณชายหลินสินะ?”
หวังหยงหยอกเย้า
นี่คือเรื่องที่ปกติธรรมดา
ไม่ทราบเลยว่ามีเด็กสาวมากมายเท่าไหร่ที่ลุ่มหลงในใบหน้าอันหล่อเหลาของคุณชายหลิน อย่าว่าแต่เป็นเด็กสาวเหล่านี้เลย ต่อให้เป็นบุรุษหนุ่มด้วยกันเองก็ยังยึดถือหลินเป่ยเฉินเป็นวีรบุรุษประจำใจ สังเกตได้จากสีหน้าตื่นเต้นของทุกคนในขณะนี้ พวกเขายังคงโห่ร้องเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินไม่ขาดสาย เพราะทุกคนได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้วว่า หลินเป่ยเฉินมีฝีมือที่แข็งแกร่งมากเพียงใด
ในสายตาของหวังหยง มู่ซินเยว่ถือเป็นเด็กสาวที่มีความโดดเด่น ชำนาญเรื่องการต่อสู้จนน่าพิศวง และมีรูปแบบการโจมตีที่หนักหน่วงเกินหน้าเกินตาสตรีด้วยกันหลายเท่า
นับตั้งแต่ที่เด็กสาวสมัครเข้ามาเป็นทหารหน่วยอาสาคอยพิทักษ์กำแพงเมือง นางก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการต่อสู้ หรือการปฏิบัติตามคำสั่ง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หวังหยงยินดีที่จะถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้แก่มู่ซินเยว่
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจักรวรรดิเป่ยไห่สามารถตั้งหลักได้เมื่อไหร่ คนรุ่นใหม่ฝีมือดีอย่างมู่ซินเยว่ก็จะมีส่วนสำคัญในการช่วยกอบกู้จักรวรรดิเป็นอย่างยิ่ง
หากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ผ่านพ้นไปเมื่อใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามู่ซินเยว่จะต้องถูกเคลื่อนย้ายออกจากหน่วยแนวหน้า เข้าไปฝึกฝนวิชากับนายทหารระดับสูงในกองทัพของเขตเมืองชั้นในอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น หวังหยงจึงคิดไม่ถึงเลยว่าระหว่างมู่ซินเยว่กับหลินเป่ยเฉินจะเคยมีอดีตหนหลังกันมาก่อน
แม้ว่ามู่ซินเยว่จะเป็นเด็กสาวหน้าตางดงามก็จริง แต่คุณชายหลินช่างสูงส่งราวกับเทพเจ้าที่อยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ไม่มีทางเลยที่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างนางจะไปข้องเกี่ยวกับเขาได้
ด้วยเหตุนี้ หวังหยงจึงหยอกเย้าออกมาเช่นนั้น
มู่ซินเยว่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
นางรีบส่ายศีรษะและตอบว่า “ข้าตกตะลึงในความแข็งแกร่งของคุณชายหลินต่างหากเจ้าค่ะ…”
พูดมาถึงตรงนี้ มู่ซินเยว่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ นางกัดฟันกรอด ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงเกิดความขุ่นเคืองใจขึ้นมาเช่นนี้ “แต่ข้าเองก็มีฝีมือไม่เลวเช่นกัน หากข้าได้เลื่อนตำแหน่งเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง… ข้าอาจเป็นคนที่ไปยืนอยู่แทนที่คุณชายหลินก็เป็นได้”
หวังหยงสะดุ้งเล็กน้อย
เด็กสาวคนนี้ช่างมีความทะเยอทะยานเหลือเกิน
แต่มันก็เป็นเพียงความทะเยอทะยานเท่านั้น
นับเป็นเรื่องปกติสำหรับคนหนุ่มสาว
คนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน
เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
แทบไม่เคยมีเด็กหนุ่มหรือเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาสามารถไต่เต้าขึ้นไปมีตำแหน่งใหญ่โตเช่นคุณชายหลินได้เลย
แล้วมู่ซินเยว่ที่เป็นเด็กสาวลึกลับไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป จะสามารถขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร?
แต่ถึงกระนั้น หวังหยงก็ไม่อยากทำลายความหวังของนาง
เมื่อพูดจบแล้ว ความว้าวุ่นใจของมู่ซินเยว่ก็จางหายไป
เด็กสาวกลับมามีสมาธิอีกครั้งและเงยหน้าจ้องมองไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินหายตัวไป
ใช่แล้ว!
สักวันหนึ่ง นางจะต้องไปแทนที่เขาให้ได้!!
…
“ทักษะการแสดงของเราดีขึ้นมากกว่าเดิมเยอะเลยนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินกลับมาถึงพื้นที่เมืองเขตสองแล้ว และยังคงชื่นชมตนเองอยู่ไม่หายจากการใช้สายตาเย็นชาจ้องมองมู่ซินเยว่
นางคงรู้ซึ้งถึงรสชาติของการถูกเมินเฉยแล้วสินะ?
ฮ่าฮ่าฮ่า
หลินเป่ยเฉินเคยคิดวิธีแก้แค้นหากตนเองได้พบเจอมู่ซินเยว่อีกครั้งหลายร้อยวิธี
เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ
ในเมื่อมู่ซินเยว่เคยทำไม่ดีกับเขาไว้ถึงขนาดนั้น แล้วทำไมเขาจะต้องทำตัวเป็นมิตรกับนางด้วยล่ะ?
แน่นอนว่ามีความแค้นย่อมต้องมีการทวงคืน
แต่การแก้แค้นที่ดีที่สุด ไม่ใช่การดุด่าหรือทำให้อับอายเสมอไป
เพราะนั่นจะทำให้มู่ซินเยว่ยิ่งได้ใจ หลงเข้าใจผิดคิดว่าเขายังคงลืมความหลังครั้งเก่าไม่ได้
ดังนั้น วิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุด คือการทำเมินเฉยใส่นาง
หึหึ
นางคงคิดว่าเขารักนางมากสินะ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ระหว่างเขากับนาง บัดนี้เรียกว่าอยู่กันคนละชั้นแล้วต่างหาก
โฮะโฮะโฮะ
เด็กหนุ่มรู้สึกชอบใจในวิธีแก้แค้นของตนเองเหลือเกิน
การคุ้มกันกำแพงเมืองต่อจากนี้ เขายกให้เป็นหน้าที่ของเกาเฉิงฮั่น
หลินเป่ยเฉินทำสิ่งที่สมควรทำเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ ก็ได้เวลาที่เขาจะมาจัดการเรื่องราวส่วนตัวบ้าง
อย่างเช่น เจ้าสุนัขรับใช้ทั้งสองตัวอย่างหวังจงกับหลินฮุน ไม่ทราบเลยว่าสามารถกอบโกยของมีค่ากลับออกมาจากจวนผู้ว่าได้มากเท่าไหร่?
บัดนี้ เขายิ่งไม่ค่อยมีเงินอยู่ด้วย ถ้าได้ทรัพย์สมบัติมาเพิ่มเติมอีกสักหน่อยก็คงดีไม่น้อยทีเดียว