เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 849 ศิลาดารากา
ตอนที่ 849 ศิลาดารากา
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินสะดุ้งเฮือก
เขาเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองจากสัตว์ร้ายบางชนิดในที่ลับตา
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าอยู่เฉยๆ ก่อน”
หลินเป่ยเฉินว่า
เยว่เว่ยหยางพยักหน้า
ครั้งนี้ นางมีเจตนาแอบเข้านครหลวงเพื่อไปสืบสวนสถานการณ์ในปัจจุบันของวิหารเทพกระบี่ ดังนั้น หากไม่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นจริงๆ เยว่เว่ยหยางก็ไม่อยากจะปรากฏตัวให้ใครรับรู้
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายเพียงวูบเดียว เขาก็กลับไปอยู่ในกระโจมที่พักอีกครั้ง
ทันใดนั้น…
ครืน! ครืน! ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือน
ทุกคนในค่ายพักแรมตื่นตระหนก
เกิดอะไรขึ้น?
หิมะที่กองทับถมกันอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็เกิดการละลายตัวถล่มลงมาจากยอดเขา
“หิมะถล่ม”
“ถล่มลงมาทั้งลูกเลย… แย่แล้ว”
ใครบางคนอุทานออกมา
“หิมะถล่มเองเยอะแบบนี้ไม่ได้ นี่ต้องเป็นฝีมือของฝ่ายตรงข้าม พวกศัตรูมันโจมตีเราแล้ว” โหลวซานกวนระเบิดเสียงคำรามออกมา “ทุกคนถอยไป เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เขาเป็นหนึ่งในหกราชองครักษ์ แม้แต่ผู้อาวุโสในกองทัพก็ยังต้องเกรงใจ เมื่อบุรุษหนุ่มแผดเสียงคำรามออกมาดังลั่น เขาก็เคลื่อนกายออกมาข้างหน้าด้วยความเยือกเย็น บ่งบอกให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง
ดวงตาของโหลวซานกวนเป็นประกายสีทองขณะระเบิดพลังลมปราณออกไป หมายจะใช้พลังลมปราณของตนเองนั้นต้านทานคลื่นหิมะที่กำลังถล่มลงมา
เพราะช้าเกินไปที่ทุกคนจะหลบหนี
แต่ถึงแม้โหลวซานกวนจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเก้า ทว่าหิมะถล่มที่รุนแรงเช่นนี้ต้องเป็นฝีมือของผู้มีพลังระดับเซียนขึ้นไป และนั่นไม่ใช่สิ่งที่โหลวซานกวนจะรับมือได้
ราชองครักษ์หนุ่มถูกคลื่นพลังที่มองไม่เห็นกระแทกอย่างแรง
เขาหยุดหิมะเหล่านี้ไม่ได้
ช่างน่าอับอายเหลือเกิน
แต่โหลวซานกวนต้องพยายามให้ดีมากที่สุด
บุรุษหนุ่มสูดหายใจลึก
ทันใดนั้น ฝ่ามือของใครบางคนก็ตบลงบนหัวไหล่ของเขา
“นี่ อย่ามาแย่งบทข้าสิ” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น จะมาทำตัวเป็นพระเอกได้อย่างไร? อ่านบทมาผิดเรื่องหรือเปล่าเนี่ย”
โหลวซานกวนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงงงวย
“ถอยไปได้แล้ว” หลินเป่ยเฉินเดินออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวข้าแสดงฝีมือเอง…”
เด็กหนุ่มยื่นมือออกมาข้างหน้า
แล้วกระบี่ที่ห้อยอยู่ข้างเอวก็ลอยหวือเข้าสู่มือของเขาอย่างแม่นยำ
เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีสง่าราศีมากขึ้น
ผิวหนังของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ กระบี่ในมือสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่มันจะตั้งตรงไม่ไหวติง
ครืน!
คลื่นหิมะที่ถล่มลงมาจากยอดเขาเคลื่อนที่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและฟันกระบี่ออกไปแนวขวาง
เงากระบี่พุ่งทะลวงออกไปด้วยอานุภาพทำลายล้างรุนแรง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เคลื่อนไหวด้วยกระบวนท่ามาตรฐาน เขาวาดปลายกระบี่เป็นลักษณะครึ่งวงกลม เกิดเป็นมวลพลังงานความร้อนแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
ลมหายใจต่อมา เงากระบี่ของเด็กหนุ่มก็ขยายตัวใหญ่มากขึ้น สุดท้าย มันก็กลายเป็นเงากระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์ที่สามารถตัดคลื่นหิมะได้ในกระบี่เดียว
อานุภาพการทำลายล้างกระแทกเข้าใส่คลื่นหิมะจากยอดเขา
แต่นั่นกลับยิ่งทำให้คลื่นหิมะเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาด้วยความเร็วมากขึ้น
“เอาไม่อยู่หรือนี่?”
เมื่อเห็นเช่นนั้น โหลวซานกวนกับเฉียนเฟยเซวียก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็จะเข้าใจถึงการกระทำของเด็กหนุ่ม
เงากระบี่ใหญ่ยักษ์ของหลินเป่ยเฉินฟันใส่คลื่นหิมะแบ่งพวกมันแยกออกเป็นสองข้างซ้ายขวา
ไม่ต่างจากการแหวกคลื่นมหาสมุทร
และช่องว่างที่อยู่ตรงกลางนั้น ก็ยิ่งขยายขนาดใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคลื่นหิมะเคลื่อนใกล้เข้ามา
กว่าที่ทุกคนจะรู้ตัว คลื่นหิมะสองสายที่สูงเท่ากับตึก 20 ชั้นก็กำลังเคลื่อนที่ผ่านสองข้างของค่ายพักแรมของพวกเขาไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว…
ครืน!
ในที่สุด คลื่นหิมะก็ผ่านพ้นไป
เกล็ดหิมะโปรยปรายในอากาศ
เมื่อทุกคนพบว่ารอบค่ายที่พักของตนเองในขณะนี้กลับกลายเป็นภูเขาหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาก็ได้แต่กวาดตามองสภาพแวดล้อมด้วยลักษณะปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึง
รอดแล้วพวกเรา
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ดีดตัวขึ้นไปในอากาศและเหยียบกระบี่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า
ห่างออกไปหลายสิบวา
บนยอดเขาหิมะลูกหนึ่ง ปรากฏชายชราผมขาว หลังงอเหมือนคันเบ็ดตกปลา หน้าตาเหมือนนกเค้าแมว ดวงตาเป็นประกายแจ่มใสนั้นกำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเขม็ง เส้นผมที่ยุ่งเหยิงบนศีรษะปลิวไสวตามสายลมหนาวราวกับเป็นกิ่งไม้ที่ตายซากจากช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง…
เมื่อสายตาพบเข้ากับชายชราผู้นี้ หัวใจของโหลวซานกวนก็กระตุกวูบโดยทันที
แข็งแกร่ง!
ชายชราคนนี้แข็งแกร่งมาก
ชายชรามีพลังระดับเซียน
เหตุการณ์หิมะถล่มเมื่อสักครู่ ย่อมเป็นฝีมือของชายชราอย่างแน่นอน
โหลวซานกวนพยายามนึกทบทวนรายชื่อของผู้มีพลังระดับเซียนที่ตนเองรู้จัก แต่กลับไม่มีใครเลยที่มีบุคลิกลักษณะใกล้เคียงกับชายชราหน้านกเค้าแมวผู้นี้
ชายชรามีพลังระดับเซียน แต่โหลวซานกวนกลับไม่รู้จัก ออกจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีพลังขั้นเซียนทุกคนต้องเข้าร่วมสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน หลังผ่านการลงทะเบียนและได้รับการประทับตราจากทางการแล้ว ผู้มีพลังระดับเซียนก็จะได้รับทรัพยากรพิเศษรวมถึงได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งประจำสมาคม
กล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่อคนเราสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับเซียนได้สำเร็จ ก็จะต้องได้รับการเห็นชอบจากเทพเจ้าและจากทางผู้บริหารงานบ้านเมือง และมีเพียงแต่เข้าร่วมสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนเท่านั้น ถึงจะสามารถได้ฝึกวิชาและมีทรัพยากรที่เหมาะสมต่อระดับพลังของตนเองโดยไม่สร้างความลำบากให้แก่ชีวิต
น้อยครั้งมากที่ผู้มีพลังระดับเซียนจะไม่เข้าร่วมสมาคม
แล้วชายชราผู้นี้เป็นใคร?
หรือว่าเขากำลังปลอมตัว?
โหลวซานกวนได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ในความเงียบ
เพราะการแปลงโฉมสำหรับผู้มีพลังระดับเซียนไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ทันใดนั้น มีคนลอยตัวขึ้นไปเผชิญหน้ากับชายชรา
ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน
เพราะขณะนี้ คนอื่นๆ ล้วนตกอยู่ในความตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
หวังจงถึงกับหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน สีหน้าแสดงออกถึงความหวาดกลัวสุดขีด ราวกับว่าพร้อมที่จะวิ่งหนีได้ตลอดเวลา
เซียวปิงขณะนี้นอกจากยืนกินน่องไก่แล้ว ยังยัดอาหารทุกอย่างเข้าใส่ปากอย่างลนลาน
อากวงกับลูกเลี้ยงของมันไม่รู้เลยว่าหายหัวไปอยู่ไหน
มือของเสี่ยวเย่จับอยู่ที่ด้ามกระบี่
ทุกคนกลั้นหายใจ ความหวาดหวั่นเกิดขึ้นจากการปรากฏตัวของชายชราบนยอดภูเขาหิมะ ทุกคนรับทราบว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีระดับพลังแข็งแกร่งมากเกินไป
“สุนัขเฒ่า จงบอกชื่อของเจ้ามา” หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดังกังวาน “เจ้าจะได้ตายโดยไม่ต้องกลายเป็นศพไร้นาม”
“เหอเหอเหอ คิดไม่ถึงเลยนะว่าพวกเจ้าจะมียอดฝีมือขั้นเซียนคนใหม่ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ น่าเสียดายที่มาเร็วเกินไปหน่อย”
เสียงของชายชราผมขาวฟังดูระคายหูราวกับเป็นเสียงเสียดสีกันของหินสองก้อน อีกทั้งมันยังฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด “เด็กหนุ่มเอ๋ย หากเจ้าเก็บตัวฝึกวิชาต่อไป บางทีไม่กี่ปีหลังจากนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลสำคัญของจักรวรรดิเลยทีเดียว”
“เลิกพูดมากได้แล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าชื่ออะไร” หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและยกมือกระดิกนิ้วพร้อมกับพูดว่า “หรือถ้าเจ้าเก่งจริงก็เข้ามาได้เลย”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน อย่าเพิ่งรีบร้อน… หนุ่มน้อย ยิ่งเจ้ารีบร้อนมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งได้ตายเร็วมากขึ้นเท่านั้น”
ชายชราผมขาวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวาว หลังจากใช้เวลาพินิจพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่สักครู่ ชายชราแปลกหน้าก็กล่าวต่อ “ระดับพลังของเจ้าไม่ต่ำต้อย… อ้า ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ ที่ทำให้เจ้ามีพลังสูงส่งขนาดนี้ ก่อนที่บิดาของเจ้าจะหายตัวไป เขาได้ส่งมอบศิลาดารากาเอาไว้ให้เจ้าใช้ฝึกวิชาใช่หรือไม่?”
“ใช่หรือไม่ใช่ดีนะ?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วและยิ้มเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
ถึงจะทำพูดดีออกไปเช่นนี้ แต่ในใจจริง เด็กหนุ่มกำลังเกิดความสงสัยมากมาย
เห็นได้ชัดว่าชายชราผมขาวเข้าใจว่าการที่หลินเป่ยเฉินเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ น่าจะเป็นเพราะความช่วยเหลือจากบิดาผู้สูญหาย
ศิลาดารากา?
มันคืออะไรกันนะ?
หรือว่าตาเฒ่านี่จะดูหนังกำลังภายในมากเกินไป?
ทันใดนั้น ชายชราผมขาวระเบิดเสียงหัวเราะ และเสียงหัวเราะของเขาก็ไม่ต่างไปจากเสียงร้องของนกเค้าแมวจริงๆ
ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาตอบรับของหลินเป่ยเฉินจะทำให้ชายชราพอใจอยู่ไม่น้อย
ดวงตาสีเขียวของเขาเป็นประกายวิบวับ คล้ายกับกำลังจะบอกเด็กหนุ่มว่า ‘ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว’
“หลินจิ้นหนานพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอาการสมองเสื่อมของเจ้าให้ได้… แต่ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับออกมาก็ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าได้เข้าใจเองว่า ผู้มีพลังขั้นเซียนหน้าใหม่ ย่อมไม่มีทางสู้ผู้มีพลังขั้นเซียนหน้าเก่ามากประสบการณ์ได้เด็ดขาด เหอเหอเหอ เดี๋ยวผู้เฒ่าคนนี้จะรับหน้าที่สั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาเอง…”
แล้วชายชราหน้านกเค้าแมวก็ยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด
ทันใดนั้น พลังลมปราณสีดำแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเขา ย้อมภูเขาหิมะทั้งลูกที่ตนเองยืนอยู่ให้กลายเป็นสีดำสนิท แม้แต่มวลอากาศโดยรอบก็กลับกลายเป็นคลื่นพลังสีดำเช่นกัน
พลังกดดันครอบคลุมรอบบริเวณ ทำให้ผู้คนหายใจไม่สะดวก
พวกเขารู้สึกราวกับว่ามีกระบี่จำนวนมากมายกำลังทิ่มแทงเข้าหาหลินเป่ยเฉิน
วูบ!
ฉับพลันนั้น คมกระบี่สาดประกาย
เคล้ง!
สะเก็ดไฟสาดกระจาย
เป็นการปะทะกันของกระบี่สีเงินและกระบี่สีดำทมิฬ
คลื่นพลังที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าพริ้วไหวเป็นระลอกคลื่นแผ่ออกไปรอบบริเวณ ทำให้กองหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปั่นป่วนกระจัดกระจาย
“ทุกคนระวังตัว”
โหลวซานกวนร้องตะโกนพร้อมกับโคจรพลังลมปราณ สร้างม่านพลังขึ้นมาคุ้มกันทุกคนที่อยู่ในค่ายพักแรม