เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 831 ประวัติตระกูลหลิง
ตอนที่ 831 ประวัติตระกูลหลิง
“ตระกูลหลิงใหญ่โตถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
เสี่ยวเย่พยักหน้าและตอบว่า “ย่อมใหญ่โตถึงเพียงนั้น พวกเขาถือเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ และมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานจักรวรรดิยุคแรกเริ่ม”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับ
ปรากฏว่าครอบครัวของหลิงเฉินก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันแฮะ
แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนเลยนะ?
ตอนที่ยังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง หลินเป่ยเฉินไม่เคยได้ยินเลยว่าครอบครัวของหลิงจุนเซวียนมีประวัติสูงส่งถึงเพียงนี้
หรือว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังแอบแฝง?
“ครอบครัวของหลิงจุนเซวียนถือเป็นสายตระกูลหลักหรือสายตระกูลรองล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามหลังจากหลุดออกมาจากห้วงคิดของตัวเอง
หากครอบครัวของหลิงจุนเซวียนเป็นสายตระกูลรองสำหรับสกุลหลิง ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขามีสถานะไม่สูงส่ง ถือเป็นสมาชิกตระกูลหลิงระดับปลายแถว หาได้มีตำแหน่งสำคัญไม่
“ยิ่งกว่าสายหลักอีกขอรับ”
เสี่ยวเย่รีบตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อดีตท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียนนับเป็นหนึ่งในทายาทคนสำคัญของตระกูลหลิง ถือเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของตระกูลหลิงในปัจจุบัน และบิดาของท่านอย่างผู้อาวุโสหลิงไท่ซวีก็เคยเป็นถึงเทพเจ้าแห่งการสงครามของจักรวรรดิยุคแรกเริ่ม แน่นอนว่าพวกเขาทั้งพ่อทั้งลูกล้วนได้รับความเคารพจากผู้คนเป็นอย่างสูง”
อ้าว?
นี่เราเดาผิดเหรอเนี่ย
หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม
“ในเมื่อเป็นคนสำคัญของตระกูลใหญ่ แล้วทำไมอดีตท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียนถึงต้องมาเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ห่างไกลความเจริญอย่างเมืองหยุนเมิ่งยาวนานนับสิบปีด้วยล่ะขอรับ?” เด็กหนุ่มถามออกมา
เสี่ยวเย่ยังคงตอบทุกอย่างที่ตนเองรู้โดยไม่ปิดบัง “เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ แต่เคยได้ยินมาว่าผู้อาวุโสหลิงเบื่อหน่ายสงครามและการสู้รบ ท่านอยากจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและสงบสุขอยู่ในเมืองที่สวยงามอย่างเมืองหยุนเมิ่ง ส่วนบางคนก็กล่าวว่าการแต่งงานระหว่างท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียนกับภรรยาของเขานั้น ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกตระกูลหลิงคนอื่นๆ สุดท้าย พวกเขาได้แต่งงานกันก็จริง แต่ก็ต้องถูกเนรเทศมาอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง… ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้น คงมีแต่คนตระกูลหลิงนั่นแหละขอรับที่ล่วงรู้”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย
อดีตท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียนยินดีเสียสละทุกอย่างเพื่อความรักขนาดนี้เชียวหรือ?
“ทำไมพี่เสี่ยวถึงได้รู้ข้อมูลเยอะจังเลยขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านและถามออกมาด้วยความสงสัย “อย่าบอกนะว่าแม่ทัพเกาเป็นคนบอกท่านอีกแล้ว?”
“ไม่ใช่หรอกขอรับ”
เสี่ยวเย่ลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “คุณชายหลินคงยังไม่รู้ ข้าเองก็มาจากวังหลวงเช่นกัน ตอนเด็กๆ ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จึงพอจะได้ยินข่าวลือบางอย่างอยู่บ้าง”
“ปรากฏว่าพี่เสี่ยวก็มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเหมือนกันหรือนี่?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ “ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก เลื่อมใสยิ่งนัก”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ พวกเขาก็มาถึงที่ทำการของกองทัพใหญ่ประจำนครเจาฮุยโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นคุณชายหลินนำขบวนผู้คนขี่ม้าตรงเข้ามา บรรดาทหารยามผู้เฝ้าหน้าประตูก็ไม่ได้หยุดยั้ง แต่กลับรีบยืนตัวตรงทำความเคารพด้วยสีหน้าเทิดทูนบูชาขณะจ้องมองหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินขี่ม้าผ่านเข้าไปด้านในค่ายทหาร
ขันทีฉกรรจ์นำบริวารของตนเองติดตามพวกของหลินเป่ยเฉินมาไม่ห่าง เขาไม่รู้เลยว่าตลอดหลายอึดใจที่ผ่านมา ตนเองต้องกัดฟันสบถคำหยาบออกมากี่ครั้งแล้ว
แต่เมื่อเห็นกิริยาท่าทางแสดงความเคารพของทหารยามหน้าที่ทำการกองทัพใหญ่ ขันทีฉกรรจ์ก็ยิ้มมุมปากและหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรชายของอาชญากรหลบหนีคดีคนนี้ จะได้รับความเคารพจากเหล่าทหารแห่งนครเจาฮุยสูงส่งไม่ใช่เล่น
จงภูมิใจกันไปเถิด อีกไม่นานเดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งหมดแล้ว
ขันทีฉกรรจ์ผู้นี้ทำงานอยู่ในวังหลวงมายาวนานนับสิบปี เขามีร้อยพันวิธีในการจัดการศัตรู โดยที่ตนเองไม่ต้องเห็นเลือดเนื้อสักหยดเดียว
ในเวลาเดียวกันนี้
เมื่อมาถึงหน้าตึกซึ่งเป็นที่ทำการใหญ่ของกองทัพประจำเมือง หลินเป่ยเฉินก็กระโดดลงจากหลังม้า และโยนสายบังเหียนให้แก่กงกง แล้วพูด “เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอก”
“ขอรับนายท่าน”
กงกงตอบรับกลับมา
หลินเป่ยเฉินกับเสี่ยวเย่เดินเข้าไปด้านในตัวตึก
“โอ๊ะ คุณชายหลินมาถึงแล้ว”
หลู่เหวินหยวนได้รับรายงานการมาถึงของพวกเด็กหนุ่ม จึงรีบออกมาต้อนรับโดยทันที “เมื่อคืนนี้ท่านแม่ทัพเกาส่งคนออกไปตามหาคุณชายทั้งคืน ไม่ทราบคุณชายพอจะบอกได้หรือไม่ว่าหายไปไหนมาขอรับ เผื่อวันหลังเราจะได้ไปตามตัวง่ายขึ้น”
หลินเป่ยเฉินตอบออกไปตามความจริง “ข้าไปอยู่ที่หอนางโลมว่านฮัว และใช้เวลาค้างคืนอยู่ที่นั่น”
หลู่เหวินหยวนถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินไปเที่ยวหอนางโลมนี่เองสินะ
ไม่แปลกใจเลย
ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน… แต่นี่แหละคือนิสัยที่แท้จริงของคุณชายหลิน
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปพร้อมกับพูดต่อ “ว่าแต่พี่ใหญ่เกาส่งคนไปตามตัวข้าด้วยเหตุอันใดขอรับ? ได้ยินว่ามีคนจากทางวังหลวงเดินทางมาถึงแล้วใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้น…
“ฮ่าฮ่า น้องหลิน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
เป็นเสียงของเกาเฉิงฮั่นดังออกมา
แต่ปรากฏว่าเมื่อกวาดสายตามองไปในส่วนลึกของห้องโถงใหญ่ นอกจากจะเห็นเกาเฉิงฮั่นผู้ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว เด็กหนุ่มยังพบว่าวันนี้พวกเขามีแขกแปลกหน้าอยู่ด้วยอีกสามคน เกาเฉิงฮั่นยังคงปั้นหน้ายิ้มแย้มกล่าวต่อไปว่า “บุคคลเหล่านี้เป็นคณะตัวแทนจากทางวังหลวง ส่วนเด็กหนุ่มผู้นี้คือสหายร่วมรบของข้า หลินเป่ยเฉินเข้ามานี่สิ เดี๋ยวข้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักทุกท่าน”
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา ลักษณะภูมิฐาน มีอายุประมาณ 30 ปีเศษ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเหล่าแม่ทัพหนุ่มที่มีฝีมือต่อสู้เก่งกาจน่าเกรงขาม
ระดับพลังในร่างกายก็ไม่ต่ำต้อย อย่างน้อยคงอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนกลางแล้ว
บุรุษทั้งสามคนนั้นหันหน้ากลับมาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า
“นี่คือท่านผู้ตรวจการเฉียนเฟยเซวีย”
เกาเฉิงฮั่นกวาดสายตามองหน้าบุรุษหนุ่มทั้งสามคนเล็กน้อย ก่อนหันกลับมาแนะนำให้หลินเป่ยเฉินได้รู้จักผู้เป็นหัวหน้าคณะ
“คุณชายหลิน ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว”
บุรุษหนุ่มผู้มาจากวังหลวงยิ้มและพยักหน้าด้วยท่วงท่าใจดีมีเมตตา
นี่น่ะหรือคือผู้ตรวจการเฉียนเฟยเซวีย?
ลักษณะไม่เหมือนนายทหารระดับสูงเลยสักนิด และถ้าจะพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง ใบหน้าของเฉียนเฟยเซวียบอกถึงความเป็นหนอนหนังสือผู้ท่องตำราอย่างคร่ำเคร่งเสียด้วยซ้ำ แล้วยังรอยยิ้มอบอุ่นนั่นอีก บุคลิกโดยรวมถือว่าเฉียนเฟยเซวียผู้นี้สมควรไปทำงานเป็นอาจารย์สอนตำราในสถานศึกษา มากกว่ามาเป็นนายทหารหยิบจับอาวุธฆ่าคน
แต่เนื่องจากได้รับข้อมูลคร่าวๆ มาจากเสี่ยวเย่ก่อนหน้านี้ ในสายตาของหลินเป่ยเฉิน เฉียนเฟยเซวียจึงมีลักษณะคล้ายกับหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ชอบบงการเรื่องราวต่างๆ อยู่ฉากหลังไม่มีผิด
“ท่านผู้ตรวจการชมเชยข้าน้อยเกินไปแล้ว” หลินเป่ยเฉินก้มศีรษะประสานมือคำนับ แสดงความเคารพตอบกลับไป
“ส่วนท่านนี้คือราชองครักษ์โหลวซานกวน”
เกาเฉิงฮั่นรับหน้าที่แนะนำตัวต่อไป “องครักษ์โหลวได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่เก่งกาจที่สุดของจักรวรรดิ ณ ปัจจุบัน เจ้าคงได้เรียนรู้อะไรจากองครักษ์โหลวเยอะทีเดียว จงทำตัวดีๆ เข้าไว้ละ”
โหลวซานกวนเป็นชายหนุ่มร่างสูง มีใบหน้าแบบชาวจีนยุคโบราณ
ใบหน้าเหลี่ยม ดวงตาเสือดาว ปากกว้าง จมูกโด่งเชิดรั้น สวมใส่ชุดเกราะอ่อน ยามจ้องมองหลินเป่ยเฉินให้ความรู้สึกกดดันคุกคามอย่างยากอธิบาย
โดยเฉพาะสายตาที่สำรวจมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองถูกถลกเนื้อเถือหนังจนเหลือแต่เพียงกระดูกขาวโพลนแล้ว
ในดวงตาของโหลวซานกวนมีความทะเยอทะยานเปี่ยมล้น
แต่สุดท้ายเขาก็สบตามองหลินเป่ยเฉินและพยักหน้าตอบรับพอเป็นพิธี
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจ พยักหน้าตอบรับกลับไปเช่นกัน
เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เกาเฉิงฮั่นกำลังพยายามจะบอกก็คือ อยากให้เขาเป็นมิตรกับโหลวซานกวน และอย่าได้มีเรื่องขัดแย้งกันโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด
“ส่วนนี่คือเจิ้งหลงเซียง มีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์หลวง” เกาเฉิงฮั่นพูดอย่างรวบรัดได้ใจความ
การแนะนำตัวของเกาเฉิงฮั่นค่อนข้างตรงไปตรงมา
ถือเป็นการช่วยเสริมข้อมูลเบื้องต้นให้หลินเป่ยเฉินได้รับทราบ
หลังจากนั้น
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปสำรวจมองผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มองครักษ์หลวง
เจิ้งหลงเซียงมีใบหน้าหล่อเหลา สวมใส่เสื้อคลุมลายทาง คางยาว ลักษณะเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ผู้สูงส่ง และเป็นขุนนางผู้เคร่งครัดในหน้าที่ของตนเอง จัดเป็นแบบอย่างของขุนนางชั้นดีในจักรวรรดิเป่ยไห่
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายหลินช่างเป็นคนที่รักสนุกเหลือหลาย ยามที่นครเจาฮุยต้องรับศึกหนักจากทุกด้าน คิดไม่ถึงเลยนะว่ายังมีอารมณ์ไปดื่มกินที่หอนางโลมได้อีก?”
เจิ้งหลงเซียงพูดหยอกเย้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวว่า “แล้วมันไปหนักหัวท่านหรือไง?”
รอยยิ้มบนใบหน้าเจิ้งหลงเซียงหายวับไปทันที
เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะกล้ากล่าววาจาสามหาวกับตนเอง
ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสูง ต่อให้เป็นในกลุ่มขุนนางด้วยกันเองก็ยังต้องพูดจาเกรงอกเกรงใจต่อเขา แม้เจิ้งหลงเซียงจะดุด่าว่ากล่าวหรือเหน็บแนมด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบอย่างไร ก็ไม่เคยมีใครคิดที่จะเงยหน้าพูดสวนกลับมาด้วยถ้อยคำระคายหูเช่นนี้มาก่อน
แล้วหลินเป่ยเฉินเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าทำเช่นนั้น?
“หึหึ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเชื่อ แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นด้วยตาของตนเอง ข้าก็คงต้องเชื่อข่าวลือเหล่านั้นแล้ว…” เจิ้งหลงเซียงมีสีหน้าเหยียดหยาม น้ำเสียงเย้ยหยัน
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะอีกฝ่ายโดยการกล่าวแทรกว่า “ข่าวลืออันใด? ใช่เรื่องที่ข้าจะฆ่าท่านหรือไม่?”