เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 817 เปลี่ยนวิธีคิด
ตอนที่ 817 เปลี่ยนวิธีคิด
หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อ รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ
เขาเองก็ฝึกวิทยายุทธ์มานานแล้ว ทำไมถึงเอาชนะเว่ยหมิงเฉินไม่ได้?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินฝึกวิชาด้วยโทรศัพท์มือถือ นั่นก็ควรทำให้เขาได้เปรียบเว่ยหมิงเฉินทุกประตูไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมเขาถึงเกือบจะถูกเว่ยหมิงเฉินฆ่าตาย?
ว่าแต่ว่าคลื่นพลังที่พุ่งเข้าสู่ห้วงจิตนั่นมาจากไหน?
หลินเป่ยเฉินพยายามบอกให้ตนเองใจเย็นลงและค่อยๆ คิด
สุดท้าย เขาก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง
อย่างแรก เป็นคลื่นพลังจากโทรศัพท์มือถือ
อย่างที่สอง เป็นคลื่นพลังจากกระจกมารโลหิต
แต่ปัญหาก็คือโทรศัพท์มือถือกำลังอยู่ในการอัปเกรดอุปกรณ์ ไม่สามารถใช้งานได้แม้แต่อย่างเดียว
ส่วนกระจกมารโลหิตก็ถูกโทรศัพท์มือถือดูดพลังไปหมดแล้ว บัดนี้มีสถานะไม่ต่างจากกระจกธรรมดาบานหนึ่ง
น่าสนใจอีกแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินไม่รีบร้อนค้นหาความจริง
เขาตั้งสตินึกทบทวนการต่อสู้กับเว่ยหมิงเฉินเมื่อสักครู่
เมื่อใจเย็นลงแล้ว เด็กหนุ่มถึงนึกอะไรได้บางอย่าง
ไม่ใช่เพราะว่าเว่ยหมิงเฉินแข็งแกร่งเกินไป
แต่เป็นเขาต่างหากที่อ่อนแอเกินไป
พลังจิตของเขายังอ่อนด้อยเกินไป
ก่อนหน้านี้ เพราะมีโทรศัพท์มือถือคอยช่วยเหลือ คุณชายหลินของทุกคนจึงกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานตลอดมา
และด้วยความที่มีสถานะเป็นผู้ไร้เทียมทานนั้นเอง เด็กหนุ่มจึงให้ความสำคัญแต่กับระดับพลังลมปราณในร่างกาย จนลืมให้ความสำคัญกับพลังจิตไปโดยปริยาย…
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ว่าตนเองฝึกวิชาเกี่ยวกับพลังจิตน้อยเหลือเกิน นอกจากวิชามังกรคำรณที่เขาฝึกตั้งแต่ตอนแรกแล้ว คัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาพลังจิตอีกสามเล่มซึ่งนักพรตหญิงชินเป็นคนมอบให้มานั้น เขาแทบไม่ได้ฝึกฝนเลยสักเล่มเดียว ด้วยเหตุนี้ ระดับพลังจิตของเขาจึงต่ำต้อยเหลือเกิน
“เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ว่าพลังจิตคือจุดอ่อนของเรา”
“ต่อจากนี้เราจะต้องฝึกพลังจิตให้แข็งแกร่งมากขึ้น”
“แต่จะไปหาคัมภีร์ฝึกพลังจิตมาจากไหนดีนะ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาอีกแล้วเมื่อนึกได้ว่าโทรศัพท์มือถือยังคงอยู่ระหว่างการอัปเกรดอุปกรณ์
ช่วงเวลาระหว่างนี้ เขาต้องดูแลตัวเองเท่านั้น
อย่างแรกคือต้องหาคัมภีร์ฝึกพลังจิตให้ได้สักเล่ม
และมันต้องเป็นคัมภีร์ที่มีความเหมาะสมกับระดับพลังในปัจจุบัน
“สงสัยต้องไปหาพี่ใหญ่เกาแล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินนึกถึงท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาเป็นคนแรก
เด็กหนุ่มใช้วงแหวนวารีรักษาอาการเหนื่อยล้าของตนเองจากการต่อสู้ด้วยพลังจิตเมื่อสักครู่ เมื่อร่างกายกลับมาแข็งแรงดีแล้ว เขาก็เดินออกจากกระโจมหลังใหญ่ พบว่าหลินฮุนและคนอื่นๆ กำลังยืนมองมาด้วยแววตาเป็นกังวล
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อหลินเป่ยเฉินอยู่ในกระโจมกับเว่ยหมิงเซวียนเพียงลำพังจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ท่านแม่ทัพขอรับ เว่ยหมิงเซวียน…”
หลินฮุนพยายามสอบถาม
“ตายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าเสียใจเล็กน้อย
เดิมทีเด็กหนุ่มตั้งใจว่าเมื่อสอบปากคำเสร็จแล้ว เขาก็จะส่งตัวเว่ยหมิงเซวียนไปให้ไป๋ชินหยุนจัดการชำระแค้น
แต่เจ้าหมอนั่นกลับถูกฆ่าปิดปากไปเสียได้
เห็นได้ชัดว่าเว่ยหมิงเฉินวางแผนทุกอย่างมาอย่างรอบคอบรัดกุม
และเขาได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินหลงเข้าใจผิดคิดมาตลอดว่าเหตุผลที่มณฑลเฉียนเกากลายเป็นฐานบัญชาการของพวกปีศาจ ก็เพราะมีครอบครัวของไป๋ชินหยุนอยู่ที่นั่น
แต่บัดนี้ ดูเหมือนว่าเว่ยหมิงเฉินน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญมากกว่า อย่าว่าแต่หมอนี่จะเป็นสาวกปีศาจ ดีไม่ดีอาจจะถูกวิญญาณปีศาจเข้าครอบงำเลยด้วยซ้ำ
อย่างน้อย ไป๋ชินหยุนซึ่งมาจากดินแดนปีศาจโดยตรง ก็ยังต้องยอมเป็นพันธมิตรกับตระกูลเว่ย และเมื่อนางหมดประโยชน์กับพวกเขา ตระกูลเว่ยก็คิดกำจัดเด็กสาวทิ้งโดยไม่ลังเล
นับว่าเว่ยหมิงเฉินมีจิตใจโหดร้ายอำมหิตและบ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในปฐพี รักในความยุติธรรมยิ่งกว่าอะไรดี แถมยังมีจิตใจโอบอ้อมอารี ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากมากมายนับไม่ถ้วน แล้วเขาจะไปทันเล่ห์เหลี่ยมของปีศาจร้ายอย่างเว่ยหมิงเฉินได้อย่างไร
จริงด้วยสิ
นี่แหละเหตุผล!
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้ คือการกระทำเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ผู้บริสุทธิ์
ไม่ใช่การแก้แค้นส่วนตัวสักหน่อย
คุณชายหลินเปลี่ยนวิธีคิดของตนเองอย่างรวดเร็ว
ไม่มีอะไรรบกวนจิตใจอีกต่อไป
ไม่กี่ลมหายใจตอบมา เด็กหนุ่มก็นำอากวงขี่เจ้าเสือมีปีกมุ่งหน้าตรงไปยังกำแพงเมืองเขตหนึ่ง
พวกชาวทะเลยังคงโจมตีไม่หยุดยั้ง
นักรบชาวทะเลระดับล่างไม่ต่างจากสัตว์ประหลาดที่ปรากฏกายขึ้นมาจากขุมนรก พวกมันมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน วิ่งตรงออกมาจากค่ายที่พักของชาวทะเลทั้งวันทั้งคืน ส่งผลให้ขณะนี้ มีซากศพของพวกมันนอนกองอยู่หน้ากำแพงเมืองสูงใหญ่เป็นภูเขาเลากา
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า นายทหารผู้มีพลังปราณธาตุไฟต้องรับหน้าที่เผาศพของชาวทะเล และต้องสร้างม่านพลังขึ้นมาเพื่อไม่ให้ควันไฟและกลิ่นเหม็นเน่าพัดเข้าใส่กำแพงเมือง…
ถึงบรรดานายทหารจะได้รับการเปลี่ยนเวรอยู่เสมอ แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาตกอยู่ในสภาพเหนื่อยล้ามากแล้ว
แต่การปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินก็ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ
ทุกจุดที่เด็กหนุ่มผู้ขี่หลังเสือมีปีกบินผ่านไปจะเกิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้องกังวานด้วยความดีอกดีใจตามมาหลังจากนั้น
เมื่อวันก่อน หลินเป่ยเฉินบุกตะลุยเข้าไปในค่ายที่พักของพวกชาวทะเล และเกือบจะสังหารผู้บัญชาการรบของพวกมันได้สำเร็จ หลังจากนั้น หน่วยทหารคนงานขุดเหมือง และเถียนเถียนก็ทำการโฆษณาชวนเชื่อ เผยแพร่ถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของหลินเป่ยเฉินจนโด่งดังไปทั่วกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศ
จนกระทั่งตอนนี้ นายทหารแทบทุกคนต่างก็รู้จักหลินเป่ยเฉินในฐานะยอดฝีมือที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เกาเฉิงฮั่นและเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่ค้ำจุนเมืองเจาฮุย ณ ปัจจุบัน
และบัดนี้ หลินเป่ยเฉินก็แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่เช่นกัน เขาออกไปสังหารกองทัพชาวทะเลนับจำนวนไม่ถ้วน เสียงโห่ร้องจากบรรดานายทหารยิ่งดังมากขึ้น เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังศรัทธาที่เขาได้รับเพิ่มพูนมากกว่าเดิมหลายเท่า
แต่หลังจากที่สำรวจดูรอบๆ กำแพงเมืองแล้ว สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนไป
เด็กหนุ่มพบว่ากองทัพชาวทะเลเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายอะไรพวกเขาได้เลย
หากลองสังเกตดูให้ดี ก็จะรู้ว่านักรบชาวทะเลที่มาบุกโจมตีกำแพงเมืองในวันนี้ เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตจากโลกใต้ทะเล และมีจำนวนแค่หยิบมือเดียวที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์และเคยเรียนรู้วิชาการต่อสู้มาบ้าง
ส่วนใหญ่พวกมันจะมีรูปทรงเป็นสัตว์ทะเลทั่วไป ร่างกายไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะ แต่อาศัยเปลือกหนาและกระดองคุ้มกันร่างกาย อาวุธที่จะใช้พกติดตัวก็ไม่มี อาศัยเพียงก้าม หนวด และหางที่มีติดตัวตามธรรมชาติโจมตีคู่ต่อสู้เท่านั้น
และที่สำคัญก็คือสัตว์ทะเลเหล่านี้มีสติปัญญาต่ำต้อย พวกมันถูกจอมเวทย์ระดับสูงของชาวทะเลบริกรรมคาถาล้างสมองทำให้ร่างกายมีแต่สัญชาตญาณในการฆ่าฟันเท่านั้น…
ดูก็รู้ว่าถูกส่งออกมาเพื่อตัดกำลังฝ่ายพวกเขาชัดๆ
ด้วยจำนวนสัตว์ทะเลที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันหมด
หลินเป่ยเฉินมีความรู้ด้านภูมิศาสตร์ของโลกแห่งวรยุทธ์เท่าหางอึ่ง เขารู้เพียงแต่ว่าโลกนี้มีมหาสมุทรใหญ่กว่าแผ่นดินหลายเท่า จำนวนประชากรของชาวทะเลจึงมีมากกว่าจำนวนประชากรมนุษย์หลายเท่าเช่นกัน
ดังนั้น พวกหน่วยกล้าตายที่ถูกส่งออกมาตัดกำลังนายทหารบนกำแพงเมืองจึงมีมากมายไม่หมดสิ้น
หากปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป กำแพงเมืองคงต้องแตกสลายลงแน่ๆ
อย่าว่าแต่พวกเขาจะยื้อเวลาได้สักสองสามปีเลย ด้วยการยกทัพโจมตีของสัตว์ทะเลระดับล่างเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เก่งสุดนครเจาฮุยก็คงสามารถต้านทานต่อไปได้อีกเพียงสามเดือนเท่านั้น
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนเกาเฉิงฮั่นถึงเป็นกังวลนักหนา
ในโลกแห่งวรยุทธ์ ผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะควรค่าต่อการได้รับความเคารพ แต่ต่อให้เข้มแข็งอย่างไรก็คงสู้กับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าหลายพันล้านตัวไม่ได้อยู่ดี ต่อให้ผู้บัญชาการรบระดับสูงลงมาดูแลการรบครั้งนี้ด้วยตัวเอง ก็เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของนครเจาฮุยได้อีก
สงครามในรูปแบบนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเกาเฉิงฮั่น
เพราะต่อให้กำแพงเมืองแตกสลาย เมืองนี้ถูกยึดครอง แต่ผู้มีระดับพลังสูงส่งอย่างเกาเฉิงฮั่น ย่อมสามารถหนีรอดได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ปัญหาก็คือชาวเมืองจำนวนนับสิบล้านคนจะกลายเป็นอาหารของพวกชาวทะเลโดยทันที
หลินเป่ยเฉินก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกันนี้เช่นกัน
หากกำแพงเมืองล่มสลาย จะมีผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งสามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดได้สักกี่คน?
รวมถึงสถานศึกษา ตลาดค้าอาหารทะเล และเมืองเล็กๆ ที่เด็กหนุ่มสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ก็จะสูญสลายหายไปกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านหย่อมหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจจะเข้าไปคุยกับเกาเฉิงฮั่น
ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เกาเฉิงฮั่นส่งคนมาตามหาตัวเขาพอดี