เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 833 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ตอนที่ 833 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง
ถือว่าองค์ชายเจ็ดยังคงทำตามสัญญา
แต่ถึงขนาดเรียกตัวเข้าวังหลวงอย่างนี้ไม่ถือว่าเล่นใหญ่เกินไปหน่อยหรือ?
ทั้งที่หลินเป่ยเฉินอยากจะใช้ชีวิตเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอยู่เงียบๆ แล้วแท้ๆ
ถ้าองค์ชายเจ็ดทำเช่นนี้ อีกไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็คงต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิแล้วน่ะสิ
“ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญบางประการอยากสอบถามท่านผู้ตรวจการเฉียนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูด “ไม่ทราบว่าท่านผู้ตรวจการพอจะบอกตามความเป็นจริงได้หรือไม่”
เมื่อเฉียนเฟยเซวียเห็นเด็กหนุ่มกลับมามีสีหน้าจริงจัง เขาก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “คุณชายหลินได้โปรดถามมา”
หลินเป่ยเฉินจึงถามว่า “ขณะนี้ลำคอขององค์ชายเจ็ด… หายเอียงหรือยังขอรับ?”
เฉียนเฟยเซวียถึงกับชะงักกึก
เขานึกว่าเด็กหนุ่มจะถามเรื่องราวสำคัญใดซะอีก
ที่แท้ก็เป็นเรื่องลำคอขององค์ชายเจ็ดนี่เอง
“ยังคงเอียงอยู่”
เฉียนเฟยเซวียตอบกลับมาทันที
ยังคงเอียงอยู่?
แสดงว่ายังไม่หายดีสินะ
บัดซบ
หลินเป่ยเฉินได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจ ตอนนั้นที่ใช้ด้ามกระบี่ทุบท้ายทอยขององค์ชายเจ็ด สงสัยเขาจะออกแรงเยอะเกินไปหน่อย เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุไฉนลำคอขององค์ชายเจ็ดถึงยังไม่หายเอียงอีกเล่า?
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าประหลาดใจนัก
หรือว่าองค์ชายเจ็ดจะถูกโชคชะตากำหนดให้คอเอียงไปตลอดชีวิต?
“คุณชายหลิน ในเมื่อเจ้ารับราชโองการแล้ว หลังจากนี้ก็รีบไปเตรียมตัวออกเดินทางให้เร็วที่สุด” น้ำเสียงของเฉียนเฟยเซวียบอกชัดถึงความตื่นเต้น “ขณะนี้ในวังหลวงกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ข่าวเรื่องการปรากฏตัวของผู้มีพลังระดับเซียนคนที่เจ็ด จะต้องทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเราเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิม ประดุจดั่งกองไฟที่กำลังดับมอด พลันมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งด้วยความร้อนแรงเจิดจ้า”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วให้กับคำพูดของผู้ตรวจการหนุ่ม “สถานการณ์ของทางวังหลวงย่ำแย่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ? อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้ แม้แต่วังหลวงก็เคยถูกโจมตีมาแล้ว?”
เฉียนเฟยเซวียพูดหลังจากมีสีหน้าขบคิดอยู่เล็กน้อย “บังเอิญว่ามีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นน่ะ… แต่ในเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียนคนใหม่ของจักรวรรดิเรา เจ้าก็มีคุณสมบัติดีพอที่จะรับทราบเรื่องนี้ ประมาณครึ่งเดือนก่อน กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางได้ส่งข้อความมาแจ้งเตือนว่า อีกไม่นานจะมีการจัดระดับจักรวรรดิใหม่ทั้งหมด”
“ว่าไงนะ?”
เกาเฉิงฮั่นผู้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับเซียนของจักรวรรดิอุทานออกมา สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน
เฉียนเฟยเซวียรีบหันกลับไปอธิบายให้เกาเฉิงฮั่นฟังว่า “เดิมทีข้าอยากจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านแม่ทัพเกาเพียงลำพัง แต่ในเมื่อท่านแม่ทัพกล่าวว่าคุณชายหลินก็มีพลังระดับเซียนเช่นกัน เพราะฉะนั้น ข้าจึงคิดว่าเขาสมควรรู้เรื่องนี้ ข้าจะบอกอะไรให้นะ… ท่านแม่ทัพเกา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว โชคชะตาของจักรวรรดิเป่ยไห่และความอยู่รอดของวิหารเทพกระบี่ ล้วนแต่อยู่ในกำมือของพวกท่านทั้งสิ้น”
เกาเฉิงฮั่นมีสีหน้าเคร่งเครียดและหนักอกหนักใจมากไปกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินไม่เคยเห็นเกาเฉิงฮั่นมีสีหน้าเช่นนี้มาก่อน
แม้แต่ตอนที่ต่อสู้กับเหลียงหยวนเตาจนมีสภาพบาดเจ็บสาหัสปางตาย เกาเฉิงฮั่นก็ยังไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
“การจัดระดับจักรวรรดิอะไรนั่น คืออะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินพลันส่งเสียงถามออกมา
นี่คือข้อดีของการเป็นเศษสวะสมองขี้เลื่อย
เพราะเขาสามารถถามคำถามที่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานตอนไหนเวลาใดก็ได้
แม้ว่านี่จะเป็นความรู้ที่มีอยู่ในตำราวิชาประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ตาม
แต่หลินเป่ยเฉินไม่เคยตั้งใจเรียนมาก่อน เพราะฉะนั้น หัวสมองของเขาจึงว่างเปล่า
“ในแผ่นดินตงเต้า ทุกๆ จักรวรรดิจะได้รับการประเมินผลว่าตนเองอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ ซึ่งผู้ที่คอยจัดลำดับจักรวรรดิเหล่านี้ มีนามว่ากลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง และการจัดลำดับจักรวรรดิก็มีความสำคัญในชนิดที่ว่าสามารถส่งผลต่อการอยู่รอดหรือการล่มสลายของจักรวรรดินั้นๆ ได้เลยทีเดียว กล่าวโดยสรุปก็คือ หากจักรวรรดิเป่ยไห่ถูกลดระดับลงไปต่ำมากกว่าเดิม จักรวรรดิของพวกเราก็คงถึงคราวหายนะแล้ว…”
เกาเฉิงฮั่นอธิบายอย่างรวบรัดให้เด็กหนุ่มได้มีความเข้าใจเบื้องต้น
อย่างนี้นี่เอง
หลินเป่ยเฉินจับประเด็นได้อย่างรวดเร็ว
กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางนั่นมีหน้าที่ไม่ต่างจากองค์กรสหประชาชาติบนโลกมนุษย์
การควบคุมประเทศที่ปกครองกันอย่างเป็นเอกเทศย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น จึงต้องมีการจัดลำดับชั้นของจักรวรรดิต่างๆ ถูกแต่งตั้งขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นดินแดนเล็กและใครเป็นดินแดนใหญ่
และหากจักรวรรดิใดถูกลดลำดับชั้นลงไป จักรวรรดินั้นก็จะถูกจักรวรรดิอื่นๆ รุมโจมตีทันที
“แล้วจักรวรรดิเป่ยไห่ของพวกเราอยู่ระดับไหนหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
เฉียนเฟยเซวียตอบกลับอย่างเร็วไว “จักรวรรดิเป่ยไห่ถูกจัดให้เป็นจักรวรรดิระดับหนึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา”
“โอ้โห จักรวรรดิระดับหนึ่งย่อมหมายความว่าพวกเรามีความแข็งแกร่งที่สุดใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น
เกิดความเงียบงันที่น่าอึดอัดตามมาเล็กน้อย
“การจัดลำดับจักรวรรดิจะมีอยู่ด้วยกันเก้าระดับ ระดับที่เก้าหมายถึงแข็งแกร่งที่สุด”
เกาเฉิงฮั่นต้องรับหน้าที่ตอบคำถามอย่างช่วยไม่ได้
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ปรากฏว่าจักรวรรดิของพวกเขามีระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากที่สุดเลยหรือนี่
ถ้าถูกลดขั้นต่ำไปกว่านี้ ก็หมายความว่าจะเป็นจักรวรรดิที่ไม่มีระดับอีกแล้ว
เฉียนเฟยเซวียพลันรับช่วงกล่าวต่อ “หลังจากที่จักรวรรดิถูกก่อตั้งขึ้นมา พวกเราเคยมีโอกาสอยู่สองครั้งที่จะเลื่อนขึ้นเป็นจักรวรรดิระดับสอง แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง การเลื่อนระดับจึงไม่ได้รับการอนุมัติ และการจัดลำดับใหม่ในครั้งนี้สถานการณ์โดยรวมก็ไม่เป็นใจต่อพวกเราเลย หากพวกเรายังไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นไปได้อีก…”
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้ตรวจการหนุ่มก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว
กลายเป็นหลินเป่ยเฉินต้องรีบถามด้วยความอยากรู้ว่า “ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นขอรับ?”
“จักรวรรดิของเราจะล่มสลาย”
เกาเฉิงฮั่นกล่าว
“เช่นเดียวกับวิหารเทพกระบี่”
เฉียนเฟยเซวียพูดออกมาหลังจากนั้น
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจทุกอย่างแล้ว
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ บรรดาองครักษ์ นายทหารระดับสูงและคนรับใช้ในห้องโถงใหญ่ต่างถูกสั่งให้ถอนกำลังกลับออกไปหมดสิ้น แม้แต่หลู่เหวินหยวนก็ยังไม่สามารถรั้งอยู่อีกต่อไป
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ปกคลุมด้วยความเคร่งเครียด
ในขณะที่เฉียนเฟยเซวียพูดคุยกับเกาเฉิงฮั่นและหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ฝืดฝืน
โหลวซานกวนกลับไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ส่วนเจิ้งหลงเซียงก็หมุนลูกแก้วหยกสีแดงในมือเล่น หลับตาลงคล้ายกับกำลังพักผ่อน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกแปลกประหลาดพิกล
คณะตัวแทนที่มาจากวังหลวงในครั้งนี้ หาคนปกติสักคนไม่ได้เลยหรืออย่างไร
แต่ดูเหมือนเกาเฉิงฮั่นจะไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด เขาพูดว่า “ผู้ตรวจการเฉียนมีสิ่งใดจะกล่าวอีกหรือไม่ ได้โปรดบอกมาเถิด”
“การเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้ ข้าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดหลายอย่าง แต่ไหนๆ ก็พูดออกมาแล้ว ข้าก็คงต้องบอกมาให้หมด ท่านแม่ทัพเกา ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงท่าน”
เกาเฉิงฮั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “ข้าน้อยรอรับฟัง”
หากเป็นขุนนางหรือนายทหารคนอื่นๆ ยามรับฟังข้อความที่ถูกส่งผ่านมาจากองค์จักรพรรดิ พวกเขาก็จำเป็นต้องคุกเข่าลงพร้อมกับประสานมือทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
แต่เกาเฉิงฮั่นเป็นผู้มีพลังระดับเซียน ถือว่ามีสถานะพิเศษกว่าคนทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องลงไปนั่งคุกเข่าแต่อย่างใด
“ฝาบาทมีพระประสงค์เรียกตัวท่านกลับไปทำงานที่วังหลวง”
เฉียนเฟยเซวียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หืม?”
เกาเฉิงฮั่นหัวใจกระตุกวูบ “แล้วใครจะมาดูแลเมืองนี้แทนข้าล่ะ?”
เฉียนเฟยเซวียยิ้มตอบกลับมาด้วยความขมขื่นใจ “ข้าบอกท่านได้แต่เพียงเท่านี้ แม่ทัพเกา”
เกาเฉิงฮั่นกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น นครเจาฮุยไม่ถึงคราวล่มสลายลงไปในพริบตาเดียวหรือ?”
เฉียนเฟยเซวียได้แต่ถอนหายใจและไม่ตอบคำใดอีก
มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของเกาเฉิงฮั่น
องค์จักรพรรดิยังไม่รู้ข่าวเรื่องที่ว่าหลินเป่ยเฉินกลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียนคนใหม่ การเรียกตัวเขากลับวังหลวงในครั้งนี้ จึงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการเลื่อนระดับพลังของเด็กหนุ่มแน่นอน
ดังนั้น การย้ายตัวเขาเข้าสู่วังหลวง ย่อมหมายความว่าองค์จักรพรรดิมีเจตนาละทิ้งนครเจาฮุยแล้ว
และถ้านครเจาฮุยถูกยึดครองได้สำเร็จ มณฑลเฟิงอวี่ก็จะต้องตกไปอยู่ในกำมือของพวกชาวทะเลหลังจากนั้นอย่างแน่นอน
“อันที่จริง ท่านผู้ตรวจการเฉียนยังมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญต้องแจ้งให้แม่ทัพเการับทราบ” เจิ้งหลงเซียงผู้นิ่งเงียบมาตลอดมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยขณะพูดต่อ “ผู้ตรวจการเฉียน ท่านเป็นหัวหน้าคณะเดินทางในครั้งนี้ กรุณาพูดสิ่งที่สมควรพูดออกมาเถอะ”
ดวงตาของเกาเฉิงฮั่นหันกลับมามองหน้าเฉียนเฟยเซวียอย่างเป็นประกายวาวโรจน์อีกครั้ง
ผู้ตรวจการหนุ่มยิ้มแหยตอบกลับมา
หลังจากนั้นอีกอึดใจใหญ่ เขาถึงได้เอ่ยว่า “องค์จักรพรรดิตัดสินพระทัยที่จะเจรจาต่อรองกับชาวทะเล และเพื่อให้รอดพ้นจากหายนะการจัดลำดับจักรวรรดิใหม่ทั้งหมด องค์จักรพรรดิจึงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะยกมณฑลเฟิงอวี่ให้แก่ชาวทะเล เพื่อความอยู่รอดของประชาชนในจักรวรรดิส่วนรวม”
คำพูดประโยคนี้ไม่ต่างจากฟ้าผ่าลงกลางใจหลินเป่ยเฉินกับเกาเฉิงฮั่นพร้อมๆ กัน
จะยกดินแดนให้กับศัตรูเพื่อขอสงบศึกอย่างนั้นหรือ?